วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 107

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 107 กลอุบาย (1)

มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกจนถึงประตูเมือง เย่หวูเฉินเดินออกประตูไปโดยไม่หันมามอง เมื่อออกมาได้ไม่ไกล เย่หวูเฉินยกยิ้มมุมปากและเผยพลังของตน ร่างของเขากลายเป็นเงาขาว แล่นลิ่วไปบนพื้นวิ่งไปด้วยความเร็วน่าหวาดหวั่น ผู้คนรายรอบที่ผ่านไปมาต่างตกตะลึงและอ้าปากค้าง

ความเร็วของเย่หวูเฉินนับได้ว่าตะลึงโลก แต่เถาไปไปผู้เป็นมือสังหารอันดับหนึ่งย่อมไม่อ่อนด้อยในเรื่องความเร็ว หลังแปลกใจอยู่ชั่วขณะ ร่างของเขาก็กลายเป็นเงาขาวพุ่งไปเบื้องหน้าติดตามไป ความเร็วของเขาเทียบเท่ากับเย่หวูเฉิน ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายจากผืนดินแดนแล้ง

เบื้องหลังของพวกเขาผู้ส่งสาส์นทั้งสี่คน ฟง , ฮั่ว , เสวี่ย และเยว่ ที่ตามมาจากระยะไกลต่างมองหน้ากันและอุทานด้วยความตะลึง “เร็วมาก!”

พวกนางไม่มีเวลาลังเล ใช้พลังสูงสุดพุ่งไล่ติดตาม ไปยังทิศทางของสองบุรุษที่ไล่กวดกัน ยิ่งนานระยะของพวกนางยิ่งห่างจากพวกเขา

เถาไปไปรู้ตัวว่าถูกพบแล้ว ดังนั้นเป้าหมายเดียวในตอนนี้คือไล่ให้ทันแล้วฆ่าทันที

เย่หวูเฉินเหลียวมามอง สิ่งที่เห็นทำให้หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย “เร็วมาก!”

สองเงาร่างสีขาว หนึ่งอยู่เบื้องหน้า อีกหนึ่งติดตามอยู่เบื้องหลัง เย่หวูเฉินรู้ชัดเป็นอย่างดีว่าเพราะพลังลับจึงทำให้เขาสามารถใช้ออกซึ่งความเร็วได้ในระดับเทียบเท่ากับเถาไปไป หากเขาต้องเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้โดยตรง เขาย่อมไม่อาจรับมือได้แม้เพียงกระบวนท่าเดียว เมื่อเขาใช้ความเร็วสูงสุด พลังของเขาย่อมถูกสูบกลืนอย่างรวดเร็ว หากเป็นเช่นนี้คนที่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบย่อมเป็นเขา

เย่หวูเฉินปลิวพัดดุจสายลมเย็น ขณะที่เถาไปไปคลับคล้ายกับหมอกบาง เย่หวูเฉินตะลึงในความเร็วของเถาไปไป แต่แม้สีหน้าของเถาไปไปจะไร้อารมณ์เหมือนซากศพ ภายในใจของเขานั้นตกตะลึงยิ่งกว่าเย่หวูเฉินนับร้อยเท่า

เขาเคยคิดว่าทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง นอกจากเทพกระบี่ผู้หายตัวไปกว่ายี่สิบปี ย่อมไม่มีผู้ใดประชันความเร็วกับเขาได้ เขาไม่คาดฝันและไม่ทันตั้งตัว ยิ่งฝ่ายตรงข้ามเป็นชายหนุ่มที่อายุยังไม่เกินยี่สิบ เขาทุ่มกำลังใช้ความเร็วสูงสุดแต่ระยะห่างก็ยังคงที่ เขาไม่อาจย่นระยะเข้าใกล้ได้แม้แต่เพียงนิดเดียว

เถาไปไปย่อมไม่ใช่ชื่อจริง แซ่ของเขาไม่ใช่เถา เพราะทวีปเทียนเฉินไม่มีแซ่นี้ แท้จริงเขามีแซ่ว่าถาว และบิดาของเขาชื่อว่าเถาไท่หลาง... อ่า ไม่ใช่สิ ต้องถาวไท่หลาง

แต่เนื่องจากบุรุษนิสัยดีที่ชื่อว่า มาร์ กราวิตี้ ต้องการแกล้งเขา ดังนั้นเขาจึงมีชื่อว่าเถาไปไป

ความเร็วของพวกเขาเหนือล้ำ เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายลี้ รอบกายเริ่มไร้ผู้คน เบื้องหน้าเย่หวูเฉินปรากฎภาพเลือนราง นั่นคือผืนป่าดำที่ผู้คนหลบลี้หนีออกจากบริเวณ ใช้ความเร็วสูงสุดมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เริ่มหมดแรง

เย่หวูเฉินหยุดฝีเท้าในทันทีที่เหยียบย่างเข้าสู่ป่าดำ จากนั้นหันมามองเถาไปไปที่วิ่งกินฝุ่นเขามาตลอดทาง เหมือนที่เขาคาดไว้ เถาไปไปไม่ได้พุ่งเข้ามาจู่โจมในทันที เถาไปไปหยุดอยู่ห่าง 10 เมตร และจ้องมองด้วยสายตาเยียบเย็น

มือสังหารที่แท้จริงไม่ควรเปิดเผยตัวตน และควรซ่อนอยู่ในเงามืด รอโอกาสลงมือเพื่อรับประกันว่าเหยื่อจะตายอย่างแน่นอน หากไม่สามารถปลิดชีพในหนึ่งกระบวนท่าจงหลีกหนีพันลี้อย่าได้รีรอ

“เจ้าไม่คู่ควรเป็นนักฆ่า” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ไม่ปรากฎความกังวลหรือเกรงกลัว “ประการที่หนึ่ง เจ้าไม่หาข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับเหยื่อของเจ้า และเจ้าลงมือโดยไม่ระวังตัว บางครั้งการลอบสังหารที่ผิดพลาดนั้นหมายถึงชีวิตเจ้า ประการที่สอง เจ้าต้องลงมือฉับพลันโดยไม่ลังเล เมื่อข้าหยุด เจ้าก็หยุดตาม เห็นได้ชัดว่าเจ้ากังวลและไร้ความมั่นใจ นักฆ่าต้องลงมืออย่างปราณีต แต่เจ้ากลับเต็มไปด้วยความลังเล”

จะให้เถาไปไปสงบใจได้อย่างไร ในเมื่อเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ทัดเทียมกับตนเอง? หากเขามีความเร็วถึงเพียงนี้ แล้วพลังของเขาจะอยู่ระดับไหน?

หรือบางที เขาอาจมีพลังเหนือล้ำเพียงเฉพาะความเร็ว?

“ประการที่สาม น่าอนาถนักที่เจ้าถูกเรียกว่ามือสังหารอันดับหนึ่ง ข้าเดาว่าเจ้าไม่รู้ตัวว่าถูกใช้งาน หากเจ้ารู้ว่าอาจารย์ของข้าคือเทพกระบี่ เจ้าจะยังเดินทางพันลี้เพียงเพื่อมาสังหารข้าอยู่หรือไม่?”

ชิ้ง

เถาไปไปดึงกระบี่ออกช้าๆจับไว้มั่นอยู่ในระดับเอว ใบมีดย้อมประกายสีเงิน ทั้งสั้นและบางอย่างมาก ชั่วขณะที่ดึงออกจากฝัก กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งสัมผัสจมูกของเย่หวูเฉิน เป็นกลิ่นอายจากการสังหารและอาบชะโลมด้วยโลหิตมากมาย

“ข้า เถาไปไป ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด นับตั้งแต่เจ้าเป็นเป้าสังหารของข้า เจ้า...ก็สมควรตาย!” ปากซีดขาวขยับกล่าวอย่างรวดเร็ว พ่นน้ำเสียงอัปลักษณ์อันน่ากลัว เขาเป็นบุรุษที่ไม่ค่อยกล่าวถ้อยคำ และสามารถเงียบได้เป็นเวลานาน ดังนั้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาจึงแข็งเกร็ง

“ประการที่สี่ เจ้าไม่ควรเปิดปากพูด” เย่หวูเฉินส่ายศีรษะด้วยความลังเล “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้ฉายามือสังหารอันดับหนึ่งนี้มาได้อย่างไร แต่ต่อให้เจ้ามีพลังมากพอที่จะควบคุมอาณาจักรเทียนหลง เจ้าก็ไม่ควรหยิ่งผยองลำพองตน พื้นฐานสำคัญของนักฆ่าคือสุขุมเยือกเย็นและระวังตัว แต่เจ้าไม่มีเลยสักสิ่ง หากเจ้ายังคงเป็นเช่นนี้ เจ้าจะมีจุดจบด้วยหายนะ...”

นักฆ่าอันดับหนึ่งกลับถูกเหยื่อของตนอบรมสั่งสอนอย่างไม่คาดฝัน กล้ามเนื้อบนใบหน้าเถาไปไปบิดเบี้ยวเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนตัวลงมือ เขากลับพบว่าเย่หวูเฉินดึงลูกกลมเล็กสีดำออกจากที่เก็บด้วยสีหน้าร่าเริง เหยื่อของเขากล่าวคำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่กลัวเจ้า? เพราะว่าข้ามีอัสนีลั่นของตระกูลฮั่ว ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด ต่อให้เป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง หากถูกอัสนีลั่นเข้าสักลูกเจ้าสมควรตายร่างแหลกเป็นชิ้น ฮี่ฮี่...”

เถาไปไปสีหน้ายังคงสงบไม่เปลี่ยน มองเย่หวูเฉินเหมือนเป็นตัวโง่เง่า

เย่หวูเฉินพึงใจในตน และเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “กลัวใช่หรือไม่? แต่สายไปแล้ว ในเมื่อเจ้ากล้าคิดสังหารข้า คิดจริงๆหรือว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ากลับไปศาลาพันนักฆ่าทั้งที่มีชีวิต?”

ขณะที่กล่าว เย่หวูเฉินก็โจมตีในฉับพลัน เขาเขวี้ยงอัสนีลั่นพุ่งฝ่าอากาศเสียงหวีดหวิวตรงไปที่เถาไปไปผู้ที่ยัง ‘ไม่ทันตั้งตัว’ เถาไปไปเบี่ยงศีรษะหลบขณะที่อัสนีลั่นเกือบพุ่งผ่านทะลุหูของเขา เบื้องหลังเกิดระเบิดเสียงดัง พื้นดินแตกกระจายฝุ่นผงตลบอบอวล

เย่หวูเฉินเขวี้ยงอัสนีลั่นลูกที่สองตามติด ปะทะเข้าที่อกของเถาไปไปโดยตรง เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น แต่ก่อนที่เย่หวูเฉินจะทันดีใจเขาต้องตกตะลึง เถาไปไปยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่ได้หลบหลีกและอัสนีลั่นไม่ได้กระทบพื้น กลับไม่ปรากฎร่องรอยความเสียหายบนเสื้อผ้า ไม่ต้องกล่าวถึงบาดแผลบนร่างกาย

อัสนีลั่นย่อมนำความตายมาสู่คนธรรมดา แต่สำหรับยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ย่อมไม่ต่างกับการสะกิด หากยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ต้องการ พวกเขาสามารถสร้างพลังทำลายที่เหนือล้ำกว่าอัสนีลั่น อย่างเช่นหลินเหยียนที่ปลดปล่อย “เพลิงพิโรธ – ผลาญแปดแดนร้าง” ซึ่งสามารถเปลี่ยนรัศมีโดยรอบร้อยเมตรให้กลายเป็นเถ้าธุลี พลังระดับนี้อัสนีลั่นนับพันยังไม่อาจเทียบเทียม

กระทั่งเย่หวูเฉิน หากเขาต้องเผชิญหน้ากับอัสนีลั่น เขาเองก็สามารถรับมือได้โดยไร้รอยขีดข่วนใดๆเช่นกัน

เย่หวูเฉินตะลึงงัน เขาปาอัสนีลั่นใส่อีกลูก ก่อนที่อัสนีลั่นจะแตะสัมผัสกับเสื้อผ้าของเถาไปไป มันกลับระเบิดขึ้นก่อน ราวปะทะเข้ากับม่านพลังไร้ตัวตน ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆแม้แต่เล็กน้อย

เวลานี้เย่หวูเฉินสับสนอย่างเห็นได้ชัด เขาเขวี้ยงอัสนีลั่นอีกสองลูกกระชั้นชิดกัน ขณะที่พวกมันพุ่งเข้าหาเถาไปไป เย่หวูเฉินถลาถอยไปหลายก้าวแล้วรีบหมอบราบลงกับพื้น

ตูม....

เถาไปไปคร้านที่จะหลบเจ้าสิ่งที่เรียกว่าอัสนีลั่น ลูกแรกระเบิดก่อนถึงอก ลูกที่สองกระชั้นเข้ามาในขณะที่ใกล้ปะทะ เขาพลันสะท้านหดเกร็งด้วยรู้สึกถึงวิกฤต ความรู้สึกอันตรายที่เขาประสบมานับครั้งไม่ถ้วน ชั่วขณะเหมือนยืนอยู่บนขอบเหวแห่งความเป็นตาย มันกลายเป็นสัญชาตญาณและไม่เคยผิดพลาดใดๆ

ไม่มีเวลาพอที่จะเบี่ยงหลบ เขาใช้พลังทั้งหมดถอยหลัง ปลดปล่อยพลังขอบเขตสวรรค์จนถึงขีดจำกัดสูงสุด...

ตูม!!

ฝุ่นทรายกระจายเต็มฟ้า ผืนปฐพีสั่นสะเทือน เย่หวูเฉินแม้จะเตรียมตัวรอแต่เสียงระเบิดยังดังสะเทือนถึงแก้วหู ร่างกายสั่นสะท้านด้วยแรงปะทะที่ติดตามมา เขากลิ้งกระเด็นออกไปกว่าสิบเมตรก่อนที่จะหยุดลง หากเขาไม่ได้หมอบราบอยู่กับพื้นก่อนการระเบิด ต่อให้เขาใช้พลังทั้งหมด เขาก็ย่อมถูกแรงระเบิดฉีกร่างเป็นชิ้นๆ

สมกับชื่อ “อัสนีลั่นสะเทือนฟ้า”

ถึงแม้เขาไม่อาจฆ่าเถาไปไปได้ด้วยแรงระเบิด แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาสูญเสียพลัง

ร่างโอนเอนราวกับใบไม้แห้งของเถาไปไปอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของแรงระเบิด พื้นดินเป็นหลุมขนาดใหญ่กว้างกว่าสิบเมตร ใต้ฟ้ามีฝุ่นผงฟุ้งกระจาย เย่หวูเฉินยังไม่อาจมองเห็นเถาไปไป เขายืนขึ้นและปัดเศษฝุ่นออกจากร่าง ฉับพลันมีเงาร่างสีขาวพุ่งเข้ามาจากมุมหางตา รังสีเย็นเยียบเสียดถึงกระดูก จิตสังหารเพ่งเล็งมาที่ลำคอ

เย่หวูเฉินซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว ใช้ความเร็วสูงสุดรีบหลบหนี ด้วยการที่ไม่ทันตั้งตัว แม้ว่าเย่หวูเฉินสามารถหลีกเลี่ยงความบาดเจ็บรุนแรง แต่แผลยาวก็พาดผ่านลำคอของเขา เย่หวูเฉินหลบหนีราวกับภูติผีเข้าไปในป่าดำ ร่างของเขาหายลับไปด้วยถูกต้นไม้บดบัง

ร่างกายของเถาไปไปปกคลุมไปด้วยเศษฝุ่นผง เสื้อผ้าของเขาถูกฉีกทำลาย อวัยวะภายในบาดเจ็บเล็กน้อยจากแรงระเบิดร้ายแรง พลังระเบิดระดับนี้ปกติไม่อาจทำอันตรายใดๆต่อเขา แต่หลังจากอัสนีลั่นสามลูก ตามด้วยอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าที่มีลักษณะเหมือนกัน เขาจึงไม่ทันป้องกันตัว และเขาไม่ใช่ผู้ชำนาญการตั้งรับเช่นกัน ดังนั้นยามนี้เขาจึงสูญเสียพลัง ถูกกระตุ้นยั่วโทสะในจิตใจ

เย่หวูเฉินเป็นสาเหตุของความโกรธ เมื่อนักฆ่าไม่สามารถระงับอารมณ์ สิ่งแรกที่สูญเสียไปคือความเยือกเย็น

เห็นเลือดเปื้อนอยู่บนกระบี่ เถาไปไปเผยสีหน้าอำมหิต เย่หวูเฉินสามารถปกปิดกลิ่นอายและเขาไม่สามารถสัมผัสมัน แต่ว่าโลหิตนั้น... เถาไปไปอ่อนไหวต่อกลิ่นคาวเลือดสดอย่างยิ่ง ตราบใดที่บนร่างของเขามีโลหิตไหลออกมา เขาย่อมไม่มีวันหลบหนีการไล่ล่าได้

เถาไปไปร่างกายไหววูบ กลายเป็นเส้นเงาขาวหายเข้าไปในป่าดำ ตรงไปยังทิศทางที่หวูเฉินหนีเข้าไป ป่าต้องสาปแห่งนี้มีสัตว์อยู่เพียงเล็กน้อย และย่อมไม่มีตัวใดที่จะเลือดออกในเวลานี้ ทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเถาไปไป

เย่หวูเฉินสัมผัสได้เลือนรางว่าถูกตามมาจากข้างหลัง เขาฉีกมุมเสื้อแปะบาดแผลบนลำคอ เลือดจากแผลซึมเปื้อนผ้า เขามุ่งหน้าตรงไปยังตำแหน่งในความทรงจำ เขาวิ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุด



<<<PREV    .    NEXT>>>