“แต่ว่า...”
เย่หวูหยุนตื่นตระหนกและกำลังจะกล่าวบางสิ่ง
แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเย็นชาของเย่หวูเฉิน “เย่หวูหยุน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจที่ข้ากลับมาตระกูลเย่
หากข้าตายไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น เจ้าอาจจะได้กลายเป็นผู้นำของตระกูลเย่
แต่เมื่อข้ายังอยู่ ความฝันสวยงามของเจ้าก็พลันพังทลายเป็นชิ้นๆ ครั้งหน้าถ้าเจ้าคิดจะเล่นละครพรรค์นี้อีก
โปรดพยายามให้มากกว่านี้และโปรดใส่สมองลงไปด้วย
วิธีที่เจ้าใช้ในครั้งนี้มันช่าง....!”
เย่หวูเฉินไม่กล่าวคำใดต่อ ฉับพลันเขายื่นมือขวาออกคว้ากลางอากาศว่างเปล่า เทียบเชิญในมือของเย่หนู่ราวกับมีปีก มันบินพุ่งเข้าหามือของเย่หวูเฉิน จากนั้นเขาตวัดมือเทียบเชิญก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาโบกมืออีกครั้ง เศษกระดาษทั้งหมดก็ถูกรวบรวมอยู่ในมือ เขาไม่หยุดอยู่ต่อและก้าวจากไปทันที ขณะที่กำลังออกไป มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย... ‘เย่หวูหยุน เจ้ามันก็เป็นเพียงแค่ตัวตลก เป็นได้แค่ของเล่น เจ้าไม่ใช่แม้กระทั่งคู่มือของข้า แต่ยังริกล้าบังอาจมาสู้กับข้าอีก!?’
เย่หวูเฉินไม่กล่าวคำใดต่อ ฉับพลันเขายื่นมือขวาออกคว้ากลางอากาศว่างเปล่า เทียบเชิญในมือของเย่หนู่ราวกับมีปีก มันบินพุ่งเข้าหามือของเย่หวูเฉิน จากนั้นเขาตวัดมือเทียบเชิญก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาโบกมืออีกครั้ง เศษกระดาษทั้งหมดก็ถูกรวบรวมอยู่ในมือ เขาไม่หยุดอยู่ต่อและก้าวจากไปทันที ขณะที่กำลังออกไป มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย... ‘เย่หวูหยุน เจ้ามันก็เป็นเพียงแค่ตัวตลก เป็นได้แค่ของเล่น เจ้าไม่ใช่แม้กระทั่งคู่มือของข้า แต่ยังริกล้าบังอาจมาสู้กับข้าอีก!?’
เย่หวูเฉินเชื่อว่าเย่หนู่จะไม่ไปสอบถามหลงเจิ้งหยางเกี่ยวกับเรื่องเทียบเชิญที่เขาได้รับมา
ไม่เช่นนั้น เขาก็คงไม่ใช่เย่หนู่
“เฉินเอ๋อร์!”
เป็นครั้งแรกที่เห็นเย่หวูเฉินโกรธ หัวใจของหวังเวิ่นชูบีบคั้น
นางรีบตามหลังเขาไปโดยไม่เหลือบมองเย่หวูหยุนเลยแม้แต่น้อย
เหลือเพียงเย่หนู่ เย่เว่ย
และเย่หวูหยุนอยู่ในห้องโถง บรรยากาศเงียบอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
เย่หวูหยุนที่ตื่นตระหนกรีบกล่าวออกไป “พ่อบุญธรรม ท่านปู่
เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่น้องหวูเฉินพูด...”
“หยุนเอ๋อร์ เจ้าลองไปดูก่อน
บางทีเทียบเชิญของเจ้าอาจหล่นหายอยู่ที่ไหนสักแห่ง” เย่หนู่กล่าวพร้อมกับโบกมือ
“ขอรับ” เย่หวูหยุนตอบกลับอย่างสลด
จากนั้นหันกายจากไป
หลังจากที่เย่หวูหยุนออกไป
เย่หนู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าเรื่องจะเป็นอย่างที่เฉินเอ๋อร์พูดหรือไม่?”
“ไม่น่าเป็นแบบนั้น”
เย่เว่ยส่ายศีรษะ ขมวดคิ้วและกล่าว “ถ้าหากหยุนเอ๋อร์มีความคิดเช่นนั้นจริง
เขาคงไม่ใช้วิธีการง่ายๆแบบนี้
ที่ข้ารู้สึกคือคำพูดของเฉินเอ๋อร์พุ่งเป้าไปที่หยุนเอ๋อร์ เหมือนเขากำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเรา?”
“โอ้?” เย่หนู่มีสีหน้าสับสน
เย่เว่ยเงียบไปไม่ตอบคำ
เขากำลังพยายามเค้นหาคำตอบจากบทสนทนาเมื่อครู่นี้
“เฉินเอ๋อร์... เฉินเอ๋อร์
แม่ไม่สงสัยเจ้า ข้าเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง...”
หวังเวิ่นชูตามเย่หวูเฉินไปอย่างกระสับกระส่าย
นางเร่งฝีเท้าไวขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเย่หวูเฉินก็หยุดเท้าแล้วหันมายิ้ม
“ข้ารู้...ที่จริงแล้วไม่มีอะไร
แค่วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยและอยากกลับไปพักผ่อนก่อนเท่านั้น”
ความกังวลในใจของหวังเวิ่นชูเริ่มผ่อนคลายลง
แต่น้ำเสียงยังคงแฝงความรู้สึกเสียใจ “เจ้าพูดถูก เจ้าตรากตรำมาตลอดทั้งเช้าและคงจะเหนื่อยมาก
เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะให้เสี่ยวลู่เอาอาหารไปส่งให้เจ้าในตอนเที่ยง”
“ตกลง!” เย่หวูเฉินยิ้มตอบ
เมื่อกลับมาถึงสวนน้อยของตนเอง
เย่ซีและเย่บากล่าวต้อนรับเขามาแต่ไกล
คำพูดประจบพรั่งพรูออกมาราวกับแม่น้ำเหลืองเอ่อล้นท่วมทั่วบริเวณ...
“นายน้อย!
พวกเราได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว...
พวกเราได้รู้ว่านายน้อยแท้จริงคือมังกรหลับที่อยู่เหนือผู้คนนับพันลี้ ท่านทำให้โลกทั้งใบตกตะลึงในคราเดียว
กระทั่งสิ่งมีชีวิตเหนือโลกยังต้องเกรงกลัวท่าน และทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลงต่างสั่นกลัวเมื่อได้ยินชื่อของท่าน!
แม้ว่านายน้อยตระกูลหลินจะพอใช้ได้อยู่บ้าง แต่เขาจะนับเป็นอันใดเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน
หากนายน้อยเย่คือดวงตะวันเขาก็เป็นแค่ดาวดวงเล็กๆที่แสงริบหรี่
หากนายน้อยเป็นเป็นบุปผาเบ่งบาน เขาก็เป็นเส้นหญ้าใบเดียว... อ้า ไม่สิ! ไม่ใช่กระทั่งหญ้า เขาเป็นได้แค่มูลวัว...”
ตลอดทางจากประตูทางเข้าสวน
จนเขาเข้ามาถึงที่โต๊ะแล้วนั่งลง สองคนนั้นก็ยังคงกล่าวคำเยินยอไม่หยุดปาก
ทำให้เย่หวูเฉินได้แต่ถอนหายใจ ถ้าหากพวกเขาใช้ฝีปากประจบประแจงในที่อื่น
บางทีพวกเขาอาจจะได้ตำแหน่งใหญ่โตทางราชการ เย่หวูเฉินโบกมือ “พอได้แล้ว ไปเอาน้ำชามาให้ข้า”
พูดยังไม่ทันขาดคำ กระทั่งเย่ซีและเย่บายังไม่ทันได้ขยับ
เสี่ยวลู่ก็เข้ามาพร้อมกับถ้วยน้ำชาสองใบ นางค่อยๆเดินเข้ามาหาพวกเขา
“นายน้อย คุณหนูหนิงเสวี่ย
โปรดรับน้ำชา”
พอวางถ้วยชาลง นางก็ถอยออกไปช้าๆ
สายตาของนางมองสังเกตเย่หวูเฉิน ดวงตาของนางงดงาม กระทั่งเย่หวูเฉินยังรู้สึกว่าดวงตาของนางสดใสเหมือนอัญมณี
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเริ่มทนอยู่ไม่ได้ เขาแสร้งกระแอมไอแล้วกล่าว
“เสี่ยวลู่
ไปซักผ้าที่ข้าใส่เมื่อวาน”
“นายน้อย ข้าซักพวกมันไว้แล้ว”
เสี่ยวลู่โค้งลำตัวเล็กน้อยขณะตอบ
“...ถ้าอย่างนั้นไปหานายหญิงแล้วนำอาหารมา
บอกนางว่าข้าหิวแล้ว” เย่หวูเฉินกล่าวเฉไฉไปเรื่องอื่นต่อทันที
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวลู่หันกายออกไป
ด้วยฝีเท้าเล็กๆที่ว่องไว
ในที่สุดเย่หวูเฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นแตะดูอุณหภูมิ
จากนั้นค่อยๆแตะริมฝีปากของหนิงเสวี่ยป้อนน้ำชาให้นางทีละน้อยๆ
“เย่ซี
ป่าดำอยู่ห่างจากประตูเมืองด้านตะวันออกเท่าไหร่?” เย่หวูเฉินถามขณะโน้มศีรษะลง
“เพียง 20 ลี้เท่านั้น”
เย่ซีตอบ
“แล้วหอคอยปีศาจอยู่ห่างจากชายป่าดำเท่าไหร่?” เย่หวูเฉินถาม
“ราวๆ...ประมาณสิบลี้ นายน้อย
หรือว่าท่านคิดที่จะ.....” เย่ซีถามอย่างระมัดระวังและมีน้ำเสียงกังวล
“ข้าแค่ถามไปอย่างนั้น”
หลังจากป้อนน้ำชาให้หนิงเสวี่ย
เย่หวูเฉินก็ยกชาอีกถ้วยขึ้นมาจิบ เขาถอนหายใจแล้วยกศีรษะขึ้น
สมองของเขาแล่นคิดถึงความเป็นไปได้มากมายว่องไวราวสายฟ้า
“เย่บา เจ้าไปเตรียม กำมะถัน , ถ่าน
และดินประสิวให้ข้า จะดีมากถ้าเจ้าหาน้ำมันมาด้วย เจ้าสามารถหาของพวกนี้ได้หรือไม่?” จู่ๆเย่หวูเฉินถาม
เย่บาชะงักเล็กน้อย จากนั้นรีบตอบ
“ขอรับ ขอรับ แม้จะยากอยู่บ้างแต่ก็สามารถหาได้ในเมืองเทียนหลง”
“งั้นก็ไปหาตอนนี้เลย หากเจ้าจำเป็นต้องใช้ตำลึงเงินก็ให้ไปที่ฝ่ายบัญชี
บอกพวกเขาว่าข้าสั่งเจ้ามา”
เย่บาออกไปพร้อมพึมพำกับตัวเอง
นายน้อยต้องการเอาของประหลาดๆพวกนี้ไปทำอะไร นอกจากดินประสิวแล้ว
ของพวกนี้ก็เอาไว้ใช้สำหรับจุดตะเกียงไฟ? เขาจะใช้ของพวกนี้ไปทำไมในเมื่อเขาใช้ตะเกียงเวทย์อยู่แล้ว?
ขณะที่อุ้มหนิงเสวี่ย
เย่หวูเฉินยกน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ สายตาหรี่ลงโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากกำลังใช้ความคิด
เย่ซีรู้ว่าเขากำลังคิดบางอย่างอยู่และไม่กล้าขัดจังหวะ
ดังนั้นเขาจึงยืนรอเงียบๆอยู่ตรงมุม
“เย่ซี
ใครคือมือสังหารอันดับหนึ่งในอาณาจักรเทียนหลง?” เย่หวูเฉินถาม
“มือสังหารอันดับหนึ่ง?”
เย่ซีเกาศีรษะคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาเขาเปล่งประกายขึ้น
“ข้าจำได้ว่าเสี่ยวซานและเสี่ยวซื่อเคยพูดถึงมือสังหารอันดับหนึ่งของเมืองเทียนหลง
ชื่อของเขาคือ เถาไปไป”
พรวด!.....
น้ำชาพุ่งออกจาปากเย่หวูเฉิน
เปียกเลอะเสื้อผ้าของหนิงเสวี่ย เขาวางถ้วยน้ำชาลงทันทีแล้วรีบเช็ดน้ำชาออก สาปส่งอยู่ในใจ...
นี่ครั้งที่สองแล้วนะ เห็นได้ชัดเลยว่าจะเป็นการดีกว่า หากข้าไม่ดื่มน้ำชาขณะคุยกับเจ้าเย่ซี
“นี่...นี่เป็นชื่อที่ประหลาดจริงๆ”
เย่ซีกล่าวอย่างอึดอัดใจ เขาแอบบ่นอยู่ข้างใน ถึงชื่อมันจะแปลก แต่เขาก็ไม่ควรอาการออกแบบนั้น
นี่มันเหมือนกับครั้งที่แล้ว อย่าบอกข้านะว่านายน้อยเย่อ่อนไหวกับเรื่องชื่อของผู้คน?
“อืม เป็นชื่อที่ค่อนข้างแปลก”
เย่หวูเฉินกล่าวอย่างสงบ
มือสังหารอันดับหนึ่ง เถาไปไป! ช่างเป็นชื่อที่พิลึกจริงๆ
ในหัวเซี่ยชื่อนี้ไม่อาจนิยามคำอื่นได้นอกจากคำว่า ‘พิลึก’
“เขามีทักษะพิเศษอย่างเช่นปล่อยพลัง
‘คลื่นทะลวง’ หรือไม่?” หลังจากถามออกไป
กระทั่งเย่หวูเฉินยังรู้สึกว่านี่เป็นคำถามที่โง่มาก
[ปล.จารย์แกน่าจะเล่นมุก เถาไปไป จากเรื่องดราก้อนบอล]