วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 125

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 125 พวกเราจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?

“ถูกต้อง ถูกต้อง! เรื่องนี้รู้กันไปทั่ว พ่อของข้ารู้ , แม่ของข้ารู้ , ลุง , น้า , พี่สะใภ้ , พี่เขย , แม่ฮวงที่ทำอาหาร , ลุงเจ็ดที่ตัดไม้ , เสี่ยวหลิวยามเฝ้าประตู , เสี่ยวซานบ้านข้างๆ , เสี่ยวจื่อข้างบ้านที่ชงชา รวมทั้งต้าฮวงที่แกว่งหางตอนข้าไปบ้านน้าเจ็ด ทั้งหมดต่างรู้ว่าเวลาประมุขหลินพบอาจารย์เย่ ท่านจะต้องเรียกเขาว่าท่านปู่สามครา อ้า... ประมุขหลินคงไม่ใช่พวกน่ารังเกียจที่ชอบกลับคำพูดเป็นผายลม ไม่เช่นนั้น คงโดนต้าฮวงที่บ้านน้าเจ็ดดูหมิ่นแล้ว” ชูเกอเสี่ยวหยูกล่าว ใบหน้านางเฉิดฉาย กระพริบดวงตาคู่มณี รอให้หลินเหยียนเอ่ยคำ “ท่านปู่” นางไม่ใส่ใจเลยว่า “ผายลม” ที่ออกมาจากปากเด็กสาวนั้นนับว่าหยาบคาย

“ว้าว! ข้าก็ได้ยินเช่นกัน! กลายเป็นว่าเรื่องน่าสนุกนี้คือเรื่องจริง ประมุขหลิน ท่านต้องจำคำพูดที่ตนเองกล่าวไว้ ท่านคือผู้ที่พระบิดาเชื่อใจที่สุด ข้าได้ยินเรื่องนี้โดยตรงจากพระบิดา ดังนั้นท่านต้องห้ามกลับคำ ไม่อย่างนั้น ข้าจะบอกทุกคนในวังและทุกคนในสถาบันว่าท่านไม่รักษาคำพูด” หลงฮวงเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางหัวเราะไร้เดียงสาอย่างสมบูรณ์แบบ

สายตาทุกคู่มองไปที่หลินเหยียนและสื่อความหมายทุกอย่าง หลินเหยียนใบหน้าแดงก่ำ ราวกับตนถูกเปลื้องผ้าล่อนจ้อน เดิมพันระหว่างเขากับเย่หวูเฉินเป็นที่รู้กันโดยทุกผู้คน แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าเขา แน่นอนว่าคนอื่นย่อมทำเป็นไม่รู้เรื่องราว แต่เย่หวูเฉินกลับเผยแผ่ประจาน แม้ว่าจะเป็นเพียงไม่กี่คำ แต่มันก็เหยียบย่ำทำลายชื่อเสียงของเขา

ชูเกอเสี่ยวหยูและหลงฮวงเอ๋อร์กลับป่าวร้องตามติด นี่เท่ากับเขวี้ยงอิฐใหญ่สองก้อนถล่มซ้ำหลังจากเขาเพลี่ยงพล้ำจมลงน้ำ

เพลิงโทสะของหลินเหยียนที่ดับยามนี้ถูกจุดติด จุดติดแล้วก็ดับอีกครั้ง ร่างของเขาสั่นสะท้านไปทั่วกาย ดวงตาแผดเผาไปด้วยเพลิงสังหาร เขาโกรธจัดจนพูดไม่ออก คนอื่นๆต่างปิดปากไม่กล้าพูด ทำราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน พวกเขาทำเป็นมองผ่านไม่สนใจ

“เจ้า...เจ้ากล้าดียังไงดูถูกท่านปู่สอง!” เมื่อเห็นหลินเหยียนโดยดูหมิ่น หลินอวี้ที่หลบอยู่หลังหลินเหยียนกระโดดออกมาแล้วตะโกน

“ดูถูก? น่าหัวร่อ ตอนนั้นเป็นประมุขหลินที่ยอมรับเดิมพันด้วยตัวเอง ทุกคนต่างสามารถเป็นพยาน พูดถึงเรื่องดูหมิ่น กล่าวได้เพียงแค่ว่าประมุขหลินเป็นผู้ที่ทำตัวเองให้โดนดูถูก” เย่หวูเฉินเหลือบมองหลินอวี้แล้วถอนสายตากลับ เขากล่าวเย้ยหยัน “กลับมาคุยประเด็นหลักกันต่อ ข้ากำลังสอนหลานชายอยู่ หลานของหลานชายข้าไม่มีสิทธิ์พูด จงกลับไปซ่อนอยู่หลังปู่ของเจ้าต่อเหมือนเต่าหดหัว แม้ว่าข้าเหยียดหยามปู่เจ้า เจ้าจะทำอะไรได้ในเมื่อเป็นแค่หลานของเขา?”

หลินเหยียนใบหน้าคล้ำทะมึน หากที่นี่เป็นพื้นที่นอกเมืองไร้ผู้คน เขาย่อมสังหารเย่หวูเฉินโดยใช้ทุกวิธี หลังจากนั้นจะทำลายศพและหลักฐานทั้งหมดทิ้ง

“พี่ชายของเจ้า หลินเสี่ยว เป็นตัวตนที่ทั่วทั้งเมืองเทียนหลงแทบไม่มีใครไม่รู้จัก เจ้าเองก็เหมือนกัน หลินอวี้...มีไม่กี่คนที่ไม่รู้จักเจ้า แต่ต่างกันตรงที่พี่ชายเจ้ามีชื่อเสียงดีงาม ส่วนเจ้ามีชื่อเสียงโสโครก อย่างน้อยพี่ชายเจ้าก็มีคุณสมบัติอยู่ต่อหน้าข้า แต่เจ้าเป็นแค่มดข้างถนน ต่อให้ข้าเหยียบย่ำมัน ก็ไม่คิดเหลือบมอง” เย่หวูเฉินกล่าวไม่เร่งรีบ จากนั้นเลื่อนสายตาไปที่หลินเหยียนแล้วกล่าว “ประมุขหลิน ข้าช่วยท่านสั่งสอนผู้เยาว์ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า โปรดตอบรับข้อเดิมพันของพวกเรา อย่าให้พวกเด็กๆต้องเย้ยหยันท่านได้”

“เจ้า!”

หลินอวี้เกือบพุ่งพรวดออกจากจุด แม้รู้ตัวว่าไม่ใช่คู่มือของเย่หวูเฉิน กระทั่งหลินเสี่ยวยังพ่ายแพ้ การอาละวาดใส่เขาเท่ากับทำร้ายตัวเอง ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ลากหลินเหยียนมาที่นี่ แต่เวลานี้ เขารู้ตัวแล้วว่าการลากหลินเหยียนมาด้วยเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง

เกียรติภูมิของหลินเหยียนถูกเหยียบย่ำ หลินอวี้กัดฟันและทะยานร่างใส่เย่หวูเฉิน แต่หลินเหยียนกระชากเสื้อด้านหลังและลากเขากลับมา เหวี่ยงเขาไปเบื้องหลัง หลินเหยียนกล่าวเสียงต่ำ “พอได้แล้ว! เจ้าอยากถูกหยามน้ำหน้าไปมากกว่านี้หรือไง!?”

หลินอวี้ไม่เคยถูกตวาดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้จากหลินเหยียน เขายืนเงียบเชื่อฟังด้วยความกลัวและไม่กล่าวคำใด

“เจ้าอย่าตกอยู่ในกำมือข้าก็แล้วกัน!”

หลังจากกล่าวเสียงต่ำที่ได้ยินเพียงเย่หวูเฉิน หลินเหยียนก็หันขวับลากหลินอวี้ไปกับเขา ชูเกอเสี่ยวหยูตะโกนตามหลังพวกเขาไป “นี่! ประมุขหลิน อย่าพึ่งไป ท่านยังไม่ได้เรียกเขาว่าท่านปู่เลย... ท่านอย่าทำตัวเป็นคนน่ารังเกียจเช่นนี้สิ...”

หลังจากหลินเหยียนออกไปไกล ชูเกอเสี่ยวหยูก็ไม่อาจทนกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป คนอื่นๆต่างก็หัวเราะลั่นตามกัน มีเพียงหัวปูเฮ่าที่มีสีหน้าขมขื่น กังวลและป่วยใจ เย่หวูเฉินรักษาสีหน้าสงบแล้วพูดกับเขา “อาจารย์หัว ข้าสร้างปัญหาให้ท่านแล้ว แต่อย่ากังวลไปเลย หลินเหยียนไม่มีข้ออ้างพอที่จะสร้างปัญหาให้กับท่าน”

หัวปูเฮ่าผงกศีรษะ พยายามอย่างหนักเพื่อฝืนยิ้ม

“จะเป็นการดีหากข้าไม่ทำตัวเป็นอาจารย์ อาจารย์หัว สองวันนี้ข้าติดค้างท่าน ฉะนั้นตอนนี้ ข้าต้องกลับไปทำหน้าที่ปกป้ององค์หญิงต่อ ข้าขอพาองค์หญิงออกไปเดินเล่น หากองค์จักรพรรดิถาม ท่านเพียงตอบเขาไปเหมือนเมื่อวาน”

เมื่อเย่หวูเฉินพาหลงฮวงเอ๋อร์ออกจากราชวิทยาลัยเทียนหลง หลงฮวงเอ๋อร์ราวกับหมากฝรั่งติดร่างของเขา หลังจากเมื่อวานที่เย่หวูเฉินพานางออกไปเล่น ตลอดทั้งคืนนางตื่นเต้นจนแทบไม่อาจหลับตาลง ตอนกลางดึกนางนับนิ้วเพื่อรอให้เช้าวันใหม่มาถึง

“วันนี้พวกเราจะไปเล่นที่ไหน? ไปจับปลาอีกรึเปล่า?” นางเงยหน้าถามอย่างมีชีวิตชีวา

“จับปลาตลอดน่าเบื่อออก ไปจับกระต่ายกันเถอะ” เย่หวูเฉินตอบพร้อมหัวเราะ

“จับกระต่าย? แต่พวกมันวิ่งเร็วมาก พวกเราจะจับมันทันหรือ?” หลงฮวงเอ๋อร์บีบมือน้อยๆแน่น แม้ว่านางสงสัย แต่ใบหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ้! รอข้าก่อน!”

เสียงแหลมใสดังมาจากเบื้องหลังพวกเขา เย่หวูเฉินหยุดเท้าอย่างไม่มีทางเลือก เขาหันไปมองชูเกอเสี่ยวหยูที่วิ่งตรงมาที่พวกเขา

“แฮ่ก....” ชูเกอเสี่ยวหยูวิ่งมาอยู่เบื้องหน้าเขาแล้วหอบหายใจ “เย่หวูเฉิน ท่าน...ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้า”

“คำถามอะไร?” เย่หวูเฉินชักปวดหัว เขาทำเป็นไม่รู้เรื่องราว

“ทำไมท่านถึงไม่แต่งกับข้า” ชูเกอเสี่ยวหยูไม่มีความเขินอายแม้แต่น้อย นางเงยศีรษะขึ้นมองราวกับโกรธเป็นควัน

“ทำไมข้าต้องแต่งกับเจ้าด้วย? หากมีชายที่เจ้าไม่เคยพบมาก่อนไปที่บ้านเจ้า แล้วขอเจ้าแต่งงาน เจ้าจะตกลงหรือไม่?” เย่หวูเฉินถามกลับ

ชูเกอเสี่ยวหยูจ้องครู่หนึ่ง จากนั้นนางพยักหน้าแล้วกล่าว “ท่านพูดถูก ตอนนี้เราได้พบกันแล้ว ท่านจะตกลงแต่งงานกับข้าได้หรือยัง?”

“..........”

ดรุณีบ้านางนี้ช่างมีตรรกะการคิดที่แข็งแกร่งจริงๆ

หลงฮวงเอ๋อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ถูกเมินเฉย นางคล้องแขนของเย่หวูเฉินแน่น และมุ่ยปากกล่าว “เขาเป็นสามีของข้า ตามข้อตกลงของเสด็จพ่อ เขาจะไม่แต่งกับเจ้า!”

ชูเกอเสี่ยวหยูไม่ได้ต่อต้านแม้แต่น้อย กลับกันนางก้มหน้าแล้วกล่าวอย่างมีความสุข “องค์หญิงเฟยฮวง หลังจากข้ากับหวูเฉินแต่งงานกันแล้ว พวกเราก็เหมือนพี่น้องกัน”

“ใคร...ใครอยากเป็นพี่น้องกับเจ้า? ข้าไม่ต้องการเป็นน้องเจ้า สามีข้าจะไม่มีวันแต่งกับเจ้า!” หลงฮวงเอ๋อร์กลัวจะถูกนางพรากเย่หวูเฉินจากไป ดังนั้นนางจึงกล่าววาจาไม่ถนอมน้ำใจ มือทั้งสองกอดแขนของเขาไว้แน่น

“เฮ้!” ชูเกอเสี่ยวหยูใช้มือทั้งสองเท้าสะเอวของตน มองที่หลงฮวงเอ๋อร์อย่างไม่พอใจ “ทุกคนรู้ดีว่าอีกสามปีท่านถึงจะแต่งได้ หวูเฉินของข้าไม่รีบร้อน แต่ท่านเด็กตัวน้อยๆกลับเป็นกระวนกระวาย ข้ากับหวูเฉินจะแต่งงานกันในอีกไม่นาน และเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าก็จะเป็นพี่สาว และคอยอบรมน้องสาวอย่างท่าน ฮึ่ม!”

เย่หวูเฉินเริ่มวิงเวียนศีรษะเมื่อได้ยินคำ เขาไม่ทราบว่าชูเกอเสี่ยวหยูเอาความมั่นใจมาจากไหน เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “คุณหนูชูเกอ เจ้าพูดกับหลินเหยียนแบบนั้น ไม่กลัวว่าเขาจะถือสาใส่ใจหรือ?”

ชูเกอเสี่ยวหยูย่นจมูกแล้วแค่นเสียงกล่าว “ข้าไม่กลัวเขา อีกทั้ง ท่านต้องปกป้องข้าแน่ถูกไหม? ยิ่งกว่านั้น เรียกหาข้าว่าเสี่ยวหยูก็พอ เรียกข้าว่าคุณหนูชูเกอช่างดูเหินห่าง”

“....คุณหนูชูเกอ....”

“เรียกข้าว่าเสี่ยวหยูก็พอ!” ชูเกอเสี่ยวหยูกล่าวย้ำอีกครั้งอย่างขัดเคือง เมินเฉยต่อสายตาประท้วงของหลงฮวงเอ๋อร์ นางเข้ามากอดแขนซ้ายของเย่หวูเฉิน จากนั้นหันหน้าหาหลงฮวงเอ๋อร์ ปฏิบัติราวกับนางไม่ใช่องค์หญิง

เย่หวูเฉินดิ้นรนเป็นอิสระแต่เปล่าประโยชน์ นางกอดไว้แน่นอย่างยิ่ง กางกั้นไว้เพียงชั้นผ้าบาง เย่หวูเฉินรู้สึกได้ถึงรูปทรงของอกน้อยๆของนาง เหมือนมันกำลังสั่นไหวเล็กน้อย แม้ว่าภายนอกนางจะดูร่าเริงและไม่ใส่ใจ แต่นี่คือครั้งแรกที่นางสัมผัสบุรุษ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกกังวล

“ตกลง...เสี่ยวหยู ข้าเป็นบุรุษ ทำแบบนี้จะทำให้เจ้าเสียชื่อได้” เย่หวูเฉินกล่าวเตือนนางโดยไม่อาจทนรอ

“อย่าห่วงไปเลย ชั่วชีวิตนี้ข้าจะแต่งกับท่านเท่านั้น” ชูเกอเสี่ยวหยูกล่าวอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ นางขยับเข้ามาใกล้ขึ้น แล้วถามเสียงเบา “หวูเฉิน พวกเราจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?”

เย่หวูเฉินรู้สึกตัวว่าแพ้แล้ว เขากอดหลงฮวงเอ๋อร์ด้วยแขนหนึ่งข้าง จากนั้นทุ่มความพยายามดึงแขนขวาออกจากชูเกอเสี่ยวหยูอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ชูเกอเสี่ยวหยูจะรู้ตัว เย่หวูเฉินก็วิ่งหนีไปไกลพร้อมกับหลงฮวงเอ๋อร์

“เฮ้! ท่านรอดูเถอะ... ข้าจะทำให้ท่านแต่งกับข้าให้ได้! ฮึ่ม!” นางตะโกนไปทางเย่หวูเฉิน ไม่สนใจว่าจะมีใครได้ยินเสียงนางตะโกน เมื่อร่างของเขาหายลับสายตา นางมุ่ยปากอย่างขัดเคืองแล้วกลับเข้าไปในสถาบัน



<<<PREV    .    NEXT>>>