วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 126

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 126 จักรพรรดินีประชวร

ยังคงอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเทียนหลง

ที่นี่เป็นป่าเล็กๆอันสงบ เย่หวูเฉินกับหลงฮวงเอ๋อร์ถือขากระต่ายอวบอ้วนคนละขาและกินอย่างสำราญใจ หลงฮวงเอ๋อร์เคยกินเนื้อกระต่ายมาหลายครา แต่ไม่มีครั้งใดที่เอร็ดอร่อยเท่ากับขากระต่ายที่อยู่ในมือนางเวลานี้

กระต่ายตัวนี้ถูกจับโดยหลงฮวงเอ๋อร์ด้วยความช่วยเหลือ “เล็กน้อย” ของเย่หวูเฉินที่อยู่ข้างๆนาง

“ข้าอิ่มแล้ว!”

มือเล็กๆของนางโยนกระดูกยาวออกไปไกล มีเสียงตกกระทบกับใบไม้แห้งบนพื้นดิน ได้อยู่กับเย่หวูเฉิน นางสามารถทำทุกสิ่งได้ตามที่ต้องการ ลืมสิ้นทุกสิ่งเกี่ยวกับสถานะองค์หญิงของตน

ลูบท้องน้อยๆแล้วกล่าวโดยไม่คิดมาก “ไปจับอีกตัวกันเถอะ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าการจับกระต่ายจะง่ายถึงเพียงนี้”

เพราะข้าควบคุมจิตใจมันให้วิ่งไปหาเจ้าต่างหากเล่า

เย่หวูเฉินลอบยิ้ม

เย่หวูเฉินช่วยนางเช็ดมุมปาก จากนั้นกระชับเสื้อผ้าและจัดแจงผมเผ้าให้นาง เขายิ้มแล้วกล่าว “ฮวงเอ๋อร์ เจ้ารู้จักการเล่นซ่อนหาหรือไม่?”

“เล่นซ่อนหา?” หลงฮวงเอ๋อร์ตาเป็นประกาย นางพยักหน้า “แน่นอนข้ารู้จัก ข้ามักจะเล่นกับพวกเหล่าขันทีและนางกำนัล แต่ว่าพวกเขาโง่มาก ข้าหาพวกเขาเจออย่างง่ายดายในทุกครั้ง”

เย่หวูเฉินรู้ว่าพวกเขาไม่ได้โง่ พวกเขาเพียงทำเป็นโง่เพื่อให้องค์หญิงพอใจ เขายิ้มและกล่าว “ในเมื่อฮวงเอ๋อร์เก่งมาก งั้นเรามาเล่นซ่อนหากัน...ในป่า”

แม้ว่าป่าแห่งนี้จะกว้างน้อยกว่าสองลี้ แต่ก็ยังนับว่าลึกทีเดียว ทั้งต้นไม้ใหญ่ยังพบได้มากมาย มันใหญ่เพียงพอที่ผู้ใหญ่จะซ่อนตัวได้

“ตกลง ตกลง มีการลงโทษรึเปล่าถ้ามีคนแพ้?”

“คนแพ้ต้องจูบคนที่ชนะ ฮวงเอ๋อร์ เจ้ากล้าเล่นรึเปล่า?” เย่หวูเฉินถาม

หลงฮวงเอ๋อร์ตาเป็นประกายอ่อน นางกระพริบเหมือนระลึกถึงบางสิ่ง ใบหน้านางเรื่อสีแดงอ่อนๆ “แน่นอนข้ากล้า ท่านไปซ่อนก่อน ข้าจะหา... ห้ามซ่อนไกลเกินไป ไม่อย่างนั้นจะถือว่าท่านแพ้”

“ตกลง” เย่หวูเฉินบีบจมูกน้อยๆของนาง จากนั้นหมุนร่างของนางไป “หลับตาลง นับหนึ่งถึงห้าแล้วค่อยหันกลับมา ห้ามนับข้าม”

มือของเขาเคลื่อนห่างออกจากไหล่ของหลงฮวงเอ๋อร์ หลงฮวงเอ๋อร์ที่หลับตาอยู่ยังไม่ทันนับ ก็รู้สึกได้ว่าเขาหายไปจากข้างหลังตน เพราะว่านางไม่ได้กลิ่นเขาอีกแล้ว

หลังจากนับถึงห้า นางหันไปรอบๆทันที ซ้าย , ขวา , หน้า , หลัง , นางไม่อาจพบเห็นร่างของเขา ในพื้นที่ว่างและกว้างขวาง ราวกับว่านางอยู่ลำพังเพียงคนเดียว

“ข้าจะเริ่มหาแล้วน้าา” นางตะโกนแล้วก้าวเท้าน้อยๆ หาทุกมุมอย่างละเอียดที่อาจพอซ่อนได้

เบื้องบนศีรษะนาง เหนือกิ่งไม้ใหญ่ที่มีใบบังมีเย่หวูเฉินยืนอยู่ เขามองไปที่ร่างเล็กๆของหลงฮวงเอ๋อร์แล้วถอนหายใจบาง “ทำแบบนี้ นับว่าถูกหรือผิด?”

เขามีหลากหลายวิธีในการบรรลุเป้าหมายเดียวกัน แต่เริ่มจากหลงฮวงเอ๋อร์เป็นวิธีที่เรียบง่ายและลัดสั้นที่สุด ในเมื่อเขาได้เริ่มไปแล้ว เย่หวูเฉินไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นใด จากการทำนายของตน เขาสัญญาว่าจะมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับหลงฮวงเอ๋อร์ นางไม่สมควรเป็นองค์หญิงที่โศกตรม

สวบ... สวบ... สวบ...

ท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วงไร้เสียงนกร้องให้ได้ยิน มีเพียงเสียงก้าวเท้าของตนเท่านั้น นางเดินตรงไปข้างหน้า บางครั้งก็พยายามกลับมาทางเดิม สายตามองไปรอบๆ นางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ

“เร็วเข้า ออกมานะ ข้าเห็นท่านแล้ว” นางตะโกนไปข้างหน้า

ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงใบไม้แห้งที่ปลิดปลิว สายลมฤดูใบไม้ร่วงค่อยๆพัดผืนดิน เกิดเสียงลมแผ่วเบา

นางก้าวไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย สำหรับองค์หญิงที่อาศัยอยู่ในวังจนอายุสิบสามปี นางหลงในป่าเล็กๆแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ไม่สามารถระบุทิศทาง นางกระทั่งไม่รู้ว่าตนเดินมาจากทางใด

เพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ผ่านพ้น นางรู้สึกว่าตนเดินมาแสนยาวไกล หัวใจที่เงียบเชียบเริ่มหวั่นไหวและกังวล นางกลัวความรู้สึกเช่นนี้ เสียใจที่ยอมเล่นซ่อนหาจนทำให้เขาไม่อยู่ข้างกาย นางอยากให้เขาโผล่ออกมา กอดนางไว้และขับไล่ความกลัวในจิตใจ

“ออกมานะ ข้าไม่อยากเล่นแล้ว เราเล่นอย่างอื่นกันเถอะ...” ด้วยความกลัวว่าเขาจะอยู่ไกลเกินไปและไม่ได้ยิน นางจึงตะโกนสุดเสียง

ยังคงไร้เสียงตอบกลับ ทั่วทั้งบริเวณเงียบงันอย่างน่ากลัว ไม่เหมือนเสียงสายฟ้าและเม็ดฝนเช่นเมื่อวาน วันนี้กระทั่งสายลมยังเงียบเชียบ

“ข้าไม่อยากเล่นอีกแล้ว... ท่านออกมาเร็วๆได้ไหม?”

“ข้ายอมแพ้ ท่านออกมาเร็วเข้า... ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว ข้ากลัวจริงๆ”

นางตะโกนเสียงดัง แต่ความเงียบรอบกายกลับขยายความกลัวของนางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ... นางเริ่มเกิดความคิดที่ว่า เขาได้ทิ้งนางและแอบจากไป เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในใจ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะขจัดมันทิ้ง

“ท่านออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ข้าไม่อยากเล่นอีกแล้ว! ข้าไม่อยากเล่นอีกแล้ว!” หลงฮวงเอ๋อร์น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ ความรู้สึกแบบนี้น่ากลัวยิ่งกว่าคืนฝนฟ้าคำราม บางทีในชีวิตนี้ของนาง อาจไม่เคยพบเจอความน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน

หยดน้ำเริ่มปริ่มรอบดวงตา โลกเบื้องหน้าพลันพร่าเลือน นางย่อตัวนั่งลงบนพื้นเพราะกลัวจนไร้เรี่ยวแรง นางห่อร่างของตนเอง สั่นสะท้านและเริ่มร้องไห้ เสียงร้องครวญสะอื้นของเด็กน้อยสะท้อนในป่า

มีมือคู่หนึ่งกอดเอวบางจากเบื้องหลัง โอบกอดนางไว้แน่นในอ้อมอก เจ้าของมือนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน “ใครทำให้องค์หญิงน้อยของข้าร้องไห้? ว่าที่สามีเจ้าจะไปสั่งสอนมัน”

“ข้าเจอท่านแล้ว” หลงฮวงเอ๋อร์ที่ร้องไห้กลายเป็นหัวเราะในฉับพลัน มือทั้งสองคล้องรอบคอ ด้วยกลัวว่าเขาจะหายไปจากข้างกายอีกครั้ง “ท่านแพ้แล้ว”

เสียงหัวเราะของนางเป็นของจริง น้ำตาของนางเป็นของจริงเช่นกัน แต่นางไม่โกรธหรือต่อว่าใดๆ เย่หวูเฉินถูกกระตุกหัวใจอย่างอ่อนโยน เขาโอบไหล่นางไว้และอดไม่ได้ที่จะกอดแน่นขึ้น

“ตกลง ข้าแพ้แล้ว องค์หญิงน้อยของข้าจะลงโทษอย่างไร?”

“อย่างที่ท่านพูดไว้ ผู้แพ้ต้องจูบผู้ชนะหนึ่งครั้ง... ไม่ ต้องหลายๆครั้ง ห้ามปฏิเสธ” นางทำปากเผยอและหลับตาลง ค่อยๆขยับเข้าใกล้เย่หวูเฉินทีละน้อย ใบหน้าละเอียดราวหิมะ ทั้งกระจ่างราวมุกงาม

ความคิดมากมายผุดขึ้นในจิตใจของเย่หวูเฉิน เขาจูบที่ใบหน้านางอย่างอ่อนโยน จูบดวงตาเพื่อไล่น้ำตา จากนั้นจูบริมฝีปากอันบอบบาง ลิ้มรสหอมหวานของสาวน้อย กระทั่งเขาเองยังแปลกใจว่าเหตุใดตนถึงทำเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเพราะน้ำตาหรือรอยยิ้มนางตอนที่เขาหายไป

หลงฮวงเอ๋อร์หน้าแดง ทั้งอายและดีใจที่เขาเสน่หา สัมผัสชิดใกล้ทำให้หัวใจนางเต้นเร็ว

เหตุผลที่หลงฮวงเอ๋อร์คลั่งใคล้เย่หวูเฉิน หลักๆเป็นเพราะสัญชาตญาณพึ่งพายามได้ใกล้ชิดผู้คน แต่จูบอ่อนโยนนี้ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป ความรู้สึกของหลงฮวงเอ๋อร์ต่อเย่หวูเฉินได้กลายเป็นความรู้สึกล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม

ตั้งแต่นี้ไป หลงฮวงเอ๋อร์จะไม่ใช่เพียงเบี้ยหมากตัวหนึ่ง ที่เย่หวูเฉินใช้วางแผนต่ออาณาจักรเทียนหลง แผนเดิมที่คิดไว้นาน ยามนี้ได้กลับกลายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

................................

เมื่อเย่หวูเฉินกลับมาถึงตระกูลก็เป็นเวลาใกล้ตะวันตกดิน เขาเจอกับเย่เว่ยที่กำลังผ่านเข้าประตูมาพอดี สีหน้าของเขาทำให้เย่หวูเฉินฉุกใจและเอ่ยถาม “มีอะไรเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”

คำนวณเวลาคร่าวๆ เย่หวูเฉินเข้าใจและลอบยิ้มมุมปาก

“ใช่ เมื่อตอนบ่าย จักรพรรดินีประชวรเฉียบพลันด้วยโรคภัยร้ายแรง ทั้งร่างหมองคล้ำลง พลังชีวิตเหือดหาย นางนอนอยู่บนเตียงไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะกล่าวคำ ทั้งหมอหลวงและนักเวทย์ทั้งหมดในวังต่างไม่อาจทำสิ่งใดได้ พวกเขาทุกคนบอกว่าไม่เคยพบโรคประหลาดเช่นนี้มาก่อน” เย่เว่ยกล่าวและขมวดคิ้วมุ่น ผู้คนในวังต่างคิดกันไปต่างๆนาๆ ว่าอาจมีใครบางคนใช้วิธีลึกลับลอบสังหารจักรพรรดินี ตระกูลหลินทั้งกังวลและฉุนเฉียว และยังพูดเป็นนัยมาที่ตระกูลเย่

“โอ้ เป็นเช่นนี้เอง อาณาจักรเทียนหลงมีหมอชื่อดังมากมาย ด้วยความสามารถขององค์จักรพรรดิ คงพอเดาได้ว่าโรคภัยเล็กน้อยเช่นนี้คงไม่เป็นปัญหาอันใดสำหรับเขา” เย่หวูเฉินกล่าวไม่ใส่ใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจกับเรื่องดังกล่าว

“นี่ไม่ใช่แค่โรคภัยเล็กน้อย” เย่เว่ยส่ายศีรษะ สีหน้าเป็นกังวล “ทั่วทั้งร่างคล้ำทะมึน แต่พวกเขาไม่สามารถหาสาเหตุของการเจ็บป่วยได้ จากที่หมอหลวงบอก ด้วยอาการในตอนนี้ จักรพรรดินีจะสิ้นใจในตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า”

เมื่อจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรสิ้นไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ สำหรับตระกูลหลินย่อมไม่ลดละในเหตุการณ์ครั้งนี้ ก่อนที่ความจริงจะปรากฎพวกเขาย่อมกล่าวโทษกับตระกูลเย่ นั่นคือวิธีการของพวกเขา สำหรับเรื่องใหญ่เช่นนี้ ตระกูลหลินย่อมไม่ทำให้เป็นเรื่องเล็ก

เย่หวูเฉินยังคงไม่แยแส แสดงท่าทางให้เห็นว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ รวมทั้งไม่อยากข้องเกี่ยว เขากลับไปยังสวนของตนอย่างสบายใจ เมื่อใกล้ประตูทางเข้าสวน เขาตะโกน “เสวี่ยเอ๋อร์ , ทงซิน , ออกไปเดินเล่นบนถนนกัน!”

หนิงเสวี่ยกำลังนอนอยู่บนเตียง สอนทงซินให้อ่านและเขียน แม้ว่านางจะรู้จักเพียงไม่กี่คำ คำเหล่านั้นเย่หวูเฉินเป็นคนสอนให้นาง นางสอนทงซินอย่างจริงจัง ทงซินกระหายรู้เงี่ยหูฟังไม่วอกแวกราวกับนักเรียนที่เชื่อฟัง

“ท่านพี่กลับมาแล้ว!” เมื่อได้ยินเสียงตะโกน ทั้งสองคนกระโดดลงจากเตียงพร้อมกัน หนึ่งอยู่เบื้องหน้า หนึ่งอยู่เบื้องหลัง วิ่งอย่างตื่นเต้นออกจากประตูสวน

................................

ในวังหลวง ผู้คนจำนวนมากสับสนอย่างหนัก หมอหลวง , หมอที่มีชื่อเสียงของเมือง ต่างทยอยเข้าไปและออกมา พวกเขาทุกคนมีเหงื่อเต็มศีรษะ เหงื่อที่เยียบเย็น

จักรพรรดินีหลินซิวนอนซมอยู่บนเตียงไม่อาจขยับเขยื้อน นางไร้เรี่ยวแรงไม่อาจพูดจา นางทำได้เพียงลืมตาครึ่งหนึ่งอย่างเจ็บปวด ใบหน้าของนางปกคลุมไปด้วยปราณสีเทาแปลกประหลาด ปราณสีเทานี้เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงปกคลุมร่างเท่านั้น แต่ยังซึมออกมาจากภายในร่าง และออกมาปกคลุมที่ผิวภายนอก



<<<PREV    .    NEXT>>>