วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 112

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 112 สตรีเทพพิโรธ

ดวงตาคู่นั้นดูค่อนข้างคุ้นเคย เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน ยามที่ดวงตาคู่นั้นปรากฎขึ้นในจิตใจ มันได้สลักฝังลึกลงในดวงวิญญาณ มันปรากฎขึ้นในความฝัน ไม่ว่าเขาจะพยายามลืมมันสักเท่าไหร่ ก็มีแต่ล้มเหลว

วันนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ได้สบประสานสายตาคู่นั้นโดยตรง ดวงตาของเขาไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป ไม่ว่าเขาจะพยายามหลับตาลงหรือเบี่ยงสายตาออกต่างก็ล้วนไร้ประโยชน์ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองดวงตาคู่นั้นโดยตรง... และไม่ใช่เพียงดวงตา ร่างกายของเขาก็ไม่ใช่ของตนเองอีกต่อไป เขากระทั่งไม่สามารถขยับนิ้วมือได้ และเขาไม่สามารถเปล่งเสียง ราวกับว่าวิญญาณถูกกระชากออกจากร่างกาย

เย่หวูเฉินหัวใจดิ่งวูบในทันที เพราะเขารู้ว่าตนเองจะตกตายหากมองดวงตาคู่นั้น รวมทั้งมันไม่ใช่ความตายที่สะดวกสบาย

ชีวิตของข้าคงต้องจบลงตรงนี้... หากข้าต้องตาย แล้วเสวี่ยเอ๋อร์จะเป็นอย่างไร? แล้วกับเสี่ยวโหรวโหรว? ใครจะปกป้องตระกูลเย่ผู้มอบสถานะให้นี้กับข้า? ใครจะตามหาบิดามารดา? ข้าจะตามหาตัวตนที่แท้จริงของข้าได้อย่างไร?

หรือข้าควรเสียใจ? เสียใจที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้?

โลกนี้มีเหตุบังเอิญเกิดขึ้นมากมาย ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมที่สุด หากเกิดความเปลี่ยนแปลงแม้เล็กน้อย มันก็สามารถพรากชีวิตของบุคคลได้อย่างง่ายดาย ความเปลี่ยนแปลงของธาตุความมืดในที่แห่งนี้... ต่อให้คนที่มีสติปัญญาเลิศล้ำสูงส่ง เขาก็ไม่อาจคาดการณ์ถึงสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้

หากเขามีพลังเพียงพอ เขาจะถูกเถาไปไปบีบบังคับจนต้องเข้ามาในนี้ได้อย่างไร? พลัง ใช่แล้ว เขาต้องการพลัง เพื่อปกป้องตนเอง เพื่อปกป้องคนที่เขารัก เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ

ดวงตาคู่นั้น....

ช่างดำสนิทไร้แววแสงสว่างใดๆ เขายังคงเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนในครรลองสายตา

นี่คือชั้นล่างสุดของหอคอยปีศาจ ชั้นบนสุดล้วนมีสีเทาเข้มเหมือนกันหมด เพราะธาตุแห่งความตายและความมืด สิ่งที่ห้อยลงมาจากส่วนบนสุด เป็นโซ่ตรวนสีทองพันธนาการรอบร่างกาย...ของบุคคล โซ่ตรวนทองพันหุ้มร่างนั้นไว้แน่น ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับรังไหม ส่วนเดียวที่เผยออกมาคือดวงตาคู่ดำทมิฬ ที่มองลอดระหว่างช่องว่างเล็กๆของโซ่ตรวนทอง

นี่คือโซ่ตรวนปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย โซ่นั้นพันไว้อย่างแน่นหนา แน่นจนคนสามารถเห็นรูปร่างบอบบางของสตรีที่ถูกพันธนาการ แต่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เย่หวูเฉินกังวล ที่เขากำลังคิดในยามนี้คือการเอาชีวิตรอด

สาเหตุที่นางสามารถใช้สายตาสังหารผู้คนได้ นั่นเพราะพลังวิญญาณของนางนั้นเหนือล้ำ ต่างไปจากพลังของเย่หวูเฉินที่มีพลังล่วงรู้อันเบาบาง สตรีเทพพิโรธมีพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างสุดขั้ว ทำให้นางสามารถใช้จิตใจควบคุมร่างของเหยื่อ แขนขาของเหยื่อจะขยับตามความต้องการของนาง แม้กระทั่งทำให้ร่างระเบิด

และพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งสุดขั้วนี้ สมควรถูกปลดปล่อยและเข้าคุกคามเหยื่อผ่านการสบประสานสายตา บางทีตลอดทวีปเทียนเฉินอาจมีเพียงยอดฝีมือขอบเขตเทวะที่สามารถต่อต้านพลังอันน่ากลัว วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือใช้พลังวิญญาณของตนต้านทานกลับไป แต่พลังวิญญาณของเย่หวูเฉินย่อมไม่อาจเปรียบเทียบกับสตรีเทพพิโรธ เหมือนตะวันกระจ่างฟ้าเทียบกับเมล็ดข้าวเมล็ดเดียว

ดวงตาทมิฬเปล่งแววดำอำมหิต ร่างของเย่หวูเฉินสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดเสียดแทงเข้าในอก

เขาทุ่มเทใช้พลังวิญญาณอันอ่อนแอเพื่อขัดขืน แต่เหมือนเม็ดทรายที่ต่อต้านพายุแรง ก่อนที่เขาจะทันได้เริ่ม พลังวิญญาณของเขาก็พลันกระจายหาย พลังวิญญาณของเขาเคยใช้เพียงครั้งเดียว คือชักนำจิตใจของฮั่วฉุ่ยโหรวผู้บอบบาง ขนาดตอนนั้นเขายังแทบหมดสติ พลังแค่นี้ไม่คู่ควรต่อต้านสตรีเทพพิโรธ

เย่หวูเฉินยอมแพ้และหยุดขัดขืน ต่อหน้าพลังที่สมบูรณ์หมดจด ดิ้นรนไปก็ไร้ความหมาย ทุกเล่ห์เพทุบายล้วนไร้ค่าน่าหัวเราะ จะขัดขืนเพียงเล็กน้อยยังไม่อาจกระทำ กระทั่งแค่การขยับร่างกาย เขาขยับเข้าใกล้หุบเหวแห่งความตายทีละน้อยๆ

เขาไม่ได้ยินเสียงของหนานเอ๋อร์อีกต่อไป โลกของเขาเหลือเพียงดวงตาดำทมิฬคู่นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจรบกวนเขาได้

เขารู้สึกว่าภายในเริ่มปั่นป่วน ด้วยพลังที่คอยขับออกมาจากข้างใน เหมือนพร้อมพังทลายลงในทุกเวลา ความรู้สึกแบบนี้ช่างคล้ายกับตอนที่พลังรุนแรงสะกดร่างและสร้างความปั่นป่วนอวัยวะภายใน ครั้งนั้น เขาได้หนิงเสวี่ยช่วยไว้ แต่ครั้งนี้ ใครเล่าจะเข้ามาช่วย...

เสียงปริแตกของรอยแผลเล็กบนหน้าอกของเย่หวูเฉิน รอยแผลขยายออกพร้อมโลหิตไหลซึม ย้อมเปื้อนเสื้อขาวและแพร่กระจาย เขาเข้าใกล้ความตายขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อได้กลิ่นคาวของโลหิต ดวงตาทมิฬทอประกายสีแดงด้วยความตื่นเต้น

เขาควรภูมิใจ ด้วยพลังของเขาใต้พลังวิญญาณของสตรีเทพพิโรธ เขาสามารถทนอยู่ได้ถึง 20 วินาทีโดยไม่ตกตาย ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์เข้ามาในนี้ ก็ย่อมสิ้นใจในเวลา 10 วินาทีหากสบตากับนาง เนื่องจากพลังป้องกันตัวฉับพลันของพลังหวูเฉิน ทำให้สตรีเทพพิโรธใช้เวลานานกว่าจะทะลวงผ่านเข้าไปได้

ข้ากำลังจะตาย? หากข้าตาย เสวี่ยเอ๋อร์ก็คง.... ต่อให้ตระกูลเย่ปกป้องและไม่ทอดทิ้งนาง นางก็ย่อมโศกเศร้าและหัวใจแหลกสลาย....

ข้าสัญญาว่าจะปกป้องนางตลอดไป ข้าจะปล่อยให้นางเจ็บปวดจนชั่วชีวิตได้อย่างไร?

แต่จะมีใครช่วยข้า!

แน่นอนว่าเย่หวูเฉินย่อมไม่จบชีวิตลงเพียงเท่านี้ ไม่เช่นนั้น นิยายเรื่องนี้จะไม่มีพระเอกอีกต่อไป

พลังของสตรีเทพพิโรธได้แพร่ซึมเข้าไปในร่างของเย่หวูเฉิน แต่โชคร้ายเมื่อพลังของนางต้องพบกับหนึ่งในกำแพงพลังลึกลับ พลังที่ซ่อนอยู่ในร่างของเย่หวูเฉินซึ่งจะโผล่ออกมาทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง ทันในนั้น กำแพงพลังได้ตื่นขึ้นราวสัตว์ร้ายและตอบโต้อย่างบ้าคลั่ง เย่หวูเฉินสามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน พลังยิ่งใหญ่ที่ทะลักออกมาจากในร่างกาย มันทำลายพลังวิญญาณของสตรีต้องสาปอย่างง่ายดาย มันไล่ตามพลังแปลกปลอมที่เข้ามาทางดวงตาของเย่หวูเฉิน ย้อนตรงไปที่ดวงตาของสตรีเทพพิโรธ และกระหน่ำหนักหน่วงเข้าสู่จิตวิญญาณนาง

เสียงสะเทือนเลือนลั่นดังขึ้นในศีรษะ นางหน้าซีดลงเฉียบพลัน ภาพของเย่หวูเฉินได้สลักฝังลึกอยู่ในจิตใจ นี่คือพลังที่แฝงเร้นอยู่ในกายของเย่หวูเฉิน

ราวกับตื่นจากฝันร้าย ร่างกายของเย่หวูเฉินชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เขารีบลุกขึ้นจากพื้น ถอนหายใจยาวเพื่อสงบจิตใจ จากนั้นรีบเคลื่อนพลังหวูเฉินที่เหลือเพื่อรักษาแผลที่อก รวมทั้งรักษาอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายใน

เขาไม่คิดเลยว่าพลังลึกลับที่เกือบพรากชีวิตของเขาในครั้งก่อน จะช่วยชีวิตของเขาในครั้งนี้ เขารู้สึกได้รางๆว่าพลังนี้มีต้นกำเนิดเดียวกันกับพลังหวูเฉิน หากแต่มันแข็งแกร่งกว่านับไม่รู้กี่เท่า เย่หวูเฉินพลันตระหนักถึงพลังของมัน เพียงสวนสะท้อนครั้งเดียว สตรีต้องสาปที่ทุกคนหวาดกลัวก็พ่ายแพ้ลงโดยไม่อาจต้านทาน

มันเป็นพลังแบบใดกัน... ทำไมจึงปรากฎอยู่ในกายของข้าได้!?

“ฮือ....เจ้านาย ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?”

“ข้าสบายดี” เย่หวูเฉินค่อยๆลืมตา ความบาดเจ็บทั้งหมดเกือบหายดี ความกลัวในใจได้สงบลง เขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอีกต่อไป สายตาคู่นั้นยังคงจ้องอยู่เบื้องหลัง แต่มันไม่ได้นำพาความเยียบเย็น หากแต่เป็นความปรารถนาแรงกล้า...

เมื่อพ่ายแพ้ทางกายนั่นหมายถึงความบาดเจ็บหรือตกตาย แต่หากพ่ายแพ้ทางจิตวิญญาณจะทำให้กลายเป็นคนโง่งม หรือก็คือ... ผู้ที่พิชิตนางได้จะถูกสลักภาพฝังไว้ในก้นบึ้งของจิตวิญญาณ และไม่มีทางสลัดทิ้งออกไป ชั่วชีวิตนี้นางจะติดตามและเชื่อฟังเขา เขาจะกลายเป็นคนที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตนาง นี่คือความภักดีทางวิญญาณสุดขั้ว เป็นความภักดีที่ไม่มีวันทรยศ

ต่อให้เย่หวูเฉินลงมือสังหารนาง นางก็จะไม่ต่อต้านใดๆ

“เจ้านาย เมื่อครู่นี้หนานเอ๋อร์สัมผัสถึงพลังร้ายกาจได้ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาที กระทั่งจักรพรรดิใต้ยังไม่อาจปลดปล่อยพลังน่ากลัวเช่นนี้ เป็นพลังที่น่าสยดสยองมากจริงๆ” หนานเอ๋อร์กล่าวด้วยความสับสน

“แข็งแกร่งกว่าพลังของจักรพรรดิใต้?” เย่หวูเฉินเริ่มตระหนก

ด้วยพลังของโกลาหลบรรพกาล จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือมีสถานะเท่าเทียมกันยามครั้งก่อกำเกิดแผ่นผืนปฐพี พลังของพวกเขามหาศาลเพียงใช้นิ้วเดียวก็สามารถทำลายมหาทวีปเทียนเฉิน แต่หนานเอ๋อร์กลับกล่าวออกมา... ว่ากระทั่งจักรพรรดิใต้ยังไม่สามารถปลดปล่อยพลังเช่นนี้....

ด้วยอุปนิสัยของหนานเอ๋อร์ นางย่อมไม่กล่าวโกหก แต่แท้จริงแล้วมันคือพลังแบบใดกันแน่!?

เย่หวูเฉินตระหนักชัดว่าตนเองโชคดีเพียงใดที่รอดพ้นจากพลังนี้ในครั้งก่อนได้ กล่าวได้ว่าในครั้งนั้นพลังที่ก่อกวนนับว่า “บางเบา” อย่างสุดขีด มิเช่นนั้น หากพลังนี้หลุดรั่วเพียงเล็กน้อย ย่อมเพียงพอทำให้เขาตายกลายเป็นควันทันที

มีพลังเช่นนี้อยู่ในร่างสมควรเรียกว่าโชคดีหรือหายนะกันแน่?

อย่างน้อยตอนนี้ ทั้งโชคดีและโชคร้ายคงเป็นสัดส่วนกันครึ่งต่อครึ่ง ก่อนหน้ามันอาจคิดพรากชีวิต แต่ตอนนี้มันช่วยชีวิตเขาไว้

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะแล้วหันร่าง “หนานเอ๋อร์ พวกเราไปดูสตรีเทพพิโรธกัน”

“เอ๋? เจ้านาย!”

“ไม่ต้องห่วง” เย่หวูเฉินส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม “นางจะไม่ทำร้ายข้าอีกแล้ว ยิ่งกว่านั้น โชคชะตาได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับข้า”

“หนานเอ๋อร์ ออกมา”

หน้าผากของเย่หวูเฉินเปล่งแสงสีทอง พร้อมกับมีกระบี่ใหญ่สีทองปรากฎขึ้นในมือของเย่หวูเฉิน

ดวงตาคู่นั้นที่เคยกระหายเลือดและอำมหิต ยามนี้กลับฉายแววอ่อนโยนและเชื่องเชื่ออย่างลึกล้ำ ไม่ปรากฎแรงกดดันเพียงนิดน้อยต่อเย่หวูเฉินอีกต่อไป

หากต้องใช้เทพทั้งสี่แห่งเทียนเฉินเพื่อรับมือสตรีเทพพิโรธ นางจะเป็นอาวุธสังหารที่คมกล้าอย่างสุดขั้ว

เย่หวูเฉินกระโดดลิ่วร่างขึ้นไป เหวี่ยงกระบี่หนานฮวงวาดเป็นวงโค้งสีทอง ตัดโซ่ตรวนสีทองที่แขวนสตรีเทพพิโรธ เมื่อกระบี่หนานฮวงสัมผัสเขาแทบไม่ต้องออกแรงในการตัดมัน ราวกับว่ามันไม่ใช่โซ่ตรวนปีศาจที่ไม่อาจทำลาย แต่คล้ายเต้าหู้เสียมากกว่า

โซ่ตรวนปีศาจไม่ได้ถูกตัดเพราะพลังกระบี่แต่เป็นเพราะความคมของมัน เนื่องจากพลังของเย่หวูเฉินในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะเรียกใช้พลังของกระบี่หนานฮวง หากกล่าวถึงเฉพาะความคมของกระบี่หนานฮวงเพียงอย่างเดียว มีอาวุธที่พอเทียบได้อยู่ไม่ถึงสิบชิ้น อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นของยอดฝีมือขอบเขตเทวะ และต่อให้พวกเขาใช้อาวุธพวกนั้นตัดโซ่ตรวนปีศาจเต็มกำลัง ก็ยังไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนใดๆ

เย่หวูเฉินเข้าใจทันทีที่กระบี่สัมผัสโซ่ตรวนปีศาจ

มันถูกตัดได้เฉพาะเพียงกระบี่หนานฮวง เพราะว่ากระบี่หนานฮวงคือสิ่งเดียวที่สามารถยับยั้งพลังของโซ่ตรวนปีศาจได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแค่สัมผัสก็ถูกตัดออก แต่เหตุผลที่มันมีคุณสมบัติเช่นนี้มีเพียงจักรพรรดิใต้เท่านั้นที่รู้

สตรีเทพพิโรธร่วงลงสู่พื้นอย่างแน่นหนัก นอนอยู่บนพื้นอย่างสงบ นางถูกพันด้วยโซ่ตรวนปีศาจอย่างแน่นหนาจึงไม่สามารถขยับตัว เย่หวูเฉินจับกระบี่หนานฮวงผ่าโซ่ตรวนทันที เขารู้ว่าด้วยพลังกล้าแกร่งของสตรีเทพพิโรธ กระบี่หนานฮวงเพียงสามารถตัดโซ่ตรวนปีศาจ แต่ไม่อาจทำอันตรายใดๆต่อนางได้

คมกระบี่ตัดผ่านโซ่ตรวนราวกับมันละลายออกจากกัน สตรีเทพพิโรธขยับตัวได้ในที่สุด ดวงตาของนางฉายแววตื่นเต้นและอบอุ่น

ถูกพันธนาการแน่นหนาไว้ถึง 20 ปี ร่างกายของนางจึงแข็งตึง ห่วงโซ่เริ่มเคลื่อนออก เมื่อนางใช้พลังของตนย้ายเครื่องจองจำของจากร่างที่เกือบแข็งค้าง

เย่หวูเฉินเก็บกระบี่หนานฮวงกลับคืน ถอยออกมาสองสามก้าว มองเศษโซ่ตรวนที่ร่วงหล่นลง เขากล่าวเสียงต่ำ “ให้ข้าดูซิ ว่าสตรีเทพพิโรธมีหน้าตาเป็นเช่นใด”

[ยิ่งแปลยิ่งมึน เอาเป็นว่าพลังจิตใจ กับพลังวิญญาณ คืออันเดียวกันนะครับ]



<<<PREV    .    NEXT>>>