วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 96

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 96 กระตุกหัวใจ

“ข้าจะทำ!” หลินเสี่ยวเดินอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องมองด้านข้างเขา “เพราะในหัวใจข้า ฮั่วฉุ่ยโหรวคือสตรีที่สมบูรณ์แบบ และอีกอย่าง....ท่านแข็งแกร่งกว่าข้า ท่านกระทั่งทิ้งแผลเป็นไว้ให้ข้า! แม้ว่าการหมั้นระหว่างข้ากับฮั่วฉุ่ยโหรวเป็นองค์จักรพรรดิที่เอ่ยปากเป็นพยาน รวมถึงขุนพลฮั่วผู้ไม่เคยกลับคำ แต่ตัวตนของท่านก็ยังคงทำให้ข้าต้องสั่นกลัว แม้ข้าจะเสียหน้า ข้าก็รู้ว่าไม่ได้หวาดกลัวโดยไร้เหตุผล ท่านทำให้ข้าพ่ายแพ้ทุกการประลองในวันนั้น ทั้งที่ข้ามั่นใจเต็มร้อยในตัวเอง หลังจากวันนั้น ข้าจึงรู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน ข้าไม่สมควรมีความมั่นใจ”

เย่หวูเฉินไม่ตอบคำ แต่ฝีเท้าเขาช้าลงเล็กน้อย

“ข้าหลินเสี่ยวเป็นคนขี้ขลาด ตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้ากลัวถูกผู้คนรังแกและดูถูก และข้าไม่อยากเป็นลูกไล่ของใคร ดังนั้น ข้าจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อกลายเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ พอถึงจุดนี้ ความสำเร็จของข้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าโชคช่วยใดๆ เป็นข้าทุ่มเทใช้ชีวิตต่อสู้เพื่อพวกมัน ข้าพยายามอย่างหนักและภูมิใจในสิ่งที่ข้าเป็น ความสำเร็จทุกอย่างเป็นข้าบรรลุด้วยตนเอง ไม่เคยอาศัยพลังของตระกูล เป็นเวลานานนักที่ข้าคิดว่าตัวเองมีดีพอที่จะทอดตามองอาณาจักรเทียนหลง ไม่มีใครในรุ่นที่เหนือล้ำกว่าข้าเลยสักคน หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด แต่ท่านยามในนี้ได้ทำลายความรู้สึกปลอดภัยในใจข้า เมื่อข้ารู้ว่าท่านปรารถนาในตัวฮั่วฉุ่ยโหรว ข้าไม่อาจระงับความกังวลทั้งยามกินและยามนอน ยิ่งคิดถึงตอนระหว่างงานประลอง ท่านได้ทำทุกอย่างเพื่อสั่นไหวหัวใจนาง นึกถึงจุดนั้นข้าก็ไม่อาจมีเปรียบเลย”

เย่หวูเฉินหยุดเท้า หันมามองแล้วกล่าว “เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็ควรยอมแพ้และเลิกล้มการแต่งด้วยตนเอง ด้วยวิธีนี้ ข้าเย่หวูเฉินจะซาบซึ้งใจท่านอยู่บ้าง และท่านจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระหนักหนาด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการดีต่อทุกคน”

หลินเสี่ยวกัดฟันและกล่าวยืนยัน “หากท่านยอมหยุดไล่ตามนาง...ไม่ว่าเงื่อนไขใด...ตราบที่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะขอยอมรับมัน!”

“คุณชายหลินเป็นผู้มองสิ่งต่างๆอย่างเป็นกลาง แต่ด้วยความรักกลับทำให้ท่านมองข้าผิดเพี้ยนไป น่าเสียใจนักที่ข้ากับคุณชายหลินต่างต้องการในสิ่งเดียวกัน ต่อให้เป็นตัวคนหรือเศษทราย ข้าจะไม่ปล่อยสิ่งใดให้ตกถึงมือผู้อื่น ต่อให้ข้าต้องต่อสู้เพื่อมัน ข้าก็จะช่วงชิงมันกลับมา ข้าสามารถบอกกับท่านได้เลยว่า ผู้อาวุโสฮั่วได้เห็นชอบการแต่งระหว่างเสี่ยวโหรวโหรวกับข้าแล้ว ท่านควรกลับไปบ้านเตรียมยกเลิกการประกาศงานหมั้น ข้าได้พูดชัดเจนแล้ว ขอตัว”

เย่หวูเฉินหันกายจากไป เขาหายลับหัวมุมไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หลินเสี่ยวยืนงงงันอยู่เบื้องหลัง เขาหันศีรษะไปมองประตูหลักตระกูลฮั่วและกล่าวพึมพำ “เมื่อมีข้าหลินเสี่ยวดำรงอยู่ เหตุใดจึงต้องมีเย่หวูเฉินด้วย”

เขาไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่แรงกดดันที่เย่หวูเฉินถาโถมนั้นหนักหนาเกินไป มากจนกระทั่งเขาอยากก้มศีรษะให้แทนที่จะต่อสู้โดยตรง ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้เขาไม่เคยมีศัตรูระดับนี้มาก่อน ยามที่บุรุษผู้นี้ปรากฎตัวเพียงลำพังก็สามารถเหยียบย่ำเขาได้ดั่งใจ ต่อให้ทุกคนรวมกันก็ยังไม่หนักเท่าต้องแข่งกับเย่หวูเฉิน ยามที่เย่หวูเฉินเป่าเพลง ‘ฝันรำพึงถึงอดีต’ นั้นได้ทำลายเพลง ‘หนึ่งฝันในโลกวังวน’ ลงอย่างสิ้นซาก ความภาคภูมิใจที่สุดของเขาได้ถูกฉีกทำลายลงเป็นชิ้นๆ

เมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่หวูเฉินก็ตรงไปที่ห้องของหวังเวิ่นชู “วันนี้ยามค่ำจะมีแขกสองคนมาเยือน โปรดเตรียมอาหารและสุราไว้...อ้อ ไม่ๆ สุราไม่จำเป็น”

“แขกเหรอ?” หวังเวิ่นชูที่กำลังปักรูปเป็ดแมนดารินลงบนหมอนเงยศีรษะขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

“ถูกต้อง แต่ว่าสถานะของพวกเขาต้องถูกปิดเอาไว้ก่อนชั่วคราว ท่านจะรู้เมื่อพวกเขามาถึง” เย่หวูเฉินกล่าวและหัวเราะอย่างลึกลับ

“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมไว้” หวังเวิ่นชูวางของในมือลง นางพลันนึกถึงบางสิ่งได้และหันกลับมา “อ้อ เฉินเอ๋อร์ ข้าได้จัดเตรียมห้องไว้ในสวนของข้าแล้ว เจ้าสามารถพาแม่ของเด็กเล่งหยาย้ายมาที่นี่ได้ ในเมื่อพ่อของเจ้าไม่ค่อยอยู่บ้าน ย่อมเป็นการดีที่จะมีคนอยู่เป็นเพื่อนข้า เช้านี้ข้าไปพบนางมา ดูเหมือนว่านางจะผ่านความยากลำบากมามากมาย นางช่างโชคร้ายจริงๆ แต่ว่าบุคคลิกนิสัยของนางค่อนข้างไม่ธรรมดา ไม่เหมือนกับสตรีจากตระกูลทั่วไป นางสมควรมาจากตระกูลทรงอิทธิพลสักแห่งหนึ่ง”

“อืม!” เย่หวูเฉินพยักหน้ารับ

เมื่อเย่หวูเฉินพาเล่งหยาเข้าตระกูล เย่เว่ยและเย่หนู่ต่างคัดค้าน เพราะอย่างไรก็ตาม เล่งหยาก็มาจากอาณาจักรต้าฟงซึ่งเป็นศัตรูกับพวกเขา แต่โชคยังดีที่การคัดค้านของพวกเขาไม่ได้มีมากนัก และด้วยคำยืนกรานของเย่หวูเฉินพวกเขาจึงยอมรับในที่สุด  หวังเวิ่นชูยอมตกลงให้แม่ของเล่งหยา ‘เล่งชิว’ พำนักอยู่ในสวนของนางด้วยคำแนะนำของเย่หวูเฉิน เพราะว่าเป็นคำขอของเขา ด้วยธรรมชาติของความเป็นแม่นางจึงตกลง

ในเวลานี้เอง เล่งหยากำลังพยุงแม่ของตนเดินรอบสวนอยู่ช้าๆ สีหน้าของเล่งชิวดีขึ้นกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเย่หวูเฉินกลับมา เล่งหยาเรียกอย่างเย็นชาว่า “นายน้อย” เล่งชิวรู้สึกขอบคุณจนอยากโค้งกายคำนับ แต่เล่งหยาพยุงรั้งนางไว้ เย่หวูเฉินเองก็รีบเข้ามาหยุดนาง “ท่านป้า ร่างกายของท่านยังไม่หายดี เล่งหยาและข้าเป็นเพื่อนกัน ข้าไม่สมควรรับการคำนับ”

เล่งชิวส่ายศีรษะ นางมองด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ข้าได้ยินที่เสี่ยวฟงเล่าแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะเจ้า เสี่ยวฟงย่อมถูกจับตัวไป เจ้าช่วยชีวิตพวกเราสองแม่ลูก! ตอนนี้เจ้ายังช่วยรักษาดวงตาของข้าที่มืดบอดมาตลอดหลายปี.... พวกเราไม่มีสิ่งใด พวกเราไม่รู้ว่าจะตอบแทนความเมตตาของเจ้าด้วยวิธีใด!”

เย่หวูเฉินรีบโบกมือแล้วกล่าว “ท่านป้า โปรดอย่าได้คิดเช่นนั้น เหตุผลที่ข้าช่วยเล่งหยาเป็นเพราะความต้องการเห็นแก่ตัวของข้า นอกจากนั้น เล่งหยายังนับว่าเป็นเพื่อนของข้า การช่วยเหลือเขาย่อมเป็นเรื่องสมควร เล่งหยา, ช่วยพาท่านป้ากลับไปพักก่อน ข้ามีเรื่องบางอย่างจะคุยกับเจ้า”

หลังจากเล่งหยาพาเล่งชิวผู้ซาบซึ้งในคุณคนกลับไปโดยใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุดเล่งหยาก็กลับมายังเบื้องหลังของเย่หวูเฉินเงียบๆ พอได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เย่หวูเฉินเอ่ยถามโดยไม่หันศีรษะไปมอง “เจ้าได้คิดเรื่องที่ข้าพูดไว้กับเจ้าเมื่อวานแล้วหรือยัง?”

“เจ้าต้องการให้ข้ากลับไปทำอะไรที่อาณาจักรต้าฟง?” เล่งหยาถาม

“เรื่องเรียบง่าย.... ข้าต้องการแทรกซึมขุมกำลังในอาณาจักรต้าฟง พลังลับที่สามารถแทงทะลวงราชวงศ์ต้าฟงได้เหมือนคมกระบี่ เจ้าทำได้หรือไม่?”

“ข้าทำไม่ได้” เล่งหยาตอบกลับชัดคำ

“แล้วถ้าหากทำได้ เจ้าจะตกลงหรือไม่?”

“ไม่!”

“ดี” เย่หวูเฉินหันกลับมา หัวคิ้วยกขึ้น “อันที่จริง เจ้าขาดพลังที่จะทำเรื่องนี้ได้ แม้ว่าเจ้าต้องการข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าไป เนื่องจากเจ้ายังไม่แข็งแกร่งและมีความสามารถมากพอ ถึงแม้ว่าข้าได้ช่วยชีวิตเจ้ากับแม้ไว้ รวมทั้งรักษาดวงตาให้แม่เจ้า แต่เจ้าก็ยังไม่ยอมทำตามสัญญาและภักดีต่อข้าอย่างหมดใจ กับคนที่ไร้ทั้งความสามารถและไร้ทั้งความภักดี เหตุใดข้าต้องช่วยและให้ที่พักพิงกับเจ้าด้วย!”

เล่งหยาจ้องมองอย่างเย็นชา กล่าวเสียงเย็นเยียบ “ข้าเล่งหยา.... จะไม่ใช้ชีวิตเพื่อผู้ใดทั้งสิ้น!”

เย่หวูเฉินเหยียดยิ้มและหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “เจ้าห่วงศักดิ์ศรีของตนเองมากถึงเพียงนี้ แล้วเจ้าได้สิ่งใดจากมัน? ทำไมแม่ของเจ้าถึงร่างกายอ่อนแอ? เป็นเพราะว่าเจ้าไม่มีเงิน! นางไม่ได้ทานอาหารครบมื้อเป็นเวลานาน เพื่อเงินแล้ว เจ้ากระทั่งกล้าเข้าร่วมการแข่งขันรวมทั้งยังไม่รู้สึกผิดใดๆ อะไรที่ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนั้น? เพราะว่าเจ้าขาดพลังและพ่ายแพ้ต่อหลินเสี่ยว เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบเจ้ากลับเปิดเผยกระบี่คร่าสายลมและกระทบไปถึงมารดา จนกระทั่งตอนนี้ หากไม่ใช่เพราะข้าคอยปกป้องไว้ เจ้าก็ยังอยู่ใต้การจับตาของจักรพรรดิแห่งเทียนหลง ทั้งยังพร้อมถูกจับตัวตลอดเวลา คนเช่นเจ้ามันก็แค่ตัวตลก เป็นพวกไร้ประโยชน์ เจ้าไม่มีค่าพอที่จะพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีน่าหัวร่อของเจ้า”

“เจ้า....หุบปาก!” เล่งหยาจ้องเขม็งเย็นเยียบ เขาขบฟันแน่นเสียงดัง พลังของเขาทำให้อุณภูมิโดยรอบลดลงเล็กน้อยในฉับพลัน

“ข้าพูดอะไรผิด?” เย่หวูเฉินหัวเราะเย็นชา “หรือเจ้าคิดจะโจมตีข้า? แย่หน่อยที่ข้าไม่กลัวเจ้าเลย และเจ้าก็ไม่ใช่คู่มือข้าด้วย หากข้าต้องการ ข้าสามารถล้มเจ้าได้ในทันทีและสามารถเหยียบย่ำศีรษะอันน่าสมเพชของเจ้า ข้ามีพลังที่จะทำส่วนเจ้านั้นไม่มี! เจ้าเกลียดพ่อของตัวเอง แต่นอกจากความแค้นเคืองแล้วเจ้าทำสิ่งใดได้? ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินใครบ้างไม่รู้จักฟงเฉาหยาง แล้วเจ้าล่ะ เล่งหยา มีกี่คนที่รู้จักชื่อของเจ้า? หากเจ้าตายลงตรงนี้จะมีใครสนชีวิตเจ้า?”

เล่งหยาทั่วร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย ทุกคำที่เย่หวูเฉินกล่าวราวกับใบมีดเสียบเข้าหัวใจ เขาเป็นคนเหี้ยมหาญ หยิ่งยโสในตนเอง แต่กลับถูกเย้ยหยันเหมือนตัวตลก ความโกรธของเขาแผ่ออกมาพร้อมจิตสังหารบางเบา หากเขาไม่ยับยั้งตัวเองไว้อย่างยิ่งยวดและบอกตัวเองว่าคนผู้นี้ช่วยเขาและแม่ไว้มากเท่าใด ตอนนี้เขาคงพุ่งเข้าอย่างบ้าคลั่งและหั่นบุคคลผู้นี้ออกเป็นชิ้นๆ

“เจ้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่?” เย่หวูเฉินมองเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“ใช่!” เขากัดฟันตอบ ทุกคำเหยียดหยันจากเย่หวูเฉินยังคงดังซ้ำวนอยู่ในหัวของเขา หากไร้พลังก็ไม่คู่ควรกล่าวถึงศักดิ์ศรีของตน หากไม่มีพลังเขาก็ไม่อาจปกป้องตนเองและมารดา

เย่หวูเฉินพยักหน้าแล้วหันไปทางทิศเหนือ ในใจปรากฎภาพชายชราผู้เป็นราวกับต้นพฤกษาโบราณ “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปยังอาณาจักรต้าฟงอีกต่อไป ข้าอยากให้เจ้าไปยังทางตอนเหนือของอาณาจักรเทียนหลง ไปยังสถานที่ที่ถูกลืมเลือน แล้วมองหาบุคคลที่ชื่อฉู่ชางหมิง เขาจะสอนเจ้าว่าจะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร”

“ฉู่ชางหมิง.....” เมื่อได้ยินชื่อนี้ แววตาของเล่งหยาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง

“ถ้าเจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็มาหาข้าได้ แน่นอนว่าไม่เป็นไรหากเจ้าไม่ต้องการ ตระกูลเย่ของข้าย่อมเก็บเจ้าไว้เหมือนกับเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่ง!”

หลังจากที่เย่หวูเฉินพูดเย็นชา เขาก็หันกายจากไป เขาตรงไปที่สวนของเย่ฉุ่ยเหยาเพื่อไปหาหนิงเสวี่ย ก่อนที่เขาจะออกไป เขามองไปที่หน้าต่างห้องที่พักของเล่งชิวด้วยสายตาสื่อความหมาย

เล่งหยายืนอยู่ตรงนั้นสีหน้าปราศจากอารมณ์ ราวกับรูปสลักน้ำแข็งที่ตั้งอยู่ตรงนั้นมานาน ชายหนุ่มผู้หลงทางมานานกว่าสิบปี ฉับพลันเขาก็มีเส้นทางให้ก้าวเดิน ความโกรธและจิตสังหารเมื่อครู่ได้อันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์



<<<PREV    .    NEXT>>>