วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 118

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 118 คืนเสียบริสุทธิ์

เมื่อเห็นเย่หวูเฉินเข้ามา หนิงเสวี่ยกางแขนงามออกต้อนรับ ร่างกายของนางราวหิมะและน้ำแข็ง ไร้มลทิณแห่งละอองธุลี สิ่งที่นางปรารถนายามนี้ไม่ใช่การอาบน้ำ แต่เป็นสัมผัสด้วยรักและทะนุถนอมจากพี่ชาย

ทงซินลอยล่องอยู่กลางอากาศ มองตะเกียงเวทย์ที่เปล่งแสงด้วยความใคร่รู้ แสงสว่างเป็นปรปักษ์กับความมืด และเป็นปรปักษ์ครึ่งหนึ่งกับความตาย แต่กฎนี้กลับไม่มีผลต่อทงซินโดยตรง นางมีทั้งพลังความมืดและความตาย ใบหน้านางไม่ปรากฎความต่อต้านหรือรังเกียจ มีแค่เพียงความสงสัย นางสงสัยว่าสิ่งกลมๆสีขาวลูกใหญ่นี้เปล่งแสงสว่างได้อย่างไร

นางยื่นนิ้วบางราวต้นหอมออกจิ้มแตะ ตะเกียงเวทย์แกว่งเคลื่อนไหวเล็กน้อย แสงเงาในห้องไหวเคลื่อนตามการแกว่งของตะเกียง ไหวสลับระหว่างแสงและเงา ดูเหมือนทงซินได้ค้นพบบางสิ่งที่น่าสนใจ ดวงตานางเป็นประกาย นิ้วมือจิ้มอีกครั้ง และอีกครั้ง มีความสุขขณะมองตะเกียงแกว่งไปมา

เย่หวูเฉินมองดูนางด้วยรอยยิ้ม มีเพียงเด็กน้อยจิตใจบริสุทธิ์ถึงจะมีความสุขกับสิ่งเรียบง่าย หากไม่นับเรื่องพลังน่ากลัวของทงซิน นางก็เป็นเพียงเด็กสาวจิตใจบริสุทธิ์ราวกระดาษขาว

เปรี๊ยะ!

เกิดเสียงแตกตามด้วยแสงสว่างจ้าพร่าสายตาไปทั่วห้อง แสงสว่างวาบเพียงไม่นานก่อนที่มันจะดับมอดลง ปรากฎว่าตะเกียงผู้อาภัพ ถูกจิ้มพร้อมพลังที่รั่วออกมาจนมันแตกเป็นชิ้น บางส่วนร่วงลงพื้นและแตกเป็นชิ้นเล็กๆ

เย่หวูเฉินไม่ทราบสมควรหัวเราะหรือร้องไห้ โชคยังดีที่ในห้องมีตะเกียงเวทย์สองดวง และแสงสว่างยังมีความเข้มตามปกติ ทงซินรู้ตัวว่าได้ทำบางสิ่งผิดพลาดลงไป นางลอยลงมาและไปยืนอยู่ตรงมุมห้อง มองมาที่เย่หวูเฉินด้วยสีหน้ากังวลอย่างน่าสงสาร

เย่หวูเฉินอุ้มหนิงเสวี่ยที่เปียกน้ำ หลังจากทำให้ร่างของนางแห้งดี เขาก็วางนางบนเตียงแล้วเอาผ้าห่มคลุมไว้ จากนั้นเดินไปอยู่เบื้องหน้าทงซินแล้ววางมือบนศีรษะของนาง “ไม่เป็นไร ข้าจะให้พวกเขาเอาตะเกียงดวงใหม่มาเปลี่ยนวันพรุ่งนี้ ถึงเวลานอนแล้ว”

ตอนนี้ เตียงของเย่หวูเฉินมีสมาชิกเพิ่มอีกคนคือทงซิน นางตัวโตกว่าหนิงเสวี่ยเพียงเล็กน้อย แต่การตอบสนองครั้งแรกที่ได้นอนบนเตียงนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง สาวน้อยผู้นี้ หลังจากที่ถูกพันธนาการอยู่ในหอคอยปีศาจนานกว่า 20 ปี นางกลิ้งไปทั่วรอบเตียงด้วยความปรีดา แต่ไม่ว่านางจะหัวเราะสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจมีเสียงใดเล็ดลอดออกมา นางไม่ได้สูญเสียความสามารถในการพูด หากแต่เป็นเสียงของนาง

มีสตรีเทพพิโรธปกป้องถึงบนเตียง จะมีอะไรมั่นคงและสบายใจมากเท่านี้

แต่ไม่ช้าเย่หวูเฉินจะรู้ว่าผลลัพธ์นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

หนิงเสวี่ยมักนิ่งสงบและหลับอย่างรวดเร็ว พิงอกเย่หวูเฉินและไม่เคลื่อนไหว มีเพียงจมูกน้อยๆเคลื่อนตามการหายใจ ทงซินนั้นตรงข้ามกับหนิงเสวี่ยที่สงบอย่างสิ้นเชิง เย่หวูเฉินที่พึ่งผล็อยหลับกลับรู้สึกถึงอีกร่างบนหน้าอก นุ่มละมุนอบอุ่นราวกับหยกอ่อน ผิวละออเบียดร่างตามการดิ้นที่ไม่รู้ตัว เย่หวูเฉินลืมตาเพื่อพบว่าใบหน้าแสนเสน่ห์แทบจะแนบใบหน้าตน ดวงตานางปิดอยู่ ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังนอนหลับสบาย แต่ร่างของนางกลับอยู่ไม่สุขทั้งที่เจ้าตัวหลับไปแล้วอย่างรวดเร็ว

เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ยามนี้ร่างกายนางเปลือยเปล่า ราวกับว่านางถอดชุดออกด้วยจิตใต้สำนึกเพราะความรู้สึกไม่สบายตัว

หากว่านี่คือหนิงเสวี่ย เขาจะกอดนางแน่นและหลับอย่างสงบ แต่ทงซิน... ใบหน้าที่งามล้ำโลก ร่างกายที่ขัดสีกันกลายเป็นสิ่งเร้าร้ายแรง ความร้อนเริ่มไหลเวียนกระจาย ส่วนล่างของร่างกายแทบจะตอบสนองในฉับพลัน...

หากเป็นในยามปกติ เพียงสายลมแผ่วหรือหญ้าไหวอ่อนก็เพียงพอปลุกทงซินให้ตื่นขึ้น แต่ครั้งนี้ ด้วยความที่ทงซินกำลังหลับลึก นางรู้ด้วยจิตใต้สำนึกว่ามีบางสิ่งดุนดันอยู่ระหว่างขาของนาง แต่ด้วยไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ นางจึงหลับต่อ มือเล็กๆของนางคว้าจับของแข็งอุ่นนั้นไว้แน่นด้วยสัญชาตญาณ ขาทั้งสองถูไถไปกับขาของเย่หวูเฉิน

เย่หวูเฉินสูดเอาอากาศเย็นเยือกเข้าไปอีกเฮือกหนึ่ง ก่อนสำนึกได้ว่าทำผิดพลาดใหญ่หลวงที่ให้ทงซินนอนบนเตียงกับเขา เขาประเมินความสามารถต้านทานของตนเองสูงเกินไป

เรื่องน่ากลัวคือสาวน้อยนิสัยเสียนางนี้ ขณะนางที่นอนหลับ กลับรู้สึกว่าตนได้คว้าจับบางสิ่งที่น่าสนใจ มือของนางเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ ปากนางขยับเล็กน้อยคล้ายละเมอ

“ฟู่ว—ห์”

ความปรารถนาทะยานพุ่งร้อนรุ่มไปทั่วร่าง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกกระตุ้นเร้าถึงเพียงนี้ เขาไร้พลังที่จะต้านทาน แม้ว่ามือเล็กนุ่มอบอุ่นนั้นจะขยับเชื่องช้าธรรมดา แต่แรงกระตุ้นนี้สำหรับเย่หวูเฉินผู้ไร้ประสบการณ์นับว่าร้ายแรง เขาเริ่มหอบหายใจดัง ร่างกายคล้ายลุกเป็นไฟ ลมหายใจร้อนรดใบหน้าทงซิน

ปรากฏว่า การเคลื่อนไหวชักช้าของทงซินไม่อาจปลดปล่อยความปรารถนาที่ผงาดง้ำ และกลับทำให้เขาร้อนรุ่มยิ่งขึ้น ในที่สุด เขาก็กัดฟันแล้วจับมือเล็กๆของทงซิน สลัดความรู้สึกผิดบาปแล้วนำนางเร่งความเร็ว ในตอนนี้ ทงซินตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกถึงมือที่เคลื่อนไหว นางลืมตาไร้เดียงสาและจ้องเขาอย่างโง่งม

“วิธีที่ถูกคือทำแบบนี้ ลุยเลย” เย่หวูเฉินกล่าวเสียงแผ่ว หอบหายใจและปล่อยมืองามของนาง

ทงซินกระพริบตาปริบ มองดูใบหน้าพึงใจของเขาขณะที่หลับตา นางเชื่อฟังและเร่งความเร็วของมือน้อยๆ ขณะเดียวกัน นางแลบลิ้นออกมาเลียใบหน้า ซอกคอและหน้าอก ทิ้งรอยของเหลวไว้เป็นทาง

ในคืนเงียบงัน เสียงหอบหายใจของเย่หวูเฉินยิ่งหนักและดังขึ้น หลังจากผ่านไปนาน เขาก็โล่งอกและถอนหายใจยาว ด้วยของเหลวอุ่นที่พุ่งออกจากร่าง พ่นใส่มือและขาน้อยๆของทงซิน

อ่าห์.... ความบริสุทธิ์ของชายชาตรีอย่างข้า กลับถูกพรากด้วยเงื้อมมือของทงซิน เย่หวูเฉินลอบถอนหายใจ เขาพยายามนึกถึงความรู้สึกสัมผัสเมื่อครู่อยู่เงียบๆ

............................

เช้าตรู่วันต่อมา เย่หวูเฉินไม่มีทางเลือกต้องตื่นก่อนรุ่งสาง ไปยังพระราชวังแห่งเทียนหลง หลังจากพบหลงหยินแล้ว นางกำนัลก็พาเขาไปที่วังหงส์เหิน ซึ่งเป็นสถานที่ประทับขององค์หญิงเฟยฮวง แต่ก่อนที่เขาจะออกไปพ้นท้องพระโรง ราชองครักษ์ก็รีบเข้ามาพร้อมกับข่าวด่วน

“ทูลฝ่าบาท เมื่อวานนี้ตอนรุ่งเช้า องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฟง ฟงหวูจี้ สวรรคตด้วยพระประชวรเฉียบพลัน ทั่วทั้งอาณาจักรต้าฟงไว้ทุกข์เป็นเวลาสามวัน หลังจากนั้น องค์ชายรัชทายาทฟงเลี่ยจะขึ้นสืบบัลลังก์”

ข่าวนี้ทำให้ขุนนางนับร้อยมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ส่วนใหญ่เป็นสีหน้าแห่งความดีใจ มีส่วนน้อยที่แสดงสีหน้าครุ่นคิด

“เป็นเรื่องจริงรึ?” หลงหยินยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น

“เป็นความจริงอย่างแน่นอน กระหม่อมกล้านำความมาทูลฝ่าบาทหลังจากยืนยันแล้วเรียบร้อย”

ขุนนางชราผู้หนึ่งแต่งกายชุดขุนนางภายใน เขาก้าวออกมาและกล่าวอย่างตื่นเต้น “ฝ่าบาท ช่างเป็นข่าวดียิ่งนัก! ฟงหวูจี้มีความทะเยอทะยานราวกับหมาป่า เขาใช้ความพยายามหลายครั้งเพื่อเข้ายึดครองอาณาจักรทั้งสาม เพื่อปกครองโลกหล้าทั้งใบ แต่ตอนนี้เขาพบจุดจบตกตายก่อนอายุครบ 60 ปี หลังจากจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชบัลลังค์แห่งอาณาจักรต้าฟง สิ่งแรกเขาจะกระทำ ย่อมคือการสร้างความเชื่อมั่นในใจประชาชน ในช่วงเวลาสั้นๆนี้เขาย่อมไม่มีความคิดพิชิตโลก อาณาจักรเทียนหลงของพวกเราย่อมได้อยู่อย่างสงบใจ”

ขุนนางหลายคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้น ชูเกอหวูอี้ ก้าวออกมาแล้วกล่าว “ใต้เท้าอวี้ คำกล่าวท่านยังไม่อาจยืนยันได้ ในวันเก่าก่อน ข้าติดตามขุนพลชราเย่เข้ารบพุ่งกับอาณาจักรต้าฟงอยู่หลายครั้ง พวกเราไม่เคยเห็นจักรพรรดิแห่งต้าฟง ฟงหวูจี้ แม้แต่คราเดียว แต่ตรงกันข้าม พวกเราเจอกับองค์ชายฟงเลี่ยอยู่บ่อยครั้ง บุคคลผู้นี้มีศักดิ์ฐานะสูงเป็นถึงองค์ชาย แต่เขากลับเข้าร่วมรบในสงครามด้วยตนเอง ทั้งยังกล้าหาญทรงพลังอยู่บนหลังม้า ในช่วงเวลานั้น เขานำทัพแกร่งกล้าของอาณาจักรต้าฟงเข้าจู่โจมอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเทพกระบี่ พวกเขาคงกวาดล้างอาณาจักรเทียนหลงจนสิ้นซาก เห็นได้ชัดว่าความทะเยอทะยานของเขาสูงล้ำกว่าบิดา อาณาจักรต้าฟงไม่ได้เคลื่อนไหวระลอกใหญ่มาเกือบยี่สิบปี ครั้งนั้นเขาเผยความทะเยอทะยานออกมาอย่างเด่นชัด ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ ว่าหลังจากเขาขึ้นครองบัลลังก์เขาจะกลับมาคิดการใหญ่อีกครา ตอนนี้อาณาจักรเทียนหลงของพวกเราไม่เพียงหาสันติสุขได้ยาก แต่ยังกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง!”

เย่หนู่ยืนขึ้นบ้างแล้วกล่าว “ถึงแม้ว่าขุนพลชูเกอจะไม่อาจทราบชัดถึงจิตใจของผู้อื่น แต่คำกล่าวของเขาถูกต้องอย่างที่สุด การตายของฟงหวูจี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีกับอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา”

ตอนนี้เย่หวูเฉินออกมาไกลแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ยินคำพูดส่วนหลังที่เหลือ

ขณะที่เขาสำรวจดูพื้นที่ส่วนต่างๆของพระราชวัง เขาก็คิดคำนวณในใจไปด้วยว่าองค์หญิงเฟยฮวงจะใช้ลูกไม้ใดกับเขา วันนั้นก่อนที่นางจะจากไป รอยยิ้มของนางช่างเหมือนกับจิ้งจอกน้อย แน่นอน...แค่จิ้งจอกน้อยเท่านั้น



<<<PREV    .    NEXT>>>