วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 83

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 83 อย่างไรก็ตาม เขาก็คือเทพ

“ไม่มีทาง!” เย่หวูเฉินหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มปลอบอารมณ์ตนเอง พอรู้สึกผ่อนคลายลงจึงกล่าว “ท่านพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย ท่านลองตรองดูให้ดี พวกนางแทบไม่เคยเจอข้ามาก่อน วันนี้พวกนางแค่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็น.... และอีกอย่างพวกนางทำเช่นนี้ไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น คุณหนูเหล่านี้มาจากตระกูลชั้นสูง ความคาดหวังของพวกนางย่อมสูงล้ำเป็นธรรมดา ครึ่งหนึ่งในหมู่พวกนางสมควรถูกตามใจจนเสียนิสัย หากข้ายอมรับพวกนางจริงๆ พวกนางย่อมมองว่าข้ามักมากไม่รู้จักพอ สันดานฉาวโฉ่ ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ตระกูลเย่ถูกมองในแง่ลบ อีกทั้งพวกนางย่อมเกิดความหึงหวงและทะเลาะกันเอง ดังนั้นเรื่องนี้จึงยอมรับไม่ได้ จะดีกว่าหากท่านปฏิเสธพวกนางไป ไม่สิ ท่านต้องปฏิเสธพวกนางไปให้หมด”


หวังเวิ่นชูคิดเพียงชั่วขณะก่อนพยักหน้า “เจ้าพูดถูก ในฐานะที่เป็นแม่ ข้าก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสมเช่นกัน เรื่องนี้เป็นความคิดของพ่อเจ้า สำหรับข้า สตรีเหล่านี้ไม่มีใครคู่ควรกับเฉินเอ๋อร์ของข้า”

“..........”


“เฉินเอ๋อร์ บอกกับแม่มาตามตรง เจ้าชอบคุณหนูแห่งตระกูลฮั่วจริงๆหรือ?” หวังเวิ่นชูถามด้วยความสงสัย


“ใช่ เป็นรักแรกพบ” เย่หวูเฉินตอบกลับโดยไม่ลังเล


“แต่ว่า...” เมื่อเจอคำตอบชัดถ้อยชัดคำของเขา หวังเวิ่นชูไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดอยู่ชั่วขณะ นางค่อนข้างลังเลขณะมองที่หน้าของเย่หวูเฉิน นางกล่าวอย่างระมัดระวัง “แต่นางหมั้นหมายกับหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลินไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น ฮั่วเจิ้นเทียนยังไม่ใช่บุคคลประเภทที่จะกลับกลอกถ้อยคำของตนเอง....”


“ใช่ ข้ารู้ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ การหมั้นก็เป็นเพียงแค่การหมั้น สำหรับฮั่วเจิ้นเทียน....ไม่มีใครไม่เคยผิดสัญญา เขายังไม่เคยผิดคำพูดมาก่อน เนื่องจากเขายังไม่เคยเจอสถานการณ์บีบคั้นที่ทำให้เขาต้องกลับคำ” เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะมีแผนอยู่ในใจแล้วเรียบร้อย


หวังเวิ่นชูรู้สึกเกร็งทันทีเมื่อได้ยิน นางรีบถาม “เฉินเอ๋อร์ เจ้าวางแผนจะทำสิ่งใด?”


เย่หวูเฉินยังคงหัวเราะขณะส่ายศีรษะ “อย่ากังวลเลย ข้าจะไม่ทำสิ่งใดที่จะเป็นการทำร้ายตัวเองหรือตระกูลเย่ ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับตระกูลเย่ของพวกเรา นอกจากนั้น การแต่งงานระหว่างตระกูลฮั่วและตระกูลหลินย่อมไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ตระกูลเย่ต้องการ ถูกหรือไม่?”


“ถูกต้อง ในเมื่อเป็นการตัดสินใจของเจ้า ข้าย่อมมั่นใจในตัวเจ้าเต็มร้อยส่วน เจ้าสามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ต้องการ แต่หากเกิดความผิดพลาดใดๆ แม่ก็จะคอยสนับสนุนเจ้า ตราบเท่าที่เฉินเอ๋อร์ของข้าพอใจคุณหนูตระกูลฮั่ว หากพวกเราจำเป็นต้องลักพาตัวนาง พวกเราก็จะทำ”


“ตกลง!” เย่หวูเฉินพยักหน้า รู้สึกถึงความอบอุ่นผุดขึ้นมาในหัวใจ


“พรุ่งนี้แม่จะส่งคนไปตอบปฏิเสธคุณหนูเหล่านั้น” ขณะกล่าวคำ ใบหน้าของหวังเวิ่นชูดูคล้ายฝืดฝืนใจ... เสียดายที่ต้องเสียเหล่าลูกสะใภ้ชั้นสูงไปเพราะคำเพียงไม่กี่คำ “นอกจากเรื่องนี้ เฉินเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าหยุนเอ๋อร์จะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของข้า แต่ในเมื่อเขาเป็นพี่ชายเจ้า และเขาก็เคยช่วยชีวิตของบิดาเจ้า เรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นคนในครอบครัวของพวกเรา ตระกูลของพวกเราตอนนี้ไม่อาจขาดหยุนเอ๋อร์ได้ ถึงแม้จะมีความเข้าใจผิดกันบ้างระหว่างพวกเจ้าสองคน แต่เจ้าอย่าได้มองเขาในแง่ร้ายเลย อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน และในวันหน้า หยุนเอ๋อร์ย่อมช่วยเหลือเจ้า ในการค้ำจุนตระกูลเย่แห่งนี้”


“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว” เย่หวูเฉินพยักหน้า


“ถ้าเช่นนั้นข้าก็สบายใจ ปู่ของเจ้าคงกำลังคุยกับหยุนเอ๋อร์อยู่ ข้าจะกลับไปดูก่อน แล้วเดี๋ยวเสี่ยวลู่จะนำอาหารเย็นมาส่งให้เจ้า”


ในขณะเดียวกัน ที่ห้องของเย่หวูหยุน เย่หนู่กำลังพูดอยู่จริงๆ แต่สีหน้าตรงกันข้ามกับใบหน้าของหวังเวิ่นชูที่ยิ้มแย้ม สีหน้าของเขาทะมึนจนทำให้เย่หวูหยุนตัวสั่นและไม่อาจกล่าวคำพูดใดๆออกมา ราวกับว่าเขาทำได้เพียงพยักหน้า หากมาอาศัยอยู่ในตระกูลเป็นเวลานาน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นับถือและไม่เกรงกลัวต่อเย่หนู่


เย่หนู่ยืนอย่างอ่อนแรง หันกายเตรียมจากไป “หยุนเอ๋อร์ ข้าหวังว่าเจ้าจะยังจำคำพูดของข้าในวันนี้ได้ ตอนนี้ เทียบเชิญของเจ้าถูกพบอยู่ใต้ฟูกนอนใต้หมอนของเจ้า พวกคนใช้เจอมันตอนที่ทำความสะอาดห้องให้เจ้า ข้าให้พวกมันทิ้งของสิ่งนั้นไว้ใต้หมอนของเจ้า”


เย่หวูหยุนตกใจเมื่อได้ยิน สีหน้าของเขาสับสน เขารีบตรงไปที่เตียงแล้วยกหมอนขึ้น แล้วเขาก็พบเทียบเชิญเคลือบทองวางอยู่ หลังจากเปิดมันออกมาดู ก็เห็นตัวอักษรสามคำเขียนไว้ว่า ‘เย่หวูหยุน’ กลับเป็นเทียบเชิญอันเดียวกันกับที่เขาจำได้


เย่หวูหยุนปั่นป่วนในทันที หากมันถูกพบในที่อื่น ยังพอกล่าวได้ว่าเขาเผลอทำตกหล่น แต่เมื่อเจอเทียบเชิญอยู่ใต้หมอนของเขา... ย่อมหมายความว่าเขาจงใจซ่อนเองไม่ใช่หรือ? และเย่หนู่ย่อมไม่ใช่บุคคลที่จะพูดโกหกกับเรื่องแบบนี้ จากเหตุการณ์ทั้งหมดจึงสรุปได้เพียงเหตุผลเดียวคือ เขาซ่อนเทียบเชิญของตนเองเพื่อวางแผนกล่าวโทษเย่หวูเฉินว่าขโมยเทียบเชิญของเขาไป


“ท่านปู่ เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด เรื่องนี้มีอะไรบางอย่างผิดปกติ” เย่หวูหยุนพยายามอธิบาย แต่ไม่อาจหาคำพูดเหมาะๆออกมากล่าวได้


เย่หนู่โบกมือ เสียงของเขาราบเรียบ “เจ้าไม่จำเป็นพูดอะไรอีก เทียบเชิญของหวูเฉินถูกทำลายต่อหน้าต่อตาพวกเรา เจ้าเองก็เห็นกับตาแล้วเช่นกัน อย่าบอกข้านะว่าเขาเอาของเจ้าไปแล้วกุเรื่องทุกอย่างขึ้นมา บุรุษแห่งตระกูลเย่ไม่ว่าเรื่องผิดหรือถูก ต้องยืดอกรับผิดชอบการกระทำของตนเอง” เขาถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ “ทุกๆคนล้วนมีความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวเฉพาะตน สิ่งที่เจ้าทำไปนับเป็นเรื่องปกติ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ควรค่าที่จะใส่ใจ ครั้งนี้ ข้าจะทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น และจะไม่บอกต่อพ่อแม่บุญธรรมของเจ้า ข้าเพียงหวังว่า เรื่องพรรค์นี้จะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”


เย่หวูหยุนกระอักราวกับมีก้อนเหล็กหนาติดอยู่ในลำคอ เขารู้ดีว่าหากพยายามพูดแก้ตัว ย่อมเกิดผลลัพธ์ด้านลบจากเย่หนู่ เขากัดฟันและกล่าวอย่างยากเย็น “หยุนเอ๋อร์ขอยอมรับความผิด เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต”


เย่หนู่ออกไปโดยไม่รั้งฝีเท้า ในห้องกลายเป็นเงียบงันอีกครั้ง


แคว่ก!


เย่หวูหยุนฉีกเทียบเชิญออกเป็นชิ้นๆ เขาแทบจะเงยขึ้นฟ้าแล้วคำรามระบาย  แม้ว่านี่จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าถูกหยามหน้าอย่างรุนแรงเหมือนถูกหลอกเป็นลิง เทียบเชิญของเขาย่อมไม่อันตรธานหายไปเอง ยิ่งกว่านั้นมันกลับมาปรากฎอยู่ใต้หมอนของเขา เพียงเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็มากพอที่จะเปลี่ยนมุมมองของเย่หนู่ที่มีต่อเขา


นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?


……………………………………………………………………………


“เย่ซี ,เย่บา พรุ่งนี้ตอนรุ่งสาง ส่งใครก็ได้ไปรับตัวคนสองคนมาให้ข้า หากตอนนั้นข้าไม่อยู่ ช่วยหาห้องให้พวกเขาอยู่ในนี้ไปก่อน แล้วหากนายหญิงกับนายท่านถาม บอกพวกเขาว่าเป็นข้าสั่ง”


“ขอรับ นายน้อย”


“เย่บา เจ้าได้ของที่ข้าสั่งไว้ครบหรือยัง?” เย่หวูเฉินถาม


“ข้าเตรียมพวกมันไว้ในห้องเล็กด้านตะวันออกแล้วขอรับ” เย่บากล่าวพร้อมโน้มศีรษะ


“เจ้าเตรียมไว้มากเท่าไหร่?”


“ทั้งหมดก็ประมาณ 5 ชั่ง”


“ดีมาก พาข้าไปดู” เย่หวูเฉินยืนขึ้น แต่หยุดคิดนิดหนึ่งแล้วถาม “เจ้าคิดว่าปีนี้ฟงเฉาหยางอายุเท่าไหร่?”


“เขา....” เย่ซีและเย่บาสีหน้าว่างเปล่า เย่ซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “นายน้อย กล่าวกันว่าฟงเฉาหยางอายุน้อยที่สุดในเหล่าเทพทั้งสี่ ในปีนี้เขาสมควรอายุน้อยกว่า 60 ปี”


“ยังไม่ถึง 60 ปีเหรอ?” เย่หวูเฉินพึมพำกับตนเอง พยักศีรษะแล้วพูดกับตัวเอง “แม้อายุยังไม่มาก...อย่างไรก็ตาม เขาก็คือเทพ”




<<<PREV    .    NEXT>>>