“แต่ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสชื่นชอบสุรายิ่งกว่าภาพวาด
ดังนั้น” เขาเคลื่อนสายตาออกจากฮั่วเจิ้นเทียนที่ยังคงตาโต
แล้วมองไปยังฮั่วฉุ่ยโหรวที่อยู่ข้างๆ สายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มบางก่อกวนจิตใจของนาง
“ข้าขอมอบภาพวาดนี้ให้กับแม่นางฮั่วฉุ่ยโหรวแทน”
ฮั่วฉุ่ยโหรวสั่นไปทั้งร่าง บีบมือแน่นลืมเคลื่อนไหว นางสบประสานสายตากับเย่หวูเฉิน ต่างมองหน้ากันและกัน
บรรยากาศพลันเงียบสนิท
ผู้คนมองหน้ากันอย่างสะดุ้ง ไม่คาดคิดกับผลลัพธ์ที่ออกมา
พวกเขาเริ่มลอบมองที่หลินเสี่ยว
ทุกคนในอาณาจักรเทียนหลงล้วนรู้กันว่าฮั่วฉุ่ยโหรวได้หมั้นหมายกับหลินเสี่ยว พวกเขาจะแต่งงานกันเมื่อนางอายุครบ
16 ปี
บุรุษที่พรสวรรค์สร้างกับสตรีงามฟ้าประทาน ทุกคนล้วนมองว่าเขาทั้งคู่เหมาะสมกัน
บุรุษมากมายที่มีพรสวรรค์และรูปโฉม แม้จะชื่นชมนางแต่ไม่อาจเอื้อมมีความคิดไม่เหมาะควร
เวลานี้นายน้อยแห่งตระกูลเย่กลับกล้ามอบภาพวาดดอกบัวคู่บนก้านเดียวให้กับนางต่อหน้าทุกคน
เห็นได้ชัดว่าเขายิ่งขุดหลุมลึกฝังหลินเสี่ยวลงมิใช่หรือ? จะมีชายใดที่ทนต่อการหยามละเมิดเช่นนี้ได้?
สองสิ่งที่ทำให้ผู้คนชิงชังอย่างที่สุด
หนึ่งคือสังหารบิดา สองคือพรากสตรีของตน... นายน้อยตระกูลหลินจะตอบสนองกลับไปเช่นใด!?
แม้หลินเสี่ยวจะยังไม่เอ่ยคำ
แววตาของเขาก็สะท้อนความโกรธขึ้งอย่างสุดแสน
ไม่ว่าเขาจะมีความยับยังชั่งใจหรือเป็นสุภาพบุรุษถึงปานใด หากถูกเหยียบย่ำเกียรติภูมิ
เขาก็ยากที่จะทานทน
“เจ้าหนูตระกูลเย่
เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง!” หลินซานยืนขึ้นตะโกน ใช้ภาพวาดสื่อใจมอบให้ว่าที่ลูกสะใภ้ของตน
ทั้งต่อหน้าตระกูลหลินรวมถึงต่อหน้าผู้คน
หมอนี่ไม่มีความเคารพตระกูลหลินสักนิดเลยหรือไง? เรื่องนี้ไม่อาจทนไหว
หากคนตระกูลหลินไม่ลุกขึ้นประท้วงหลังถูกหยาม พวกเขาก็มีเพียงต้องขายขี้หน้าอับอาย
มีเพียงคนโง่ที่ไม่รู้ความหมายของภาพว่าสื่อถึงสิ่งใด
“โอ้?” เย่หวูเฉินมองด้วยความงุนงง
จากนั้นถามกลับไป “ท่านพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“ฮึ่มม!”
หลินขวงแค่นเสียงหนัก อยากทุบตีชายคนนี้ให้ย่อยยับ “พวกเราตระกูลหลินและตระกูลฮั่วได้ตกลงเรื่องการแต่งงานกันไว้แล้ว
คุณหนูตระกูลฮั่วเป็นคู่หมั้นของเสี่ยวเอ๋อร์ตั้งแต่หกปีก่อน
เจ้ามอบภาพวาดนี้เป็นของขวัญให้นาง จะให้หมายความว่าเช่นไร?”
ผู้คนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
คิดว่าเย่หวูเฉินไม่สมควรกระทำแบบนี้เช่นกัน
“โอ้!” เย่หวูเฉินพลันทราบเรื่อง หากแต่ไม่ได้มองไปที่เขา
สายตายังคงจ้องตรึงที่ฮั่วฉุ่ยโหรว ทำให้นางต้องเบือนหน้าหนีและก้มศีรษะลง
เย่หวูเฉินหันไปแล้วกล่าว “ข้าขอบังอาจถาม
ว่าคุณหนูฮั่วเป็นคนของตระกูลหลินแล้วหรือยัง?”
“แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่ภายในสัปดาห์นี้นางจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลินเรา”
“ในเมื่อนางยังไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตระกูลหลิน
เช่นนั้นข้ามอบภาพวาดให้นางก็ไม่ใช่ธุระกงการใดของพวกท่าน” เย่หวูเฉินแสดงสีหน้าไม่พอใจ
หลินซานพูดไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่อาจหาถ้อยคำใดมาตอบโต้
“ข้าต้องการมอบภาพดอกบัวคู่บนก้านเดียวให้กับแม่นางฮั่ว
ไม่ได้จะมอบให้ผู้ใดในตระกูลหลิน พวกท่านมีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า!
ตระกูลหลินของพวกท่านมีสิทธิ์อะไรในตัวแม่นางฮั่ว นางยังไม่ทันแต่งเข้าตระกูลหลิน
พวกท่านก็แสดงความไร้เหตุผลและบ้าอำนาจ กระทั่งล่วงล้ำก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนาง
แล้วถ้าเกิดนางแต่งเข้าตระกูลหลินของพวกท่านจริงๆ….” เย่หวูเฉินไม่กล่าวต่อ
เขาถอนหายใจแล้วมองฮั่วฉุ่ยโหรวด้วยแววตาสงสาร ทั้งยังเจตนาให้ฮั่วเจิ้นเทียนมองเห็น
ฮั่วเจิ้นเทียนคราแรกยังไม่ยอมรับ แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของเย่หวูเฉิน
เขาพลันบังเกิดโทสะแล้วยืนขึ้นตะโกน “ตาแก่หลิน! ขนาดข้าเป็นพ่อ
ข้ายังไม่เคยปริปากสักคำ พวกเจ้าตระกูลหลินเป็นคนประเภทไหน
ถึงได้ยุ่งเรื่องของลูกสาวข้า! เจ้าฟังข้าให้ดี
ข้าฮั่วเจิ้นเทียน มีลูกสาวเพียงคนเดียว
ถ้าใครกล้าปฏิบัติต่อนางไม่ดีข้าจะเลาะกระดูกมัน! หากลูกสาวข้าชอบภาพนี้
จะจักรพรรดิหรือพระเจ้าก็ไม่อาจขัดขวาง!”
สาปส่งองค์จักรพรรดิทั้งที่เขาอยู่ที่นี่
ฮั่วเจิ้นเทียนคงเป็นผู้เดียวที่ยังมีชีวิตหลังพูดแบบนั้น
หากบุคคลอื่นกระทำแบบเดียวกัน หลงหยินย่อมต้องบันดาลโทสะในทันที
แต่เขากลับทำเพียงยิ้ม ไม่ถือสาใส่ใจ เขารู้จักอุปนิสัยของฮั่วเจิ้นเทียนอย่างดี ฮั่วเจิ้นเทียนจงรักภักดีต่อราชตระกูล
แต่เป็นผู้มีอารมณ์ดุเดือด ทั้งโผงผางและตรงไปตรงมา ไม่เคยสนใจในกฎเกณฑ์ เป็นผู้เถรตรงและเปิดเผย
เขารักสุราเท่าชีวิตและไม่เคยขาดมัน
หลินซานแทบทนคำตะโกนด่าทอไม่ได้และลอบสบถ...
บิดาแค่สนใจเรื่องชื่อเสียงของตระกูลหลินของข้า ไม่ใช่เรื่องลูกสาวขี้ประติ๋วของเจ้า
เจ้าสมองกลวงนี่กลับถูกล่อลวงอย่างง่ายดายด้วยวาจาเพียงไม่กี่คำ!
ฮั่วเจิ้นเทียนไม่ทันรู้ตัวเลยว่า
ถ้อยคำที่เขากล่าวปกป้องลูกสาวของตน แสดงให้เห็นเป็นนัยว่าเขาอยู่ข้างเย่หวูเฉิน และผลกลับกลายเป็นว่าตระกูลหลินตบหน้าตนเองอย่างรุนแรง
หลินเสี่ยวเฝ้ามองสถานการณ์ เห็นว่านี่ย่อมคุกคามความสัมพันธ์ของตระกูลฮั่วและตระกูลหลิน
เขาทำลายความเงียบในทันที “ขุนพลฮั่ว ท่านพ่อ โปรดอย่าพึ่งมีโทสะ สตรีที่ฉลาด
งดงามและอ่อนหวานนุ่มนวล ย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ
แม่นางฮั่วงดงามจนดึงดูดแม้กระทั่งปักษาและเหล่าสัตว์ ผู้คนชมชอบนางมีมากมายไม่อาจนับได้
การกระทำของคุณชายเย่ล้วนนับว่าเป็นเรื่องปรกติ
แม้ว่าแม่นางฮั่วและตัวข้าจะเป็นคู่หมั้นกัน แต่นางก็ยังไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตระกูลหลิน
ดังนั้นทุกคนจึงยังมีสิทธิ์ที่จะไขว่คว้านาง
พวกเราตระกูลหลินไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อย่างแท้จริง อีกอย่าง
นายน้อยเย่พึ่งกลับมาหลังจากสูญเสียความทรงจำ ดังนั้นเขาย่อมไม่รู้ว่าแม่นางฮั่วหมั้นหมายแล้ว
จึงไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวตำหนิเขา”
ผู้คนจำนวนมากลอบพยักหน้า
หลินเสี่ยวไม่เพียงอ้างความทรงจำของเย่หวูเฉินเพื่อรักษาหน้าให้ตระกูลหลิน
แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่กว้างขวางน่านับถือต่อผู้คน
พวกเขาแน่ใจว่าบุตรผู้นี้ย่อมมีอนาคตที่รุ่งเรือง
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! ท่านกล่าวได้ถูกต้อง!” เย่หวูเฉินปรบมือยอมรับ
จากนั้นกล่าวพุ่งเป้าไปที่หลินเสี่ยว “เป็นคำพูดของสุภาพบุรษอย่างแท้จริง เป็นวาจาของนักศึกษาปริญญาเอก
คุณชายหลินคู่ควรถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะผู้ทรงปัญญา ทั้งความคิดเห็นที่ฉลาดหลักแหลมและความอดทน
ล้วนทำให้ข้านับถืออย่างที่สุด เมื่อเทียบความอดทนกันแล้ว ท่านกับข้านับว่าต่างกันห่างไกล”
จากนั้นเขาใช้น้ำเสียงที่มีแค่หลินเสี่ยวได้ยินเพียงคนเดียว
“ช่างอดทนอะไรเช่นนี้ หากข้าเป็นท่าน
ข้าคงตบหน้าสองฉาดใหญ่กับมันผู้ใดก็ตามที่เข้ามาตอแยสตรีของข้า”
หลินเสี่ยวกัดฟันแน่น
ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย
แม้เย่หวูเฉินจะกล่าวเช่นนั้น
แต่ไม่ว่าคนเสียสติใดก็ฟังออกว่านั่นเป็นคำเย้ยหยัน
หากพวกเขาได้ฟังเพียงคำกล่าวของหลินเสี่ยว
พวกเขาจะรู้สึกว่าหลินเสี่ยวมีอุปนิสัยโดดเด่นและมีอนาคตที่สดใส
แต่หากพวกเขาได้ยินคำกล่าวของเย่หวูเฉิน...พวกเขาจะรู้สึกว่าหลินเสี่ยวเป็นคนขี้ขลาด!
ยังทำตัวเป็นคนดีได้ทั้งๆที่ว่าที่ภรรยากำลังถูกรุกคืบถึงเพียงนี้
หากเขาไม่ใช่คนขี้ขลาด แล้วจะเป็นอะไร?
อย่างไรก็ดี คำที่นายน้อยเย่พูดถึง ‘นักศึกษาปริญญาเอก’
นั้นมันคือสิ่งใด? ทีละคนๆผู้ชมเริ่มถามกันแต่ไม่มีผู้ใดรู้คำตอบ