วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 81

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 81 สอนพี่สาววาดรูป

“โอ้?” เย่หวูเฉินดูคล้ายลำบากใจที่จะตอบ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “การจะวาดภาพดอกบัวคู่บนก้านเดียวอันที่จริงไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่ที่สำคัญคือตำแหน่งการลงน้ำหมึกและน้ำหนัก ซึ่งมัน...ไม่ค่อยเหมาะกับท่านซักเท่าไหร่ พี่หญิง”

“สอนข้ามา” เย่ฉุ่ยเหยายังคงนิ่งอยู่ นางไม่ขยับแม้แต่เล็กน้อย นางเพียงแค่กล่าวคำซ้ำอีกครั้ง

เย่หวูเฉินยักไหล่ “ได้ แต่ว่าดูจากทักษะของท่านในตอนนี้ การจะวาดได้จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แม้ว่าท่านจะใช้ความพยายามทั้งหมดฝึกฝนทุกๆวัน ก็ยังคงใช้เวลาถึง 5 ปี แบบนี้แล้วท่านยังจะฝึกอยู่หรือไม่พี่หญิง?

“งั้นก็เริ่มเลย” เย่ฉุ่ยเหยาน้ำเสียงเย็นชา ไม่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดของเขา เวลาห้าปีไม่นับว่านาน กระทั้งยังนับว่าสั้นเกินไป เมื่อเทียบกับการบรรลุฝีมือการวาด ในระดับสุดยอดแห่งเมืองเทียนหลง และต่อให้นางทำไม่สำเร็จในเวลาห้าปี แต่ฝีมือการวาดของนางย่อมก้าวล้ำอย่างมากภายใต้การชี้นำของเขา

“ตกลง” เย่หวูเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “การวาดภาพประเภทนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการควบคุมความหนาบางของเส้นหมึก หากมากไปหรือน้อยไป หรือกระทั่งความคลาดเคลื่อนแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดความเสียหายได้ สิ่งแรกที่พี่หญิงควรทำก็คือ จินตนาการถึงภาพดอกบัวที่เริ่มเปลี่ยนจากดอกตูมจนกระทั่งกลายเป็นดอกบัวบาน เมื่อท่านนึกภาพได้แจ่มชัด แล้ว จึงค่อยฝึกวาดภาพดอกบัวตูมและดอกบัวบานแยกกัน ข้าคิดว่าวิธีนี้น่าจะทำให้ท่านสำเร็จได้ง่ายขึ้น”

เย่หวูเฉินหยิบพู่กันขึ้นมาโดยไม่ถามนาง จากนั้นเขาเริ่มวาดภาพลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว “ข้าจะวาดให้พี่หญิงดูก่อน ท่านจะได้เอาไว้ใช้เปรียบเทียบ”

เพียงตวัดพู่กันไม่กี่ครั้ง ภาพดอกบัวก็ปรากฎกระดาษอย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามของเย่ฉุ่ยเหยามองการเคลื่อนไหวของมือเขา เสียงที่นางได้ยินเริ่มเลือนรางจางหายไป สายตาของนางค่อยๆเคลื่อนไปที่หน้าเขา ราวกับถูกหยุดเวลา นางไม่สามารถถอนสายตาออกไป...

ขณะที่กำลังใช้สมาธิวาดภาพ เย่หวูเฉินรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มแปลกไป เขาเหลือบมองดูด้านข้างก็พบว่าเย่ฉุ่ยเหยากำลังจ้องมองด้วยสีหน้าว่างเปล่ามาที่เขา สายตาของนางทอดไปไกล ดูคล้ายเหม่อลอย เขาเลยหยุดวาดภาพและโบกมืออยู่ข้างหน้านาง “พี่หญิง?

เย่ฉุ่ยเหยาสะดุ้งเล็กน้อย นางลดสายตาลงและกล่าวอย่างสงบ “ไม่ต้องสนใจข้า เจ้าวาดต่อเถอะ”

เย่หวูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นวาดภาพก้านบัวต่อ

เย่ฉุ่ยเหยายามนี้ไม่ได้เคลื่อนสายตากลับไปอีก แต่ในใจนางไม่อาจสงบและไม่อาจควบคุม หัวใจที่ครั้งหนึ่งเคยเงียบงันตอนนี้เริ่มเต้นเร็ว เกิดคลื่นระลอกที่ยากจะสงบลง

เขาคือเสี่ยวเฉินจริงๆหรือ?

เขาทำให้ข้ารู้สึกราวกับว่า เขาไม่ใช่คนในครอบครัว เหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า ทำให้ข้าเกิดความรู้สึกแปลกๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาเป็นคนแรกที่มองทะลุถึงหัวใจข้า ทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง หลายต่อหลายครั้ง ที่เขาทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวลึกลงไปถึงข้างใน... และตอนนี้ เขายิ่งกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า เขาเป็น...น้องชายของข้าจริงๆหรือ? หากเขาคือญาติ แล้วเหตุใดหัวใจของข้าถึงเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นเขา....ทั้งยังสงบใจลงได้ยากยิ่งนัก

ความรู้สึกนี้มันคืออะไร?

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เย่เว่ยและหวังเวิ่นชูทั้งสองต่างเหงื่อโทรมกาย ริมฝีปากแห้งผาก แทบจะคุกเข่าอยู่กลางโถงต่อหน้าผู้คน....

“ใต้เท้า ชูเกอ มิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ แต่ลูกสาวของข้าเมื่อเทียบกับลูกสาวท่านแล้ว นางนับว่าเลิศกว่าทั้งความงามและพรสวรรค์ นายน้อยเย่คงไม่สนใจแลนาง ดังนั้นอย่าได้เสียเรี่ยวแรง ท่านโปรดกลับไปก่อนเถิด”

“ไร้สาระ! ลูกสาวของท่านนั่นแหละที่ไม่เหมาะสมเท่าลูกสาวข้า ข้ากระทั่งเอาของแทนใจของนางมาด้วย ท่านยังจะกล้าเถียงข้า?

“ท่านทั้งสองหยุดทะเลาะกันก่อน เรื่องนี้สมควรต้องใช้หลัก ใครมาก่อนได้ก่อน ข้ามาที่นี่เป็นคนแรกนำหน้าพวกท่านอยู่หนึ่งก้าว ดังนั้นพวกท่านทั้งหมดไม่มีสิทธิ์พูด”

....................

ห้องโถงตระกูลเย่ที่ครั้งหนึ่งเคยสง่าผ่าเผยน่านับถือ ยามนี้ไม่ต่างไปจากตลาดสด พวกขุนนางชั้นสูงแห่งราชสำนักต่างพากันกลายเป็นดั่งคนค้าแผงลอย ใช้ทุกวิถีทางเร่ขายลูกสาวของตน... ไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย ในเมื่อตระกูลเย่เป็นตระกูลที่ยอดเยี่ยมมีชื่อเสียงโดดเด่น ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายอัจฉริยะผู้เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิ การแต่งงานเกี่ยวดองกับตระกูลเย่ย่อมรับประกันอนาคตอันรุ่งโรจน์สดใส อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่สองคือเหล่าลูกสาวผู้เอาแต่ใจ ด้วยการที่พวกนางใช้ชีวิตที่มีมาตรฐานสูงส่ง พวกนางถึงกับกล่าวว่าหากชีวิตนี้ไม่สามารถแต่งงานกับบุตรชายคนเดียวของตระกูลเย่ได้ แม้ได้เป็นเพียงนางบำเรอพวกนางก็พอใจ

เย่หวูเฉินแสดงความสามารถต่อหน้าเหล่าคุณหนูที่มักอยู่แต่ในบ้าน ในสายตาของพวกนาง เขาราวกับเป็นเทพบุตร กระทั่งความสำเร็จของหลินเสี่ยวเมื่อเทียบกับเขาแล้วยังไม่อาจนับเป็นสิ่งใด บุรุษหนุ่มผู้อื่นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ด้วยความที่เป็นบุรุษสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ เหล่าดรุณีน้อยรสนิยมสูงต่างไม่ต้องการแต่งงานกับชายใดอีก

ด้วยเหตุนี้ ผู้เป็นบิดาทั้งหลายถึงต้องรีบดั้นด้นมาด้วยเหตุผลเดียวกัน

หวังเวิ่นชูคิดโกรธเคืองอยู่ในใจ แล้วเมื่อก่อนนี้คืออะไร? หลายปีมานี้ข้าไปหาพวกท่านทุกคนเพื่อเสนอข้อแต่งงาน แต่พวกท่านทุกคนล้วนปฏิเสธราวกับข้าเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ แล้วมาตอนนี้ ฮึ่ม... พวกท่านคงรู้แล้วสินะ ว่าอะไรเรียกว่า มีตาแต่หามีแววพวกท่านไม่รู้หรือไงว่าเขาคือบุตรชายของใคร?’

แน่นอนว่านางย่อมไม่พูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา นางทำได้เพียงยิ้มฝืดฝืนขณะที่รับมือกับพวกเขา “สุภาพบุรุษทั้งหลาย โปรดระงับอาการของพวกท่านด้วย เรื่องนี้เฉินเอ๋อร์จะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง เขาจะมาที่นี้ในไม่ช้า”

และแล้ว เย่ซานที่ถูกใช้ให้ไปเรียกเย่หวูเฉินก็วิ่งกลับมาเหงื่อท่วมหัว หากแต่ไร้เงาของเย่หวูเฉิน หวังเวิ่นชูถามด้วยความกังวล “เฉินเอ๋อร์อยู่ไหนล่ะ?

“นายหญิง คนใช้ที่สวนของนายน้อยบอกว่าเขาออกไปเดินเล่นและจะกลับมาในตอนเย็น”

“.........” หวังเวิ่นชูรู้สึกผวา เย่หวูเฉินจงใจหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว นางกล่าวขอโทษทุกคนที่อยู่ในห้องโถง “ท่านทั้งหลาย เฉินเอ๋อร์พึ่งออกไป ดังนั้นเรื่องนี้... เช่นนี้เป็นอย่างไร เมื่อเขากลับมาในตอนเย็น ข้าจะถามความเห็นของเขาให้กับพวกท่านทุกคน แล้ววันพรุ่งนี้ พวกเราจะส่งคำตอบไปให้พวกท่านที่บ้านของทุกคน พวกท่านคิดเห็นอย่างไร?

“ฮ่าฮ่า ประเสริฐ! บุตรชายท่านถึงขนาดเผยความในใจต่อลูกสาวตระกูลฮั่วต่อหน้าผู้คนทั้งปวง ดังนั้นเขาสมควรเป็นบุรุษหนุ่มผู้มีอารมณ์สนใจเรื่องรักใคร่ เขาย่อมชื่นชอบลูกสาวของข้า ผู้แซ่จี้จะไม่รบกวนพวกท่านต่ออีก ข้าขอตัวลา”

เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มจากไป คนที่เหลือจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกล่าวคำอำลาทีละคน หลังจากส่งพวกเขาออกไปแล้ว เย่เว่ยและหวังเวิ่นชูต่างเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ส่วนคนที่เป็นผู้นำครอบครัวที่แท้จริงอย่างเย่หนู่ เขาได้หนีหายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอยเมื่อได้เห็นสถานการณ์

เมื่อกลับมาในห้องโถง หวังเวิ่นชูนั่งลงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นกล่าว “ครั้งนี้นับเป็นปัญหาแล้วจริงๆ เฉินเอ๋อร์กลับไม่รู้ตัวว่าได้สร้างปัญหากับเหล่าสาวน้อยไว้มากแค่ไหน มาดูกันว่าเขาจะรับมือกับพวกนางอย่างไร”

“...ข้าคิดว่า หากเฉินเอ๋อร์แต่งงานกับคุณหนูเหล่านั้นทั้งหมด ตระกูลเย่ของพวกเราคงขยายพลังอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง” เย่เว่ยกล่าวพลางแตะจมูก

หวังเวิ่นชูตบเบาๆด้วยความไม่พอใจ “แต่งงานกับสาวๆมากขนาดนั้น เฉินเอ๋อร์ก็หมดแรงพอดี ยิ่งกว่านั้น จากความยอดเยี่ยมของเฉินเอ๋อร์ และในฐานะที่ข้าเป็นแม่ ข้าไม่ชอบหญิงสาวธรรมดาทั่วไป ไม่มีใครเหมาะสมกับเฉินเอ๋อร์เลย แต่ว่า ถ้าหากเป็นคุณหนูตระกูลฮั่วก็นับว่าดูดีทีเดียว”

“ใต้เท้า อวี้ มาถึงแล้ว!

ถ้วยน้ำชาในมือเย่เว่ยแทบร่วง หวังเวิ่นชูรู้สึกทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่านางไม่อาจยืนขึ้นได้อีก


<<<PREV    .    NEXT>>>