วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 111

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 111 ดวงตาเทพพิโรธ

เงาร่างสีขาวไหววูบ สตรีสี่คนงงงัน เถาไปไปใช้วิธีประหลาดผ่านวงล้อมศัตรูและอยู่ห่างออกไปห้าฟุต เขาสวนกลับด้วยกระบี่เงินซึ่งชะโลมด้วยเลือดมานับครั้งไม่ถ้วน เขารวดเร็วอย่างมาก การเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เขานับได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ

สี่สตรีต่างตะโกนด้วยความโกรธ ดีดร่างตรงเข้าหา กระบี่สี่เล่มเหยียดทะยานประสานโดยพร้อมเพรียงกัน รับการโจมตีของเถาไปไปโดยไม่หวั่นเกรง เถาไปไปหรี่ตาลงแล้วเบี่ยงร่างหลบ จากนั้นเขาขยับเคลื่อนร่างอย่างรวดเร็ว จนเหมือนกับมีเงาร่างจำนวนมากซ้อนทับติดตา

ฟับ~~

พายุกระบี่กระหน่ำใส่ร่างสีขาว สตรีทั้งสี่ปลดปล่อยพลังที่แท้จริง ผืนปฐพีสีเทาเข้มถูกตัดเป็นรอยลึกน่ากลัวกว่าสิบสาย แต่ละสายล้วนลึกกว่าหนึ่งเมตร

โลหิต... มีโลหิตพุ่งกระจายออกมาทั่วบริเวณ!

มีสามรอยตัดบนอกของเถาไปไป แต่ก็เป็นเพียงแผลเล็กน้อย ขณะที่แขนซ้ายของเยว่ถูกตัดปลิวกระเด็น ถูกตัดในช่วงคะนองกระหน่ำโจมตีเป็นสายฟ้า ทำให้เลือดพุ่งกระจายไปทั่วบริเวณ

เผชิญหน้าตาต่อตา ต่างฝ่ายต่างจู่โจมไม่กลัวความตาย ฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนอีกฝ่ายบาดเจ็บร้ายแรง

ความเจ็บปวดสาหัสเกือบทำให้ เยว่ หมดสติ แต่นางกัดฟันอดทนไม่มีกระทั่งเสียงร้อง สามสตรีที่เหลือ ฟง , ฮั่ว และเสวี่ยราวกับไม่เห็นอาการบาดเจ็บของนาง ทั้งสี่คนไม่หยุดชะงักหรือลดความเร็ว พวกนางพุ่งจู่โจมใส่เถาไปไปอีกระลอก....

แน่นอนว่าเย่หวูเฉินไม่ได้วางแผนเข้ามาตายในหอคอยปีศาจ สถานที่ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา แต่ตรงกันข้ามที่เขาเข้ามาเพราะเป็นทางรอดสุดท้าย จากที่เขาตรวจสอบเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาจึงรู้ว่าเหตุใดสตรีเทพพิโรธที่ถูกผนึกไว้ถึงสามารถฆ่าคนได้

เป็นเพราะว่าดวงตาของนาง

เย่หวูเฉินมั่นใจอย่างที่สุดว่าดวงตาของนางสามารถฆ่าคนได้ ในวันนั้น สายตาของนางมองผ่านจิตสัมผัสและมันเกือบพรากชีวิตของเขา หากเขาสบสายตากับสตรีผู้นี้โดยตรง บางทีแค่ดวงตาข้างเดียวก็สามารถปลิดชีพเขาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งกว่านั้น อวัยวะภายในยังปั่นป่วน แขนขารู้สึกราวกับถูกบิด หรือว่าจริงๆแล้วนั่นคือความรู้สึกก่อนที่ร่างจะระเบิด? ตำนานกล่าวไว้ว่าผู้คนที่ออกมาจากหอคอยปีศาจทุกคนล้วนตกตายเพราะร่างกายระเบิด

ดังนั้น ตราบใดที่เขาไม่จ้องมองดวงตาของนาง....

ชั่วขณะที่เขาก้าวเข้าไปในหอคอยปีศาจ เขาหลับตาแน่นและปิดประตูในความมืด เขารีบหันหน้าเข้าหาประตูศิลาก่อนที่จะลืมตาขึ้น

ความรู้สึกเย็นเยือกแผ่มาจากเบื้องหลัง ทำให้ขนทั่วร่างลุกชูชัน เขารู้ว่าเป็นคู่ดวงตาน่ากลัวกำลังจ้องมองมาที่เขาโดยตรง... นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขนหัวลุก แค่เพียงดวงตาที่จ้องแผ่นหลังยังทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้

สตรีเทพพิโรธผู้น่าสะพรึงกลัว... เขาจะไม่หันไปดูว่านางมีลักษณะอย่างไร นอกเสียจากอยากตาย

เขาเดาได้ถูกต้อง สายตาน่ากลัวมองตรึงอยู่ที่แผ่นหลังของเขา ร่างกายของเขายังไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆเกิดขึ้น เย่หวูเฉินสงบความกังวลในใจลง จากนั้นถอนหายใจบางเบา

ไม่ว่าเขาจะคำนวณไว้แม่นยำถึงเพียงใด ย่อมมีบางสิ่งที่อาจผิดพลาดได้ โลกใบนี้กว้างใหญ่ ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีใครสามารถคำนวณนับทุกความเป็นไปได้ทั้งหมด

กระจกจักรพรรดิฟ้าเกือบทำให้ชะตาชีวิตของเขาจบลง ตอนนี้เขาทำได้เพียงพึ่งพาสตรีสี่คนที่ติดตามเขามา เย่หวูเฉินเชื่อโดยไร้ข้อสงสัยว่าพวกนางถูกมอบหมายจากสำนักจักรพรรดิให้คอยปกป้องเขา เมื่อพวกนางรู้ว่าเขาถูกบีบบังคับให้ต้องเข้ามายังหอคอยปีศาจ พวกนางย่อมระดมการโจมตีใส่เถาไปไปโดยไม่หยุดหย่อน จากนั้นเขาจะเผ่นหนีเอาตัวรอด ขณะที่ยืมมือของสำนักจักรพรรดิใต้ในการกำจัดเถาไปไป

ไพ่ใบสุดท้ายต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง หากการคาดเดาของเขาผิด เขาย่อมตกตายทันทีที่ก้าวเข้ามาในหอคอยปีศาจ

สถานที่นี่มืดสนิท ไม่มีแสงจากแหล่งใดๆ แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเย่หวูเฉิน ผู้ที่สามารถมองผ่านความมืด จากที่ตำนานกล่าวไว้ว่า ผู้คนที่ตายอยู่ในหอคอยปีศาจต่างไร้สภาพศพที่สมบูรณ์ แต่ในนี้ไม่มีกลิ่นของเศษซากใดๆ มีเพียงกลิ่นอายความตายที่ลอยคละคลุ้ง เย่หวูเฉินนั่งลงบนพื้นอย่างมั่นคงเพื่อฟื้นฟูพลังที่ใช้ไปจนเกือบหมด

ดวงตาคู่นั้นยังจ้องติดตายอยู่ที่แผ่นหลังเขา ในท่ามกลางความมืด ดวงตาคู่นั้นกระพริบแปลกใจ ประกายตาสีดำแฝงความโหดเหี้ยมและกระหายเลือด ทำให้ผู้คนสั่นกลัวเพราะมัน ราวปีศาจอำมหิตที่กระหายในเนื้อมนุษย์

เย่หวูเฉินตัวสั่นทั้งร่างอย่างไม่อาจควบคุม กระทั่งฟันยังสั่นกระทบกันอย่างไม่เต็มใจ ไม่ว่าเขาจะพยายามสงบจิตใจอย่างหนักสักเพียงใด เขาก็ยังไม่อาจกดระงับความรู้สึกหวาดกลัวที่รุนแรง สายตาที่จ้องอยู่เบื้องหลังเหมือนคมเขี้ยวเปื้อนเลือดที่เตรียมเข้าขย้ำลำคอ

“หนานเอ๋อร์ เจ้าเห็นนางรึปล่าว?” เย่หวูเฉินถามขณะกัดฟัน ขณะที่เขย่าสมองเพื่อไล่ความมึนงงที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“เอ๋? ใครเหรอ?”

“สตรีต้องสาปที่กำลังมองมาที่ข้า!”

“นี่ ข้ามองไม่เห็นอะไร ท่านเป็นเจ้านายของหนานเอ๋อร์ หนานเอ๋อร์จะเห็นเฉพาะสิ่งที่เจ้านายมองเห็น เมื่อครู่นี้หนานเอ๋อร์กำลังหลับอยู่...เอ๋? ท่านพูดว่าอะไรนะเจ้านาย? สตรีต้องสาป? หรือว่าที่นี่....อ๊า!”

ด้วยการตอบสนองที่เชื่องช้า หนานเอ๋อร์ก็ตระหนักถึงบางสิ่ง ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ จากนั้นเสียสติด้วยความกลัว “จะ..เจ้านาย มิน่าหนานเอ๋อร์รู้สึกถึงความกลัวของท่าน ขะ..ข้าควรทำยังไง ข้าควรทำยังไงดี สตรีต้องสาปฟังแล้วเหมือนสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง นะ..นางกินคนรึปล่าว? เจ้านายจะถูกกินเหรอ? อ๊า... ถ้าเจ้านายถูกกิน แล้วหนานเอ๋อร์จะเป็นยังไง? ฮือออ.......”

เย่หวูเฉินอ่อนใจทันที “เอาละ เจ้านายของเจ้าจะไม่ถูกกิน อย่ากังวลไปเลย แค่ไม่หันไปมอง นางก็ไม่อาจทำร้ายข้าได้”

ระหว่างที่หัวเราะน้ำตาเล็ดกับคำพูดของหนานเอ๋อร์ ความกลัวของเขาก็ทุเลาลง เขายังคงนั่งอย่างมั่นคง เขาไม่แม้กระทั่งมองไปข้างหน้า ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงการมองไปข้างหลัง

หากแต่ความมึนงงยิ่งมายิ่งทวีความรุนแรง

หรือว่ามันเกิดจากความกังวลและความเหน็ดเหนื่อย? เย่หวูเฉินหลับตาลงและครุ่นคิด

“เอ๋! จริงเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นละก็... อื้ม! หนานเอ๋อร์จะไม่กังวลอีกต่อไป เจ้านาย ท่านห้ามมีอันตรายใดๆ เสียงประหลาดนั้นบอกข้าว่ามีเพียงเจ้านายเท่านั้นที่จะช่วยหนานเอ๋อร์ได้ หืม... โอ้? กลิ่นนี้มัน รู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน” หนานเอ๋อร์พลันเงียบลง ราวกับนางกำลังพยายามคิดบางสิ่งอยู่

“กลิ่นที่คุ้นเคย? มันคือสิ่งใด?”

“หนานเอ๋อร์กำลังคิดอยู่... ขอข้าคิดดีๆก่อน... โอ้! ข้านึกออกแล้ว มันคือโซ่ตรวนปีศาจ ใช่แล้ว เป็นกลิ่นของโซ่ตรวนปีศาจจริงๆ” หนานเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นเต้น ราวกับว่านางได้พบเพื่อนที่จากกันไปแสนนาน

เย่หวูเฉินย่อมรู้อยู่แล้วว่าสตรีเทพพิโรธถูกผนึกด้วยโซ่ตรวนปีศาจ และโซ่ตรวนปีศาจนั้นเป็นสิ่งที่มอบให้โดยสำนักจักรพรรดิใต้

“โซ่ตรวนปีศาจเป็นของจักรพรรดิใต้ สามารถใช้ผนึกได้แทบทุกสิ่ง นอกจากผู้ใดจะมีพลังเทียบเท่าจักรพรรดิใต้ หรือจักรพรรดิเหนือ หากใครถูกผนึกแล้ว พวกเขาย่อมไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้ อ้อ ใช่แล้ว! มีเพียงกระบี่หนานฮวงเท่านั้นที่จะใช้ตัดโซ่ตรวนปีศาจได้” หนานเอ๋อร์พูดกับตัวเอง

“กลิ่นอายที่นี่ช่างแปลกนัก มันผสานกันระหว่างพลังแห่งความตายและพลังแห่งความมืด เจ้านาย ท่านรู้สึกเหนื่อยรึปล่าว?”

“ไม่” เย่หวูเฉินรู้ว่านางเป็นกังวล พลังแห่งความตายนั้นบั่นทอนพลังชีวิต และทำให้ผู้คนหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย จากนั้นจึงตายที่สุด แต่เขาไม่เกรงกลัวพลังแห่งความตาย

“ถ้าอย่างนั้นเจ้านาย ท่านรู้สึกมึนงงบ้างรึปล่าว?” หนานเอ๋อร์ถามอีกครั้ง

“ใช่ หือ?” เย่หวูเฉินพลันตระหนักในทันที เขาขมวดคิ้วแล้วถาม “เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกมึนงงได้?”

“เพราะว่า ตอนนี้มีธาตุความตายกับธาตุความมืดที่น่ากลัว มันต่างจากปกติโดยสิ้นเชิง ธาตุแห่งความตายผสานเข้ากับธาตุแห่งความมืดอย่างน่าประหลาด ทำให้เกิดพลังที่สามารถกลืนกินจิตใจ มันจะดึงสติสัมปชัญญะของทุกชีวิตออกไปอย่างรวดเร็ว สติของพวกเขาจะจมลงสู่ความมืด... อืม ใช่แล้ว พวกเขาจะหมดสติ” หนานเอ๋อร์สาธยายรายละเอียด

ตุบ

ชั่วขณะที่หนานเอ๋อร์กล่าวจบ สติของเย่หวูเฉินก็จมลงสู่ความมืด เขาล้มลงอย่างรุนแรง

“อ๊า! เจ้านาย! เจ้านาย... เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?”

“ดูเหมือนเจ้านายจะหมดสติ... หากเขาไม่ออกไปจากที่นี่ เขาจะไม่มีวันตื่นขึ้นอีกเลย ข้าควรทำยังไง? ข้าควรทำยังไงดี.... ฮือออ.... โอ้! ใช่แล้ว ดูเหมือนข้ามีความสามารถปลุกเจ้านายให้ตื่นได้ อื้ม! ต้องเป็นไปได้แน่”

วิธีของหนานเอ๋อร์นั้นเรียบง่าย ใช้ความเจ็บปวด นางสามารถปลุกเย่หวูเฉินผู้กำลังหมดสติ

ตรงหว่างคิ้วของเย่หวูเฉินเปล่งแสงสีทอง แสงของมันสว่างอย่างมากท่ามกลางความมืด

ความเจ็บปวดคมกล้าทะลวงเข้าไปถึงจิตใจ ราวกับเย่หวูเฉินถูกทิ่มแทงให้ตื่นจากความฝัน เขาผวาลืมตาขึ้น

“ว้าว! เยี่ยมมาก! ฮี่ ฮี่ หนานเอ๋อร์เก่งจริงๆสามารถปลุกเจ้านายให้ตื่นได้ เจ้านาย พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ทันที ไม่อย่างนั้น เจ้านายจะสลบอีกครั้งในเวลาไม่นาน”

“........”

“เจ้านาย?”

“........”

“เจ้านาย? เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ทำไมท่านไม่ตอบหนานเอ๋อร์?”

“........”

“อ๊า! เจ้านาย.... ดวงตาคู่นั้น!!” ในที่สุดหนานเอ๋อร์ก็สังเกตเห็นความผิดปรกติอันน่าสะพรึง

เย่หวูเฉินนอนอยู่ ไม่ขยับตัว มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างผิดธรรมดา สายตาของเขาถูกดึงดูดไป เขาไม่สามารถหลบหนีได้

เพราะว่าดวงตาดำทมิฬคู่นั้น



<<<PREV    .    NEXT>>>