วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 86

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 86 ป่าดำ

“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าต้องออกไปข้างนอกสักพัก อีกเดี๋ยวเจ้าก็ไปที่ห้องของพี่สาวแล้วหาอะไรเล่น ตกลงไหม?” เย่หวูเฉินช่วยนางใส่กระโปรง

“ข้าไปกับท่านพี่ด้วยไม่ได้เหรอ?” เย่หนิงเสวี่ยถามด้วยความกระหายอยากไป

“ครั้งนี้ยังไม่ได้ อย่าห่วงเลย พี่ชายเจ้าจะกลับมาโดยเร็ว”

“ตกลง ข้าจะรอท่านกลับมา” เย่หนิงเสวี่ยตอบกลับอย่างเชื่อฟัง นางจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องกลายเป็นภาระของเขา

หลังจากทานอาหารเช้ากับหนิงเสวี่ย เล่งหยาในที่สุดก็ออกจากห้อง ลมหายใจของเขายามนี้สงบไร้รอยน้ำตาจากเมื่อครู่ สายตาที่มองมายังเย่หวูเฉินเย็นชาน้อยลง กระทั่งแฝงแววความรู้สึกขอบคุณเล็กน้อย

“แม่ของเจ้าร่างกายอ่อนแอจากการเดินทางไกล อาหารของนางไม่ถูกสุขลักษณะ รวมไปถึงความเครียดของนาง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีเรื่องติดขัดอีกต่อไป เพียงดูแลสุขภาพของนางให้ดีอีกครึ่งเดือน นางก็จะกลับมาหายเป็นปกติ รวมทั้งจะไม่มีอาการเจ็บป่วยตกค้างใดๆ” เย่หวูเฉินกล่าว “อีกเรื่องหนึ่ง ข้าจะให้คนไปหาที่อยู่ในสวนของนายหญิงเพื่อเป็นที่พักของแม่เจ้า จะเป็นการดีหากให้นางได้พูดคุยกับสตรีในวัยเดียวกัน พวกเขาจะได้กลายเป็นเพื่อนกัน”

เล่งหยาพลันยกศีรษะขึ้น จ้องสายตาไปที่เย่หวูเฉิน “มารดาและข้ามาจากอาณาจักรต้าฟง อาณาจักรเทียนหลงของเจ้าเกลียดชังผู้คนจากอาณาจักรต้าฟง และตระกูลเย่ของเจ้าสังหารผู้คนของอาณาจักรต้าฟงไปเป็นจำนวนมาก หากเจ้ายังปฏิบัติต่อพวกเราเช่นนี้ต่อไป เจ้าจะบอกต่อครอบครัวของตนเองอย่างไร และคนอื่นๆจะมองเจ้าเช่นใด”

“โอ้? ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นคนโง่จริงๆ” เย่หวูเฉินกล่าวยุแหย่ จำได้ว่าเมื่อวานเขาพึ่งด่าว่าความโง่เง่าของเล่งหยาอย่างหยาบคาย “เจ้าก็ยังคงไร้เดียงสาอยู่ดี”

“ฮึ่มม”

“อย่าห่วงเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องอยู่ที่ตระกูลเย่ แต่ว่าแม่ของเจ้า นางสมควรเป็นคนของอาณาจักรเทียนหลง”

เล่งหยาม่านตาหดลีบ เขาพูดเสียงเย็นเยียบ “เจ้าความว่ายังไง? เจ้ารู้ได้ยังไง?”

“ข้าเดาเอา” เย่หวูเฉินหันกลับมา “เจ้าจงจำเรื่องสัญญาภักดีต่อข้าเป็นเวลาสิบปีไว้ให้ดี ภายในเวลาสิบปีนี้ เจ้าจะต้องไม่ขัดคำสั่งข้า ข้ารักษาดวงตาให้แม่ของเจ้าไปแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่มีเหตุผลต้องสงสัยในตัวข้าอีก! ตามข้ามา”

เล่งหยาตามหลังไปโดยไม่กล่าวคำ

หลังออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ พวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ผ่านฝูงชนที่ส่งเสียงเอะอะจอแจ จนกระทั่งไปถึงประตูเมืองเทียนหลงด้านตะวันออก นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขามาถึงที่นี่ เย่หวูเฉินไม่หยุดยั้งฝีเท้า เขาก้าวออกจาประตูเมืองมุ่งหน้าต่อไปยังทิศตะวันออก จนถึงตอนนี้เขายังไม่เอ่ยบอกอะไร เพียงแต่ก้าวลิ่วผ่านสถานที่ต่างๆไปเท่านั้น เล่งหยาตามไปอย่างว่าง่ายและเงียบงัน เขารู้ดีว่าหากตรงไปเรื่อยๆในทิศทางนี้ พวกเขาจะไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในทวีปเทียนเฉิน...สถานที่ต้องห้าม

ยิ่งห่างออกไปทางทิศตะวันออก ผู้คนก็ยิ่งบางตา เมื่อ 20 ปีก่อนมันเคยเป็นท้องถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่ตอนนี้กลายเป็นที่รกร้างมีต้นหญ้าปกคลุม แทบไม่มีใครผ่านมาทางนี้อีกเลย พวกเขาเดินเท้าต่ออีก 2 ชั่วโมง ก็ปรากฎผืนป่าดำอยู่เบื้องหน้าครรลองสายตา

“เจ้ารู้จักที่แห่งนี้หรือไม่?” ในที่สุดเย่หวูเฉินก็เอ่ยปาก แต่เขายังคงเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่ชะลอฝีเท้าลง

“......”

“ชื่อของป่าแห่งนี้ถูกลืมเลือนไปนานแล้ว ครั้งหนึ่งต้นไม้พงไพรแห่งนี้เคยเป็นสีเขียวชะอุ่ม แต่พวกมันคล้ายยืนต้นตายกลายเป็นสีเทาดำในเวลา 20 ปี ส่วนที่ลึกที่สุดของป่าแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหอคอยปีศาจ สถานที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่เรียกกันว่าสตรีเทพพิโรธถูกผนึกอยู่ แต่นับจากวันที่สถานคุมขังแห่งนี้ผนึกตัวตนนั้นไว้ ทั่วบริเวณผืนป่ากลับกลายสภาพเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงอันน่าสยดสยองทำให้ผู้คนออกห่างจากป่าดำ” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างอ่อนโยน ฝีเท้าของเขาไร้ความลังเล ราวกับผืนป่าที่เขากำลังจะเข้าไปไม่ใช่ป่าดำที่กำลังพูดถึง

“สตรีต้องสาป” เล่งหยากล่าวเสียงต่ำ

“ถูกต้อง หากข้าพาเจ้าเข้าในหอคอยปีศาจ เจ้าจะกล้าเข้าไปหรือไม่?” เย่หวูเฉินถามราบเรียบ ไม่มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย

“กล้า!”

เย่หวูเฉินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วส่ายศีรษะ “เป็นคนที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้! เจ้าไม่รู้หรือไงว่าเคยมีคนที่แข็งกว่าเจ้านับร้อยนับพันเท่าเข้าไปข้างใน และไม่มีผู้ใดได้กลับออกมา หากเจ้าไม่มีสิ่งใดให้สูญเสีย เจ้าอาจจะบ้าพอเข้าไปข้างในและผลลัพธ์เลวร้ายสุดคือความตาย แต่หากว่าเจ้าตายแล้วใครจะดูแลแม่ของเจ้า?”

“......”

“หากเจ้าไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะตาย จงอย่าเอาชีวิตของเจ้าเข้าไปเสี่ยง แม้คนที่กล้าหาญที่สุดก็มีแต่จะถูกดูหมิ่น”

และแล้วเย่หวูเฉินก็ย่างเท้าเข้าไปในสถานที่ซึ่งผู้คนหันหลังหนีไปด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าเข้าไปในป่าดำแห่งนี้มาตลอดหลายปี แต่เล่งหยากลับตามเขาไปโดยไร้ความเกรงกลัว

ที่แห่งนี้เงียบงันแปลกประหลาด ไร้เสียงนกร้อง ไร้เสียงสัตว์คำราม ไร้ซึ่งกระทั่งเสียงสายลม กลิ่นอายมืดหม่นโชยเต็มบรรยากาศ เกิดแรงกดดันอันยากจะหายใจ

“กลิ่นอายแห่งความตาย!” เย่หวูเฉินกล่าวกับตนเอง คิ้วของเขามุ่นลง

ด้วยภูมิต้านทานต่อธาตุทั้งหกคือ น้ำ , ไฟ , ลม , สายฟ้า , ดิน และมรณะ ทำให้เขาสามารถควบคุมและต้านทานได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงธาตุแห่งความตาย ถึงแม้ว่ากลิ่นอายมรณะที่นี่ไม่ได้มีพลังรุนแรง ทั้งยังเจือจางจนสิ่งมีชีวิตเช่นมดยังสามารถดำรงอยู่ได้ แต่มันก็ยังถูกนับว่าเป็นกลิ่นอายมรณะ จากข่าวที่ร่ำลือกัน ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่กลิ่นอายมรณะยิ่งเข้มข้นขึ้นเท่านั้น แน่อนว่าที่มาของมันย่อมมาจากบริเวณใจกลางผืนป่าดำ สถานที่ตั้งของหอคอยปีศาจ!

เนื่องจากกลิ่นอายมรณะที่บางเบา ต้นไม้ในบริเวณจึงยังหลงเหลือพลังแห่งชีวิตอยู่ ด้วยเวลากว่า 20 ปีที่ซึมซับพลังแห่งความตาย พวกมันจึงกลายสภาพเป็นสีเทาดำ

เย่หวูเฉินมีภูมิต้านทานต่อธาตุมรณะ จึงย่อมไม่เกรงกลัวต่อกลิ่นอายแห่งความตาย แต่กลิ่นอายมรณะที่เจือจางก็ไม่มีผลต่อกระทบใดๆต่อเล่งหยาเช่นกัน

เย่หวูเฉินสายตาวาบแสง กวาดตามองต้นไม้ทุกต้นที่อยู่เบื้องหน้า ใช้ความทรงจำล้ำเลิศจดจำทุกตำแหน่งของมัน คำนวณนับระยะทางเงียบๆอยู่ในใจ

ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ บรรยากาศก็ยิ่งกดดันท่วมทับทวีขึ้นเท่านั้น ยามนี้สมควรเป็นเวลากลางวัน แต่ในที่แห่งนี้กลับปรากฎราวยามค่ำขมุกขมัว พวกเขาจำต้องเบาฝีเท้าลง ด้วยไม่ต้องการทำลายเงียบเสียดแทงใจ

เกิดเสียงฝีเท้ายามที่เย่หวูเฉินเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้ง ทันใดนั้นพุ่มไม้ดำก็สั่นไหว มีกระต่ายสีดำวิ่งออกมา เพียงชั่วพริบตามันก็วิ่งหายลับกับต้นไม้ไป

ในที่นี้ไม่สมควรมีสัตว์อาศัยอยู่ เย่หวูเฉินรู้สึกแปลกใจ พลังชีวิตของสัตว์นั้นน้อยกว่าพืชพันธุ์ ทั้งความสามารถในการขยายพันธุ์ยังต่ำกว่า ภายใต้กลิ่นอายแห่งความตาย พลังชีวิตของพวกมันย่อมถูกสูบกลืนช้าๆจนตาย กลับปรากฎว่ามีสัตว์จำนวนหนึ่งยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ แสดงให้เห็นว่าพวกมันมีภูมิต้านทานต่อธาตุแห่งความตาย และดูเหมือนว่าพวกมันยังส่งต่อความสามารถนี้สู่ลูกหลาน ที่ยิ่งเห็นเด่นชัดขึ้นในรุ่นถัดไป

“ตอนเด็กเจ้ามีชื่อว่าเสี่ยวฟง?” เย่หวูเฉินที่เงียบอยู่จู่ๆก็ถามขึ้น

“ใช่” เล่งหยาตอบ

“แซ่ของมารดาเจ้าคือเล่ง?”

“ถูกต้อง”

“แซ่ของบิดาเจ้าคือฟง?”

เล่งหยาหยุดเท้าในทันที เขากำหมัดทั้งสองแน่น ลมหายใจเย็นเยียบดุจคมกระบี่ในฉับพลัน



<<<PREV    .    NEXT>>>