“เป็นเพราะว่าสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก
จึงทำให้ไม่เคยมีใครได้สัมผัสพลังที่แท้จริงของพวกเขา
ทั้งพวกเรายังไม่สามารถประเมินพลังของพวกเขาได้ พวกเขาเหมือนกับอยู่กันคนละโลกกับพวกเรา
บางทีการจัดระดับพลังของพวกเราไม่อาจใช้ได้กับพวกเขา อย่างไรก็ตาม
ในยามนี้พวกเขามีพลังระดับขอบเขตเทวะอย่างแน่นอน
และบางทีพลังของพวกเขาอาจสูงกว่าเทพทั้งสี่แห่งทวีปเทียนเฉิน” เย่เว่ยกล่าว
“โอ้? ราชตระกูลแห่งเทียนหลงได้ช่วยเหลือเจ้าสำนักจักรพรรดิใต้ในช่วงเวลาวิกฤต และช่วยถอนพิษออกจากร่างกาย ทั้งยังส่งผู้คุ้มกันระดับขอบเขตสวรรค์พร้อมกับยอดฝีมืออีกจำนวนมาก และช่วยเหลือพวกเขาเอาชนะสำนักจักรพรรดิเหนือ นี่จะไม่เป็นการกระตุ้นโทสะของ ‘ขุมกำลังขนาดใหญ่’ อย่างสำนักจักรพรรดิเหนือหรอกหรือ? หากมีวันหนึ่งที่ผู้นำสำนักจักรพรรดิเหนือ ผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่หลายปีตัดสินใจแก้แค้นขึ้นมา ราชตระกูลแห่งเทียนหลงก็เท่ากับตกอยู่ในอันตราย?” เย่หวูเฉินกล่าวถึงประเด็นที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
“โอ้? ราชตระกูลแห่งเทียนหลงได้ช่วยเหลือเจ้าสำนักจักรพรรดิใต้ในช่วงเวลาวิกฤต และช่วยถอนพิษออกจากร่างกาย ทั้งยังส่งผู้คุ้มกันระดับขอบเขตสวรรค์พร้อมกับยอดฝีมืออีกจำนวนมาก และช่วยเหลือพวกเขาเอาชนะสำนักจักรพรรดิเหนือ นี่จะไม่เป็นการกระตุ้นโทสะของ ‘ขุมกำลังขนาดใหญ่’ อย่างสำนักจักรพรรดิเหนือหรอกหรือ? หากมีวันหนึ่งที่ผู้นำสำนักจักรพรรดิเหนือ ผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่หลายปีตัดสินใจแก้แค้นขึ้นมา ราชตระกูลแห่งเทียนหลงก็เท่ากับตกอยู่ในอันตราย?” เย่หวูเฉินกล่าวถึงประเด็นที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
เย่หนู่พยักหน้าพลางลูบหนวด
“เฉินเอ๋อร์ สิ่งที่เจ้าพูดนั้นถูกต้อง การทำเช่นนั้นย่อมหมายถึงผู้นำสำนักจักรพรรดิใต้ได้ติดค้างหนี้บุญคุณใหญ่หลวงต่อราชตระกูลเทียนหลง
แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างศัตรูที่น่ากลัว
ผู้นำสำนักจักรพรรดิใต้ได้สัญญาว่าจะปกป้องราชวงศ์เทียนหลงที่อาจกลายเป็นเป้าโจมตีของสำนักจักรพรรดิเหนือ
แต่อย่างไรก็ตาม การโจมตีนั้นง่ายกว่าการป้องกัน
แม้ว่าพลังของสำนักจักรพรรดิใต้จะไม่เป็นรอง
แต่หากสำนักจักรพรรดิเหนือลอบโจมตีลับๆ ด้วยพลังอันน่ากลัว
พวกเขาย่อมสามารถสร้างหายนะร้ายแรงให้แก่ราชตระกูลเทียนหลงก่อนที่สำนักจักรพรรดิใต้จะทันรู้ตัว
เฮ้อ... อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปเลย องค์จักรพรรดิสมควรเตรียมแผนรับมือเอาไว้แล้ว
ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องกังวล เฉินเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดถึงเรื่อง ‘เจิมศีรษะส่งพลังบริสุทธิ์’ นั้นเหมือนกับ ‘เจิมศีรษะส่งพลังแห่งสวรรค์และปฐพี’ หรือไม่?”
“ถูกต้อง
แม้ว่าชื่อจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่ก็ยังคงคล้ายกันมาก สำหรับการ ‘เจิมศีรษะส่งพลังบริสุทธิ์’
อาจารย์ของข้าสามารถทำได้เพียงครั้งเดียวในทุกๆสิบปี เพื่อถ่ายทอดวิชาและพลังบางส่วนให้กับข้า
รวมถึงพรสวรรค์และทักษะต่างๆ เช่นเดียวกับ ‘เจิมศีรษะส่งพลังแห่งสวรรค์และปฐพี’ แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ หลังจากที่อาจารย์ถ่ายทอดพลังให้กับข้าแล้ว ระดับพลังของเขาจะไม่ลดลง
เขาจะเพียงอ่อนแอลงเป็นเวลาแค่สิบวัน
ในระหว่างสิบวันนี้จะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในชีวิตเขา
เนื่องจากเขาจะมีสภาพไม่ต่างไปจากคนธรรมดา ข้าต้องรอจนกว่าเวลาจะผ่านไปครบสิบวันเพื่อให้เขาฟื้นคืนพลังทั้งหมด
และข้าจึงจะสามารถจากไป”
ยามที่เย่หวูเฉินโกหกเขาจะไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป
ตรงจุดที่เขาจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆออกมา ขณะที่กำลังลูบผมของหนิงเสวี่ย
เขาพลันนึกถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก แม่ของเขาคอยบอกอยู่เสมอว่าอย่าพูดโกหก...
แต่ในโลกประหลาดแห่งนี้ เขาโกหกทุกวัน... บ้านหลังใหม่ สถานะใหม่ เขาเหน็ดเหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน
เขาต้องรออีกนานเท่าไหร่กว่าร่างกายและจิตใจจะย้ายไปจากโลกใบนี้และกลับไปยังบ้านของตน
“ที่แท้ เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอง! ในที่สุดข้าก็เข้าใจ
ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าบรรลุถึงระดับนี้เพียงในเวลาสั้นๆ ไม่แปลกแล้ว! ไม่แปลกเลย!” ทุกอย่างกระจ่างชัดต่อเย่หนู่ ความสงสัยทุกอย่างพลันหายไปจากใจ
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและพอใจ เขาไม่เคยสงสัยในสิ่งที่เย่หวูเฉินพูด
นอกจากวิธีนี้แล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะสามารถเปลี่ยนคนไร้ค่าผู้หนึ่งให้กลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่กล้าแกร่งถึงเพียงนี้ได้ในเวลาแค่เดือนเดียว
“พวกเราติดค้างเทพกระบี่อย่างใหญ่หลวง
จะพอมีวิธีใดบ้างที่พวกเราตระกูลเย่สามารถตอบแทนเขาได้!?” เย่หนู่ถอนหายใจ
พวกเขาไม่สามารถตอบแทนบุญคุณใหญ่หลวงครั้งนี้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามสักเท่าไหร่
พวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ตอบแทน สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือดูแลส่งเสริมและสนับสนุนเย่หวูเฉิน
เพื่อที่ว่าเทพกระบี่จะได้ไม่ผิดหวังกับความพยายามของเขาที่ได้ ‘ฝึกฝน’ เย่หวูเฉิน
“เฉินเอ๋อร์
หากเจ้าได้พบอาจารย์อีกครั้ง เจ้าต้องขอบคุณท่านแทนแม่ของเจ้าด้วย”
หวังเวิ่นชูยิ้มกล่าว หลังจากวันนี้ไป ผู้ใดจะกล้าปากเสียกับบุตรชายของนาง ความประหลาดใจที่เย่หวูเฉินทำให้นางรู้สึกในวันนี้
ทั้งยังต่อเนื่องหลายครั้งหลายครา จนทำให้นางแทบสลบด้วยความตื่นเต้น
จนกระทั่งตอนนี้ นางยังคงไม่ฟื้นตัวจากอาการประหลาดใจ ยังคงรู้สึกราวกับว่าฝันไป
แต่เมื่อนางคิดถึงเพลงขลุ่ย ‘ฝันรำพึงถึงอดีต’ จมูกนางก็เริ่มสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มทำท่าจะไหลออกมา
นางได้ยินเสียงหัวใจที่เจ็บปวดของบุตรชาย เมื่อเสียงนั้นส่งมาถึงหัวใจมารดา
ความเจ็บปวดของเขาก็กลายเป็นร้อยเท่าในหัวใจนาง
“เฉินเอ๋อร์ แล้วเพลิงของตาแก่หลิน? ทำไมถึงทำอันตรายเจ้าไม่ได้?” เย่หนู่ถาม
“ตาแก่หลินผู้นั้นแท้จริงแล้วโชคร้าย
อาจารย์ให้ข้ากินบางอย่างที่แปลกมากลงไป
เขาบอกว่าไม่ว่าน้ำหรือไฟก็ไม่อาจทำร้ายข้าได้ในตลอดระยะเวลาสามเดือน”
เย่หวูเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม เย่หนิงเสวี่ยเล่นกับนิ้วของเขาเบาๆ
นางหูดับไม่สนใจฟังสิ่งใด นางไม่สนใจว่าพี่ชายจะโกหกหรือไม่ และไม่สนว่าเขาจะมีเหตุผลใดๆเช่นกัน
“น้ำและไฟไม่อาจทำอันตราย?” เย่หนู่ประหลาดใจ
“มีของแบบนั้นอยู่ด้วยหรือ!?”
“ดูสองคนนี่สิ ไปเรียกเขาว่า ‘ตาแก่หลิน’ ให้ความเคารพกับเขาบ้าง” หวังเวิ่นชูกล่าวพร้อมหัวเราะ
เย่หนู่พลันนึกได้ว่าตนเองปากพล่อยและกำลังจะหัวเราะ
แต่ฉับพลันใบหน้าเขาก็นิ่งงัน จากนั้นเขาถามเสียงดัง “เฉินเอ๋อร์
แล้วเรื่องเทียบเชิญของเจ้าล่ะ? ข้าจำได้ว่าเทียบเชิญที่ส่งมาที่นี่ไม่มีอันไหนเป็นของเจ้า”
“โอ้?
ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้ามีเทียบเชิญ?” เย่หวูเฉินถามอย่างสงสัย
ขณะเดียวกันเขาก็เหลือบมองไปที่เย่หวูหยุน เย่หวูหยุนไม่หลบตาแต่จ้องกลับไปตาต่อตา
เมื่อนึกถึงตอนที่เย่หวูเฉินพูดก่อนออกจากบ้าน
รวมไปถึงการแสดงออกของเขาที่ประตูทางเข้าราชวิทยาลัย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือคนที่ขโมยเทียบเชิญของเย่หวูหยุน
“หยุนเอ๋อร์เป็นคนบอกกับข้า”
เย่หนู่พูดออกมาโดยไม่คิดปิดบัง
“ไม่มีใครมอบเทียบเชิญให้ข้า ดังนั้นข้าจึงหาเอาเอง”
เย่หวูเฉินดึงเทียบเชิญออกมาจากอก เขาโยนเทียบเชิญให้เย่หนู่แล้วกล่าวราบเรียบ
“ตระกูลเย่ลืมข้า แต่เพื่อนของข้าไม่ได้ลืม เทียบเชิญใบนี้พี่หลงเจิ้งหยางเป็นผู้มอบให้ข้า”
“หลงเจิ้งหยาง? องค์ชายรัชทายาท?” เย่หนู่ตอบสนองในทันที จำได้ว่าตอนที่พวกเขาพบเย่หวูเฉิน หลงเจิ้งหยางได้พูดว่าเย่หวูเฉินกับเขานั้นเป็นเพื่อนกัน
“ถูกต้อง
ข้ากับพี่หลงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกเราเรียกกันว่าพี่น้อง
ไม่จำเป็นต้องเรียกเขาว่าองค์ชายรัชทายาท” เย่หวูเฉินกล่าว
จากนั้นเขาส่ายศีรษะท่าทางราวผิดหวัง “ตระกูลเย่ช่างน่าแปลกจริงๆ
บุตรบุญธรรมได้รับเทียบเชิญ แต่บุตรที่แท้จริงกลับไม่มี
ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนเพื่อจะได้มาสักอัน พอบุตรบุญธรรมทำเทียบเชิญหาย
เขากุเรื่องหาว่าบุตรที่แท้จริงขโมยไป พอเรื่องได้ยินไปถึงหูผู้ใหญ่
พวกเขากลับสงสัยในตัวบุตรที่แท้จริงแทนที่จะเป็นบุตรบุญธรรม น่าขำนัก
ใครเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกท่านกันแน่?”
เย่หวูเฉินยืนขึ้น
อุ้มหนิงเสวี่ยแล้วเดินออกไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
“เฉินเอ๋อร์!”
หวังเวิ่นชูรีบลุกขึ้นยืน ตะโกนด้วยความกระวนกระวาย
“เป็นความผิดของข้าเองที่เจ้าไม่ได้รับเทียบเชิญ เพราะข้านึกว่าเจ้าคงไม่สนใจไปในที่แบบนั้น
ดังนั้นข้าจึง... แต่ข้าไม่ได้สงสัยเจ้า”
เย่หนู่ยังคงยืนนิ่งอยู่
เขารู้สึกผิดและถอนหายใจ “เจ้าสามารถตำหนิปู่ได้ ปู่ไม่ควรสงสัยเจ้าเลย”
เทียบเชิญที่อยู่ในมือของเขาเขียนชื่อ
‘เย่หวูเฉิน’ เอาไว้ ทั้งยังไม่มีร่องรอยการแก้ไขใดๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นของปลอม