วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 113

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 113 ทงซิน

เขาเชื่อคำพูดของหนานเอ๋อร์ สตรีเทพพิโรธผู้นี้สมควรไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นผู้ที่มาจากทวีปเทวะ จากตำนานที่กล่าวไว้ นางปรากฎตัวออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทุกแห่งหนที่นางผ่านอาบชะโลมไปด้วยเลือด นางสังหารผู้คนโดยไร้ความเมตตา พลังน่าหวาดหวั่นของนางผสานระหว่างธาตุมรณะและธาตุทมิฬ นางมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่กินหรือดื่มตลอดเวลา 20 ปี และพลังของนางไม่ลดน้อยเสื่อมถอยลงเลย สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ว่านางไม่ใช่มนุษย์

จากที่หนานเอ๋อร์กล่าว หากสิ่งมีชีวิตจากทวีปเทวะมายังทวีปเทียนเฉิน พวกเขาจะต้องทุกข์ทรมานเพราะคำสาปที่โหดเหี้ยม หากนางคือเทพจริงๆ ความกระหายเลือดและความอำมหิตของนางคือคำสาปอย่างหนึ่งที่นางต้องเผชิญใช่หรือไม่?

เป็นไปได้อย่างยิ่ง!

แท้จริงแล้วเหล่าทวยเทพแห่งโลกใบนี้มีหน้าตาเป็นเช่นไร? พวกเขาจะมีลักษณะเช่นเดียวกับมนุษย์แห่งทวีปเทียนเฉินหรือไม่? หรือพวกเขาจะมีลักษณะแบบที่ฉู่จิงเทียนเคยบรรยาย “ดุร้ายปากกว้าง” แววตาของเย่หวูเฉินเต็มไปด้วยความคาดหวัง มีชาวทวีปเทียนเฉินจำนวนน้อยที่ไม่เคยได้ยินตำนานสตรีเทพพิโรธ นอกจากเทพทั้งสี่ที่เป็นผู้ผนึกนาง ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางมีลักษณะอย่างไร ทุกคนที่เคยเห็นนางต่างก็สิ้นชีวิตไปจนหมด ถูกนางสังหารด้วยดวงตา “สตรีเทพพิโรธ” เป็นนามที่เทพทั้งสี่ตั้งให้ เนื่องจากอาวุธที่นางใช้มีชื่อว่า “เทพพิโรธ” เทพทั้งสี่ต่างตกลงเห็นพ้องกัน และพวกเขาไม่เปิดเผยว่าสตรีเทพพิโรธนั้นมีลักษณะอย่างไร

เฟี้ยว!

เศษโซ่ตรวนปีศาจปลิวกระจายลอยหวือในคราเดียว เงาร่างสีดำปราณีตค่อยๆลอยขึ้นไปกลางอากาศ

สายตาของเย่หวูเฉินตามติดการเคลื่อนไหว มองขึ้นไปข้างบน สิ่งที่เห็นทำให้เขาต้องสั่นสะท้านรุนแรงอย่างแทบไม่เชื่อสายตา

สตรีเทพพิโรธแท้จริงแล้วกลับเป็น....

สาวน้อยที่งดงามอย่างสุดขีด อายุไม่เกิน 12-13 ปี!

นางงดงามอย่างยิ่ง , ทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง , กระชากวิญญาณอย่างยิ่ง จนคนไม่กล้ามองนางโดยตรง เพียงเมื่อพบนางจึงเชื่อปักใจว่าสาวน้อยผู้นี้สามารถปลดปล่อยเสน่ห์กระชากวิญญาณได้อย่างคาดไม่ถึง

ผมยาวดำขลับของนางราวกับม่านรัตติกาล พริ้วไหวไร้สายลมยามที่นางลอยอยู่กลางอากาศ เส้นผมสัมผัสไล้ใบหน้าหยกขาวที่งามเหนือล้ำ ทุกอย่างผสานกันจนทำให้ความงามยิ่งเหนือจินตนาการ กระทั่งเย่หวูเฉินยัง 
ตะลึงกับความงามพรากวิญญาณ ดวงตาของนางดำขลับผิดธรรมดา ทอประกายแสงดำบางเบา ดวงตาที่จับจ้องมายังเขา เป็นแววตาที่มีความสุข , รักใคร่ และตื่นเต้น มุมปากของนางยกขึ้น เผยรอยยิ้มแสนเสน่ห์จริงใจ ราวกับสาวน้อยเจอสิ่งที่รอคอยมานาน ของเล่นที่ชื่นชอบมากที่สุด

ร่างของนางอยู่ในชุดสีดำขลับ พริ้วไหวไร้สายลมขณะที่นางค่อยๆลอยลงมา ชุดพริ้วเผยให้เห็นขาขาวหิมะบอบบาง ไร้ตำหนิมลทิน เท้าคู่นั้นราวกับบัวน้ำแข็งชี้ลงพื้น แต่ละนิ้วเป็นประกายวาววับราวกับหยกสลัก

โหดเหี้ยม , ไร้หัวใจ และกระหายเลือด สตรีเทพพิโรธที่สร้างพิรุณฝนเลือดบนทวีปเทียนเฉิน? เย่หวูเฉินทบทวนถ้อยคำเหล่านี้ซ้ำๆอยู่ข้างใน แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงไหน เขาก็ไม่สามารถข้ามผ่านความรู้สึกขัดแย้งในจิตใจ

ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าเหตุใดยอดฝีมือขอบเขตเทวะสี่คนนั้นถึงต้องปกปิดลักษณะหน้าตาของสตรีเทพพิโรธ... ใครเล่าจะเชื่อว่าสาวน้อยที่งามล้ำเลิศขนาดนี้จะเป็นปีศาจ

ไม่สิ... นางถูกผนึกอยู่ในที่แห่งนี้มานานกว่า 20 ปี แม้ว่านางจะดูคล้ายอายุราว 12-13ปี แต่อายุที่แท้จริงย่อมไม่ใช่เพียงเท่านี้

นี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่านางไม่ใช่มนุษย์!

เท้าบัวน้ำแข็งในที่สุดก็สัมผัสพื้น จากนั้นนางเดินเคลื่อนร่างตรงมาหาเย่หวูเฉิน ดูคล้ายกับนางอายุมากกว่าหนิงเสวี่ยเพียงไม่กี่ปี ร่างกายนางคล้ายกับหนิงเสวี่ยอย่างมาก บอบบางปราณีต นางสูงกว่าเล็กน้อย ถูกผนึกไว้นานกว่า 20 ปี แต่ร่างกายนางไร้ซึ่งเศษฝุ่นละออง ทั้งยังสะอาดหมดจด

นางเดินมาอยู่เบื้องหน้าของเย่หวูเฉิน จากนั้นพิงชิดกับร่างของเขา ศีรษะของนางถูไถบนอกของเขา อ่อนโยนราวกับแมวขี้เซา นางดมกลิ่นฟุดฟิดบนอกของเย่หวูเฉิน จากนั้นใช้มือขาวค่อยๆเปิดชุดออก แล้วใช้ลิ้นเลียรอยเลือดตรงจุดที่เคยเป็นแผลจนสะอาดเอี่ยม

ความรู้สึกวาบหวามผ่านบนอก สติของเย่หวูเฉินกระเจิดกระเจิง เขายังคงไม่อาจยอมรับได้ว่านางคือสตรีเทพพิโรธผู้น่าหวาดหวั่นในตำนาน

“เจ้าชื่ออะไร?” เย่หวูเฉินโน้มลงและเชยใบหน้านางให้มองขึ้นมา ขนตาไหวสั่นเล็กน้อย ดวงตาแก้วหมอกฉายแววเสน่หา

“เจ้าชื่ออะไร?” เย่หวูเฉินถามอีกครั้ง

สาวน้อยกระพริบตาปริบ หลังจากสับสนชั่วครู่นางจึงเข้าใจว่าเขาถามอะไร

นางยกมือขวาขึ้นช้าๆ ในมือนั้นถือกริชเล่มสั้น ความยาวของกริชน้อยกว่า 10 เซนฯ แต่ก็ยาวพอให้นางจับในมือ ครึ่งหนึ่งของกริชเป็นสีแดงราวกับเลือด เย่หวูเฉินสามารถได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรงจากพื้นผิวของมัน

บนกริชเล่มนั้นสลักอักษรขนาดเล็กแต่สะดุดตาไว้ว่า ‘เทพพิโรธ’

“เทพพิโรธ... เป็นชื่อของเจ้าหรือ?” เย่หวูเฉินถาม

สาวน้อยพยักหน้า สายตายังคงมองเขาราวกำลังเมามาย จนถึงตอนนี้นางยังไม่เอ่ยสักคำ กระทั่งยังไม่ส่งสุ้มเสียงใดๆ

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ ขณะที่ลูบนิ้วมือบนใบหน้าไร้ตำหนิของนางอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ชอบชื่อนี้ มันไม่เหมาะกับเจ้า...”

มองดวงตาที่เปล่งประกาย , ดำขลับ , บริสุทธิ์ และกระจ่างชัด เย่หวูเฉินค่อยๆกล่าว “ต่อไปนี้ชื่อของเจ้าคือ....”

“ทงซิน”

สาวน้อยนางนี้สูญเสียความเป็นตัวตนเพราะคำสาป เทพธิดาผู้ไม่อาจกล่าววาจา ตอนนี้นางมีชื่อใหม่ เส้นทางชีวิตใหม่ ทุกๆอย่างจะเปลี่ยนไปนับจากเวลานี้

ด้านนอกหอคอยปีศาจ

เถาไปไปกำลังต่อสู้ดุเดือดกับสตรีทั้งสี่ ฟงและเยว่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แต่พวกนางเมินเฉยต่อเลือดที่พรั่งพรูออกจากบาดแผล และต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต ขอบเขตวิญญาณของพวกนางต่างกันเพียงหนึ่งช่วงชั้นกับเถาไปไป แต่หนึ่งระดับนั้นนับว่าต่างกันอย่างสุดกู่ รับมือกับผู้มีพลังขอบเขตสวรรค์ชั้นกลาง ผู้ที่ผ่านเส้นความเป็นตายมานับครั้งไม่ถ้วน จู่โจมเป็นขบวนใส่มือสังหารอันดับหนึ่งผู้มีประสบการณ์โชกโชน หากพวกนางไม่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่หลายปีจนเข้าใจกัน พวกนางคงพ่ายแพ้ลงไปนานแล้ว และหากหนึ่งในพวกนางพ่ายลง คนที่เหลือย่อมไม่อาจรักษารูปขบวน

ในหมู่คนทั้งห้า ไม่มีผู้ใดคิดหลบหนี เถาไปไปจำต้องสังหารพวกนาง ในขณะที่สี่สตรีต้องการฟาดฟันจนกว่าเขาจะตกตาย

ในเวลานี้เอง พวกเขาได้ยินเสียงประตูศิลาถูกพลักออก เสียงไม่ได้ดังมากแต่สำหรับพวกเขาทั้งห้าคน มันราวกับเสียงสายฟ้าฟาด พวกเขาต่างหยุดมือราวกับนัดกันมา สายตาตกตะลึงจ้องมองที่ประตูหอคอยปีศาจ

เมื่อเย่หวูเฉินพาทงซินออกจากหอคอยปีศาจ เขารู้สึกว่าท้องฟ้ามืดครึ้มลง มองขึ้นไปจึงพบว่าเวลานี้มีกลุ่มเมฆบดบังดวงตะวัน

ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเงามืด

เถาไปไปและสตรีทั้งสี่เห็นเย่หวูเฉินปลอดภัยไร้กังวล ทั้งยังเห็นทงซินที่อยู่ข้างๆ ต่างจากเย่หวูเฉินที่เห็นเฉพาะเพียงความงามของนาง พวกเขาสัมผัสถึงอันตรายพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจ... ความรู้สึกถึงวิกฤตการร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา

พวกเขาเห็นดรุณีน้อยในชุดสีดำกำลังแย้มยิ้ม นางเผยฟันขาวไร้ตำหนิแต่ขณะเดียวกัน บรรยากาศกดดันจนพวกเขายากจะหายใจ พวกเขากระทั่งสามารถได้กลิ่นคาวเลือด

นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ เถาไปไปตกตะลึงอย่างสุดขีด นี่เป็นจิตสังหารกระหายเลือดที่รุนแรงกว่าเขานับร้อยนับพันเท่า เขาเชื่อหมดใจว่าผู้ที่ปลดปล่อยจิตสังหารขนาดนี้ได้ ย่อมสามารถสังหารผู้คนได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม

ดวงตาของทงซินฉายแววตื่นเต้นแปลกประหลาด มุมปากของนางยกขึ้นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอำมหิต

นางปีศาจต้องอดทนต่อความอยากกระหายเลือดมาจนถึงวันนี้ วันที่นางเป็นอิสระจากพันธนาการ

นางเคลื่อนตัวด้วยความเร็วที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจ เย่หวูเฉินเห็นเพียงประกายดำไหววับที่ยากจะเห็นด้วยสายตา

กลิ่นคาวเลือดและเงามรณะเข้ามาใกล้ เถาไปไปใช้ความเร็วสูงสุดล่าถอย ขณะเดียวกันเขาเกร็งกำลังเผชิญหน้ากับเงาทมิฬแล้วฟาดฟันด้วยกระบี่อย่างรุนแรง

ฉับ!

เงาดำพุ่งผ่านไป และลำคอของเถาไปไปมีเลือดพุ่งกระจาย ศีรษะของเขาขาดออกจากลำตัวและปลิวขึ้นท้องฟ้า สิ่งสุดท้ายที่เถาไปไปเห็นในชีวิต คือร่างไร้ศีรษะของตนที่ล้มลงพื้น

จุดจบของมือสังหารอันดับหนึ่งเถาไปไป เขายังไม่ทันได้เผชิญหน้า ‘ตาต่อตา’ กับสตรีเทพพิโรธ แววตาของเขาเต็มด้วยความหวาดกลัว นาทีสุดท้ายของชีวิตคือชั่วขณะที่หวาดกลัวที่สุดตั้งแต่เขาเกิดมา

ศีรษะของเถาไปไปร่วงลงแทบเท้าของทงซิน โลหิตทำให้ดวงตานางทอประกายสีเลือด นางเหยียบลงบนศีรษะ แล้วย่ำลงด้วยเท้าเปล่า

ศีรษะแตกกระจายขณะที่นางแย้มยิ้ม เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์อันไร้ที่เปรียบ แต่ในสายตาของสี่สตรี ฟง , ฮั่ว , เสวี่ย และเยว่ นั่นคือรอยยิ้มปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย

เย่หวูเฉินเบือนศีรษะหนี ใบหน้าซีดขาว ท้องไส้ปั่นป่วน เกิดความรู้สึกคลื่นไส้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่เคยสังหารผู้คน ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งการฆ่าฟัน เขาจะรับมือกับฉากเลือดสาดแบบนี้ได้อย่างไร?

“สตรี....สตรีเทพพิโรธ......” ฟงก้าวถอยหลัง ตัวสั่นด้วยความกลัว เสียงของนางสั่นพร่าและยากที่จะได้ยิน

เมื่อสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ในหอคอยปีศาจก้าวออกมา ความเหี้ยมโหดกระหายเลือดและความแข็งแกร่งนั้น ทำให้เถาไปไปไร้พลังต้านทาน... แม้นางอยากจะปฏิเสธแต่ในใจยืนยันแล้วว่า นั่นคือตำนาน สตรีเทพพิโรธผู้น่ากลัวยิ่งกว่าเทพมาร

ตอบสนองต่อคำพูดของนาง เงาทมิฬวาบผ่านเกิดเส้นแสงสีแดง

ในชั่วพริบตา เสียงของฟงขาดหาย ร่างของนางปรากฎรอยเส้นแดง เริ่มจากศีรษะเบื้องบน เส้นสีแดงแยกร่างของนางออกเป็นสองซีก



<<<PREV    .    NEXT>>>