วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 89

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 89 ตระกูลฮั่วแห่งเทียนหลง

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เขาครุ่นคิดอย่างหนักระหว่างทางที่กลับมา กระทั่งเดินชนผู้คนโดยไม่ได้ตั้งใจไปหลายคน เขาเข้าไปยังห้องหนังสือของเย่ฉุ่ยเหยา และพบร่างสตรีกำลังจดจ่ออยู่กับการวาดรูปใบบัวสีเขียวสด นางไม่ได้สังเกตถึงการมาของเขา หนิงเสวี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มอย่างเงียบงัน ห้อยขาแกว่งไปมาด้วยความเบื่อ เมื่อเห็นเขากลับมา นางถลาหาเขาด้วยความตื่นเต้น เกาะตัวเย่หวูเฉินไว้ไม่ยอมปล่อยไป

เย่หวูเฉินตบบั้นท้ายนางสองสามทีก่อนจะอุ้มนางขึ้น จากนั้นหันไปทางเย่ฉุ่ยเหยา กล่าวด้วยน้ำเสียงดังเล็กน้อย “พี่หญิง ท่านหิวหรือยัง?”

“ยังไม่หิว”

“...ท่านอยากทานอะไร พี่หญิง?”

“อะไรก็ได้”

ขณะที่กล่าวคำ เย่หวูเฉินสายตาจับจ้องที่การเคลื่อนไหวของมือเย่ฉุ่ยเหยา เขาวางหนิงเสวี่ยลงแล้วเดินไปยืนอยู่ข้างๆนาง ยื่นแขนออกกุมมือนางข้างที่กำลังถือพู่กัน

เย่ฉุ่ยเหยาสะดุ้งเยือกไปทั่วร่าง ชั่วขณะถึงกับลืมดุด่าหรือขัดขืน

“พี่หญิง วิธีวาดของท่านค่อนข้างพิถีพิถันเกินไป การจริงจังกับมันมากไปจะทำให้ภาพวาดแข็งกระด้าง หากท่านต้องการวาดภาพดอกบัวให้ออกมาดีที่สุด ให้เหมือนราวกับภาพที่อยู่ในใจ ท่านจะต้องขยับอย่างเป็นธรรมชาติในคราเดียวซึ่งจะช่วนให้ง่ายขึ้น ไม่เช่นนั้น มันจะไม่ใช่ดอกไม้แต่จะเป็นเพียงภาพธรรมดา...”

เย่หวูเฉินกุมมือเย่ฉุ่ยเหยาเบาๆ จับมือนางลากเส้นวาดอย่างนุ่มนวล

ด้วยลมหายใจที่ใกล้ชิดและความอบอุ่นจากฝ่ามือ หัวใจของนางจึงสับสนปั่นป่วนจนกระทั่งกลายเป็นว่างเปล่า นางกลับกลายเป็นไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูดหรือดูสิ่งที่เขาทำ ในที่สุด เมื่อเขาออกไปพร้อมกับหนิงเสวี่ย นางจึงเริ่มได้สติกลับคืนมา และพบว่า ณ เบื้องหน้าปรากฎภาพดอกบัววาววับงดงาม

นางนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ ไม่อาจทำใจให้สงบได้อยู่เป็นเวลานาน

“เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน?” นางถามตัวเองเบาๆ พยายามปลอบประโลมจิตใจตน

ในเวลานี้เอง งานแต่งงานระหว่างหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลินและฮั่วฉุ่ยโหรวแห่งตระกูลฮั่วได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาไปทั่วทั้งเมือง เอิกเกริกราวกับว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองของทั่วอาณาจักร เย่หวูเฉินพาเล่งหยาติดตามมาด้วย ขณะเดินผ่านฝูงชนพวกเขาได้ยินผู้คนคุยเรื่องนี้กันมากมาย อย่างไรก็ตาม ยิ่งตระกูลหลินพยายามประโคมข่าวเรื่องแต่งงานมากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงว่าพวกเขาเป็นกังวลจากในสายตาของเย่หวูเฉิน เขาลอบหัวเราะและคิดว่าเขาคงประเมินหลินเสี่ยวต่ำเกินไป

สีหน้าของเล่งหยายังคงเย็นชา ราวกับว่าเขากำลังใส่หน้ากากหนังสดของคนตาย พวกเขายังคงมุ่งหน้าไปทางป่าดำ และในครั้งนี้ สิ่งเดียวที่เขาสั่งให้เล่งหยาทำคือ “ขุดหลุม แล้วใส่ใบมีดลงไป”

เมื่อพวกเขากลับมา ก็เกือบเป็นเวลามืดค่ำ ครั้งนี้เขามองเย่หวูเฉินด้วยสายตางุนงงอย่างที่สุด นึกไม่ออกเลยว่านายน้อยตระกูลเย่กำลังทำสิ่งใด กลางวันไม่ทำอะไรนอกจากเข้าป่าดำไปขุดหลุม เขาอ้างว่าจำเป็นต้องออกกำลังเพื่อกระชับร่างกายและฝึกฝนจิตใจ

ในวันถัดมา เล่งหยาแทบกระอักเลือด

“ไป, เอาถังตักอุจจาระมาสองถัง ใส่มายิ่งเยอะยิ่งดี”

หากคนผู้นี้ไม่ได้ช่วยเขาและมารดาเอาไว้ รวมทั้งรักษาดวงตาให้นาง เล่งหยาคงรู้สึกอยากเอากระบี่เสียบเขาอย่างรุนแรง แต่เขาทำได้เพียงกัดฟันแบกถังอุจจาระทั้งสองถัง เดินตามหลังเย่หวูเฉินไปด้วยสีหน้าคล้ำทะมึน ผู้คนที่เดินผ่านพวกเขาต่างหลบเลี่ยงหลีกทางเมื่อถูกกลิ่นอันเกรี้ยวกราดรุนแรงจู่โจมใส่จมูก เขาปรารถนาอยากแทรกตัวมุดลงพื้นดินไป อย่างน้อยก็รักษาหน้าตัวเองระหว่างอยู่บนท้องถนน

พอถึงยามเที่ยง ในที่สุดเย่หวูเฉินก็ไม่ตอแยกับเล่งหยาอีก เขาแต่งชุดเรียบๆแล้วมุ่งหน้าอย่างสุขุมไปที่ตระกูลฮั่วแห่งเทียนหลง

บ้านตระกูลฮั่วมีขนาดเล็กกว่าตระกูลเย่อย่างมาก ผู้คนที่พำนักอยู่ก็นับได้ว่าน้อยกว่า ผู้นำคนปัจจุบันมีเพียงหนึ่งเดียวคือฮั่วเจิ้นเทียน เมื่อเทียบกับตระกูลเย่แล้ว ตระกูลฮั่วเพียงนิยามได้ว่าน่าอนาถใจ ฮั่วเจิ้นเทียนเป็นบุตรชายคนเดียวในรุ่นของเขา และในวัยสามสิบปีเขาก็ให้กำเนิดบุตรสาว เหตุผลหลักที่ทำให้ตระกูลฮั่วทรุดโทรมลง เพราะบิดามารดาของเขาจากไปก่อนวัยอันควร รวมไปถึงภรรยาของเขาที่ตกตายไปด้วยเหตุไม่คาดฝัน

ฮั่วฉุ่ยโหรวเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮั่วเจิ้นเทียน เป็นหนึ่งเดียวในครอบครัว เพียงคนเดียวที่เขาไว้ใจ เขารักนางมากและเอาอกเอาใจนางทุกอย่าง

“ข้าจะเข้าไปตรงไหนดี?” เย่หวูเฉินจับคางตัวเอง ครุ่นคิดขณะเดินวนรอบบ้านตระกูลฮั่ว

สำหรับพวกมีสกุลรุนชาติและมีอำนาจอย่างตระกูลเย่และตระกูลฮั่ว ผู้มีกองทหารเกรียงไกรพิชิตนับพันลี้ หากแต่พวกเขากลับมีจุดอ่อนอย่างชัดเจน นั่นคือตระกูลชั้นสูงเหล่านี้มียอดฝีมืออยู่มากมาย แต่กลับมียอดฝีมือระดับสูงสุดอยู่เพียงน้อยนิด กระทั่งตระกูลยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างตระกูลเย่และตระกูลฮั่วยังมีผู้คุ้มกันลับระดับขอบเขตสวรรค์อยู่เพียงตระกูลละหนึ่งคน เนื่องจากยอดฝีมือที่แท้จริงจะสนใจเฉพาะการฝึกฝีมือ พวกเขาจึงปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวการเมือง

ในทางกลับกัน เป็นที่เลื่องลือเกี่ยวกับกองกำลังปีศาจของตระกูลทรงอิทธิพลที่โด่งดังไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลง แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ฝึกฝนยุทธวิธีการทหาร และทำเพียงใฝ่หารูปแบบพลังเฉพาะตน แต่พวกเขาเพียงหนึ่งคนสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้นับร้อยได้อย่างง่ายดาย ตัวตนของพวกเขาสร้างความหวาดหวั่นให้กับบุคคลธรรมดา แม้กองกำลังปีศาจจะมีสมาชิกอยู่เพียงน้อยนิด แต่กระทั่งราชตระกูลยังไม่คิดกระตุ้นโทสะพวกเขา และพวกเขาก็ไม่คิดกระตุ้นโทสะของราชตระกูลเช่นกัน ตระกูลเย่สามารถใช้กองกำลังเข้าทำลายกองกำลังปีศาจได้โดยง่าย แต่พวกเขาย่อมต้องพบความเสียหายหนักอย่างแน่นอน กองกำลังทหารของตระกูลฮั่วมีน้อยกว่าตระกูลเย่อย่างสุดแสน แต่กล่าวกันว่าตระกูลฮั่วมีกองกำลังพิเศษที่เรียกว่าหน่วย “เพลิงอัสนีฟ้า” ถึงแม้ว่าจะมีสมาชิกอยู่น้อยกว่าพันคน แต่พวกเขาทุกคนสามารถใช้ ‘อัสนีลั่น’ กับ ‘เพลิงพิษ’ และพลังทำลายของมันล้วนเหนือล้ำเกินจินตนาการ

เย่หวูเฉินสามารถปีนขึ้นหลังคาและไต่ไปตามกำแพงในคฤหาสน์ตระกูลเย่ได้โดยไม่ถูกพบตัว การแอบเข้าไปในตระกูลฮั่วย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากนัก ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่ในวันนี้

“...คุณหนูสองของข้าชอบภาพวาดนั้นมากจริงๆ ท่านโปรดให้ข้าเข้าพบผู้นำฮั่วเถอะ”

เบื้องหน้าประตูทางเข้าตระกูลฮั่ว มีคนแต่งกายด้วยชุดคนใช้ยืนอยู่ เขาเสี่ยงชีวิตตนขอร้องยามเฝ้าประตู ราวกับว่าเขาต้องถูกลงโทษหากไม่อาจบรรลุเสร็จงาน

“นายท่านไม่อยู่ที่นี่! เขาเคยสั่งไว้ก่อนที่จะมีคนมาขอซื้อแล้ว ภาพนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อขาย โปรดไปเถอะ” ยามเฝ้าประตูกล่าวพลางโบกมือ

“พี่ชาย ได้โปรดขอแค่ข้าได้พบกับท่านผู้นำฮั่ว” น้ำเสียงเขากล่าวอ้อนวอน ขณะที่ลอบสอดตำลึงเงินใส่มือยามเฝ้าประตู

ยามรับเงินไปเงียบๆทำให้คนใช้ผู้นั้นมีสีหน้าดีใจ แต่เขากลับได้ยินน้ำเสียงเขร่งขรึมจริงจัง “นายท่านไม่อยู่จริงๆ และถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่ยอมพบใครที่ต้องการมาซื้อภาพวาดนั้น”

คนรับใช้อ้าปากค้าง หน้ามุ่ยอย่างเจ็บปวด “พี่ชาย ได้โปรดบอกผู้นำฮั่วว่าคุณหนูของข้าต้องการซื้อภาพวาดนั้นด้วยราคาหนึ่งแสนตำลึงเงิน”

หนึ่งแสนตำลึงเงิน!? จำนวนขนาดนั้นถึงกับทำให้เย่หวูเฉินผงะ คุณหนูน้อยผู้นี้ช่างไม่รู้คุณค่าของเงิน กระทั่งยอมจ่ายหนึ่งแสนตำลึงเงินเพียงเพื่อภาพวาดชิ้นเดียว...เงินขนาดนี้กำไรเห็นๆ

[ปล.เปลี่ยนจาก อัสนีบาต เป็น อัสนีลั่น เพราะมันคือระเบิด]



<<<PREV    .    NEXT>>>