วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 99

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 99 สตรีผู้งดงามไร้ที่เทียบเทียม (1)

“เจ้านี่มันใช้ยังไง?” เย่หวูเฉินหยิบลูกกลมดำเล็กขึ้นมา หากเขาไม่กลัวอันตราย เขาคงแยกส่วนมันออกเพื่อดูว่ามันทำมาจากอะไร

“บีบเปลือกด้านนอกของมัน จากนั้นโยนไปทางที่ท่านต้องการ” ฮั่วฉุ่ยโหรวตอบ

“..........”

มีเสียงแตกดังขึ้นเล็กน้อย เปลือกนอกของลูกกลมดำแตกอย่างง่ายดาย เย่หวูเฉินเตะประตูเปิดออก สองนิ้วคีบจับลูกกลมดำเขวี้ยงออกไป ฮั่วฉุ่ยโหรวร้องออกมาด้วยความตกใจ พลันหันร่างเข้าอกเย่หวูเฉินและปิดหูไว้

เงียบไปชั่วขณะ และยังไม่มีเสียงระเบิด มองดูอัสนีลั่นที่จมลงในสระน้ำ สีหน้าของเย่หวูเฉินเผยให้เห็นว่าเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ หลังจากบีบเปลือกนอกของอัสนีลั่นแล้ว ยังจำเป็นต้องขว้างกระแทกอีกทีมันจึงจะระเบิด

“เอาละ ช่างมันเถอะ ข้าขว้างมันลงไปในน้ำ ดูเจ้ากลัวเข้าสิ” เย่หวูเฉินกล่าว หัวเราะขบขัน เขายังเหลืออัสนีลั่นสี่ลูก และอีกหนึ่งอัสนีลั่นสะเทือนฟ้า

เมื่อฮั่วเจิ้นเทียนและฮั่วฉุ่ยโหรวออกจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ก่อนจากไปใบหน้าของฮั่วเจิ้นเทียนยิ้มบานมีความสุข เช่นเดียวกับเย่เว่ยและเย่หนู่ ยามที่พวกเขากล่าวคำร่ำลาเหมือนยังไม่อยากจากกัน ราวกับว่าพวกเขาอยากกอดกันและกันและร้องไห้เสียงดัง เรื่องทะเลาะตอนงานประลองเมื่อไม่กี่วันก่อนล้วนถูกลืม หากสองตระกูลเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน พวกเขาต้องสู้ , ถอย และสนับสนุนกันและกัน จะไม่ให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้แสดงความจริงต่อกันได้อย่างไร?

ส่วนฮั่วฉุ่ยโหรวนั้นตรงกันข้าม นางไม่กล่าวแม้เพียงคำเดียว นางดูคล้ายไม่อาจอดทนและอยากลากฮั่วเจิ้นเทียนออกมา ชุดสีเหลืองอ่อนที่นางสวมใส่ในเวลานี้เป็นหนิงเสวี่ยนำมาให้จากเย่ฉุ่ยเหยา ชุดของนางถูกเย่หวูเฉินฉีกทึ้งและทำให้นางต้องตกอยู่ในภาวะน่าอับอาย ร่างกายของเย่ฉุ่ยเหยาเติบโตมากกว่าทำให้เมื่อนางสวมใส่ชุดยาวจึงดูหลวมไป รวมทั้งกระโปรงยาวที่คลุมมิดเท้า หากไม่ลอบดึงขึ้นนางคงสะดุดล้มลงกับพื้น ฮั่วเจิ้นเทียนไม่สังเกตสิ่งใด แต่หวังเวิ่นชูเห็นทันทีเพียงปราดตามอง นางมองสลับระหว่างฮั่วฉุ่ยโหรวกับเย่หวูเฉินด้วยแววตาสงสัย

หลังจากส่งสองพ่อลูกตระกูลฮั่ว หวังเวิ่นชูไม่เก็บภาพลักษณ์อีกต่อไป นางรีบจ้ำเท้าตรงไปที่สวนของเย่หวูเฉิน แล้วสำรวจทั่วห้องด้วยสายตาและดมกลิ่นด้วยจมูก แต่สุดท้ายก็ไม่พบของเหลวต้องสงสัยหรือกลิ่นประหลาดใดๆ นางรู้สึกทั้งฉงนและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน.... รวมทั้งผิดหวังเล็กน้อย เมื่อนางจากไป เย่หวูเฉินถึงกับพูดไม่ออกอยู่เป็นเวลานาน

ข่าวเรื่องฮั่วเจิ้นเทียนและฮั่วฉุ่ยโหรวไปบ้านตระกูลเย่แพร่ไปถึงหูตระกูลหลินอย่างรวดเร็ว พวกเขาตกใจอย่างมาก ฮั่วเจิ้นเทียนมาเยี่ยมตระกูลหลินหลายครั้งแต่ไม่เคยพาฮั่วฉุ่ยโหรวมาด้วยแม้แต่ครั้งเดียว นี่หมายความว่าอย่างไร? ช่วงเวลาสั้นๆนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ทุกสิ่งล้วนย่อมมีเหตุผล เหตุผลที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจ ตระกูลหลินเริ่มหวั่นเกรงกับแผนการของตระกูลเย่ เพียงแค่เวลาสองวันพวกเขามาถึงขนาดนี้โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ

หากตระกูลฮั่วและตระกูลหลินผูกสัมพันธ์กันหลังแต่งงาน นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อตระกูลเย่ หากตระกูลเย่สามารถผูกไมตรีกับตระกูลฮั่วได้ย่อมทำให้พวกเขาเหนือกว่าตระกูลหลินในทุกด้าน รวมทั้งยังเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จากอุปนิสัยของฮั่วเจิ้นเทียน เขาย่อมมั่นคงและแน่นนอนยิ่งกว่าแท่งเหล็ก เขาย่อมไม่ยอมให้ตระกูลเย่ถอนตัว เย่เว่ยและเย่หนู่จึงผ่อนคลายไร้ความกังวล แต่พวกเขายังคงสงสัยและถามเย่หวูเฉินผู้เป็นหัวใจของเรื่อง แน่นอนว่าเย่หวูเฉินย่อมตอบกลับคลุมเครือ อ้างเพียงว่าตนเองรักฮั่วฉุ่ยโหรวหรืออะไรทำนองนั้น พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากกลอกตาและเลิกสืบสาวลงลึก

ในคืนนั้นเอง เล่งชิวย้ายไปที่สวนของหวังเวิ่นชูพร้อมสาวใช้สองคนที่คอยดูแล ในขณะที่เล่งหยา....

“ข้าจำได้”

“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ควรไปทันที อย่าหยุด และอย่ามองกลับมา อีกสองวันนับจากนี้เจ้าต้องทำทุกอย่างเพื่อปกปิดที่อยู่ของตนเอง เพราะหากมีใครรู้ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่อีกต่อไป จักรพรรดิย่อมตามรอยเจ้าทุกวิถีทาง สำหรับมารดาของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด หากเจ้ากลับมาแล้วพบว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนาง เช่นนั้นเจ้าสามารถเอาชีวิตข้าได้ทุกเวลา ข้าจะไม่กล่าวมากความไปกว่านี้ เจ้าไปซะ หลังจากนี้สามปี ข้าอยากจะเห็นเล่งหยาอีกคน!”

เล่งหยาแต่งชุดดำสนิท แบกห่อสัมภาระไม่เล็กไม่ใหญ่ไว้บนหลัง ดวงตาคมกล้ามีประกายแสงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว เขาพยักหน้าไร้อารมณ์และปีนขึ้นกำแพงด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลเย่ เขาหยุดชั่วขณะและทอดสายตา...มองไปยังทิศทางที่มารดาของตนพำนักอยู่ เขาถอนสายตาแล้วมุ่งไปข้างหน้า ร่างของเขาหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

เย่หวูเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เขาพลันทะยานร่างไปในทิศทางที่เล่งหยากำลังมุ่งหน้าไป เย่หวูเฉินเคลื่อนร่างสีขาวไหววับใต้ฟ้ารัตติกาล สองเงาร่างที่กำลังตามเล่งหยาพลันรู้สึกเหมือนมีเงาสีขาวผ่านวาบผ่านไป เมื่อถูกแรงปะทะเข้าที่ท้ายทอย สองเงาร่างนั้นก็หมดสติลง

“ล่วงรู้ทุกการเคลื่อนไหว สมแล้วที่เป็น....สำนักจักรพรรดิใต้” มองดูสองบุคคลที่ล้มอยู่แทบเท้า เย่หวูเฉินแค่นเสียงเย็นชา คนของสำนักจักรพรรดิใต้ย่อมไม่มีบุคคลสามัญธรรมดา กระทั่งหนึ่งในสองคนนี้หากสู้กับเขาตัวต่อตัว เย่หวูเฉินยังพอเอาชนะแต่ย่อมสูญเสียพลังอย่างมาก แต่หากเป็นการลอบทำร้ายโดยใช้ความเร็วเข้าหาอย่างเงียบงัน ต่อให้สองคนนั้นแข็งแกร่งกว่านี้ก็ยังไม่ใช่คู่มือเขา

ความมืดยามค่ำคืนเหน็บหนาวดั่งทะเล เล่งชิวไม่อาจข่มตาหลับตลอดคืน เพื่อช่วยเล่งหยาทำใจ นางวางสัมภาระไว้บนบ่าเขาแล้วผลักเขาออกจากประตู จากนั้นปิดประตูแน่นใส่หลังเขา นางต้องหักห้ามตัวเองหลายครั้งไม่ให้ถลาออกไปเพื่อมองหน้าลูกชายอีกครั้ง ยามที่ท้องฟ้ามืดหม่นลง นางขังตัวเองอยู่ในห้องของตน.... เล่งหยาคือความหวังและชีวิต กล่าวได้ว่าเขาคือทุกสิ่งในชีวิตนาง สามปี.... พวกเขาไม่เคยจากกันขนาดนี้มาก่อนเลย

“เสี่ยวฟง เจ้าต้องมีอนาคตและเส้นทางเป็นของตนเอง อย่าได้แบกข้าไว้เป็นภาระข้างกายเจ้าอยู่ตลอด.... แม่จะรอวันที่เจ้ากลับมา....”

วันต่อมาที่บ้านหมอกฝันแห่งเทียนหลง

“....เมื่อวานซืนเวลา 5:45 ไปสำนักราชวังเพื่อรับรางวัล ออกมาตอนเวลา 6:30 เช้าวันนั้นเวลา 8:00 เขาเดินเท้าเข้าไปที่ป่าดำทางทิศตะวันออกกับเล่งหยาแล้วออกมาตอนเที่ยงวัน คนของเราไม่ได้ตามเข้าไปดูในป่าลึก ในตอนบ่ายเขากลับเข้าไปในป่าดำกับเล่งหยาอีกครั้งและใช้เวลา 5 ชั่วโมงจึงกลับบ้าน คืนนั้นเขาออกมากับเด็กหญิงชื่อหนิงเสวี่ยซื้อลูกอมให้นางสามเม็ด รองเท้าหนึ่งคู่ และถุงเท้าสตรี จากนั้นกลับบ้านตอนเวลาสามทุ่ม”

ภายในห้องที่สงบงดงามและอบอวลไปด้วยกลิ่นธูป นอกจากเสียงของสตรีแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยิน ม่านสีชมพูแขวนอยู่กลางห้อง เบื้องหลังม่านมีเงาร่างงดงามไร้ที่เปรียบ หญิงสาวในชุดแดงคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น ศีรษะนางก้มคำนับเงาร่างเบื้องหลังม่านขณะที่นางกล่าวรายงาน

“เมื่อวานเขาเข้าไปในป่าดำเป็นครั้งที่สามกับเล่งหยา และ.... นำถังอุจจาระเข้าไปด้วย ส่วนจุดประสงค์ยังไม่ทราบชัด เวลา 14:00 เขาแอบเข้าไปในบ้านตระกูลฮั่ว หลังจากดื่มสุรากับฮั่วเจิ้นเทียนเขาออกมาเวลา 16:00 และพบกับหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลินและโต้เถียงกัน.... ตอนเที่ยงคืนเล่งหยาปีนออกจากกำแพงไม่ทราบว่าไปที่ใด คนของเราที่กำลังติดตามเขาจู่ๆก็ถูกทุบให้สลบโดยบุคคลปริศนา”

“ถูกทุบให้สลบ? ด้วยระดับการรับรู้ของพวกเขา พวกเขากระทั่งไม่ทันสังเกตว่ามีคนอื่นเข้ามาใกล้?” ในที่สุดสตรีเบื้องหลังม่านก็เอ่ยปาก เสียงของนางดั่งเสียงธรรมชาติ ยามบุคคลได้ยินจะรู้สึกราวสายลมเย็นพริ้วไปบนผืนน้ำ ทำให้ใจกลางเกิดระลอกไหว

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวโน้มกายต่ำและตอบคำ

“มีข่าวลือว่าเย่หวูเฉินผู้นี้สามารถปกปิดกลิ่นอายของตนเองได้ ไม่มีผู้ใดสามารถตรวจจับพลัง คนที่คอยคุ้มครองเล่งหยาก็มีเพียงเขา หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ?”

 “ผู้น้อยก็คิดแบบนั้นเช่นกัน”

“กลายเป็นว่า เขารู้ตัวอยู่แล้วว่ามีคนคอยติดตามเขาอยู่ทุกฝีก้าว แต่เขากลับไม่ปิดบังสิ่งใด ไม่กลัวว่าผู้ใดจะรู้เรื่องของตน เจ้าพบที่มาของเขาแล้วหรือยัง?” สตรีที่อยู่เบื้องหลังม่านถามไม่รีบร้อน

“ยังเจ้าค่ะ รู้เพียงว่าเขามาจากทางตอนเหนือของอาณาจักรเทียนหลง เขารู้จักกับหลงเจิ้นหยางในเมืองเทียนเล่ยก่อนที่จะกลับมา พวกเขากลายเป็นสนิทสนมกัน” หญิงสาวตอบกลับ

“ท่านพ่ออยากให้ข้าจับตาดูคนผู้นี้ไว้ทุกฝีเก้า หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปได้ จำไว้ว่ารายงานความเคลื่อนไหวของเขาให้ข้าทราบตลอดเวลา”

“เจ้าค่ะ.... ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ผู้น้อยพบว่ามีบางคนติดต่อมือสังหารอันดับหนึ่ง เถาไปไปแห่งศาลาพันนักฆ่า เพื่อให้ปลิดชีพเย่หวูเฉิน หลังจากสืบสวนแล้วพวกเราพบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือจักรพรรดิหลงหยิน”

“โอ้?” สตรีเบื้องหลังม่านส่งเสียงแปลกใจและกล่าวทันที “ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะทำเช่นนั้น เถาไปไปจะมาถึงที่นี่ประมาณเมื่อไหร่?”

“อย่างช้าสุดคือห้าวัน”

“ไม่เคยมีใครหนีพ้นเงื้อมมือของเถาไปไป หากเขาไม่ถูกฆ่าโดยเถาไปไป นั่นก็แปลว่าเถาไปไปเป็นผู้ตกตายเสียเอง ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่มีวันหนีพ้นจากการไล่ล่าสังหารจากเถาไปไปได้ มาดูกันว่าเขาจะหนีพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร หากเขาสามารถทำได้ เช่นนั้นเขาก็คู่ควรที่จะพบกับพวกเรา”

“อย่างไรก็ตาม ข่าวลือกล่าวว่าเขาสามารถวาดรูปหนอนจนล่อให้นกมาจิก และภาพดอกไม้ที่บานหลังจากวาดเสร็จ เพลง ‘ฝันคำนึงถึงอดีต’ ของเขาทำให้ผู้คนนับพันหลั่งน้ำตา ทั้งหมดนี้เป็นความจริงหรือไม่?” น้ำเสียงของสตรีหลังม่านเปลี่ยนไป คล้ายกับถามด้วยความกังวล

“เจ้าค่ะ ข่าวลือไม่ได้กล่าวเกินจริง” หญิงสาวตอบกลับยืนยัน

“ช่างเป็นบุรุษที่ประหลาดนัก หากข้าไม่ถูกสั่งให้อยู่ที่นี่ ข้าก็อยากเห็นทั้งหมดนั้นด้วยตาตัวเอง”

“...........”

.........................................

สำหรับเย่หวูเฉิน ไม่ว่าจะเป็นภาพชนิดใดเขาก็สามารถวาดได้อย่างง่ายดาย ง่ายเหมือนกับหยิบสิ่งของออกจากกระเป๋า สอนผู้อื่นวาดภาพก็เช่นกัน เขามีวิธีมากมายในการสอนคนที่ไร้พื้นฐานการวาดใดๆจนกลายเป็นผู้ชำนาญในเวลาเพียงสั้นๆ ยิ่งกับเย่ฉุ่ยเหยาแล้ว นางเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์การวาดและมุ่งมั่นจริงจัง การสอนนางก็ยิ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง

แต่.......

“สอนข้าเป่าขลุ่ย” เย่ฉุ่ยเหยานำขลุ่ยหยกขาวเลายาวออกมา เพลงขลุ่ยที่เขาเล่นในวันนั้นทำให้หลายผู้คนต้องหลั่งน้ำตา ทุกๆครั้งที่นางนอนหลับ เสียงนั้นจะดังขึ้นในจิตใจ ย้ำเตือนนางให้จดจำใบหน้าโดดเดี่ยวและเจ็บปวดของเย่หวูเฉินขณะเป่าเพลง

ใบหน้าของเขามักจะมีรอยยิ้มแต่ครั้งนี้สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สายตาของเขามองไปที่ริมฝีปากชมพูงามจนทำให้เย่ฉุ่ยเหยาสงสัย ผ่านไปครู่หนึ่งเย่หวูเฉินจึงพึมพำ “พี่หญิง การเป่าขลุ่ยนั้นต้องอาศัยพื้นฐานอย่างมาก น้องชายของท่านไม่ชำนาญการสอนเพลงขลุ่ย พวกเราวาดภาพกันเถอะ”

“เจ้าไม่อยากสอนหรือ” เย่ฉุ่ยเหยาถาม

“เปล่า....แต่อาจารย์ของข้าเคยกล่าวไว้ว่า เพลงขลุ่ยนั้นเหมาะที่จะใช้สอนภรรยา กับพี่สาวของตนนั้น.....”



<<<PREV    .    NEXT>>>