“ฝันรำพึงถึงอดีต....ยอดเยี่ยม! เป็นชื่อที่ดี!” หวังป๋ออุทานเสียงดังด้วยความชื่นชม
จากนั้นรีบลุกขึ้นหันหน้าไปทางจักรพรรดิ ประสานมือแล้วกล่าว “ฝ่าบาท
โปรดอภัยแก่ข้าผู้ชรา ข้าจำเป็นต้องรีบออกไปก่อน
หากข้าไม่ได้จดบันทึกทำนองของเพลงนี้ไว้ ข้าคงไม่อาจสงบใจได้ลง”
หลังจากพูดจบ เขาก็รีบก้าวออกไปด้วยไม่รอคำตอบของจักรพรรดิ ฝีเท้าของชายชราบ่งบอกถึงความเร่งรีบที่มากกว่าครั้งใด ผู้ติดตามของเขารู้สึกตกใจกลัวกับการกระทำของเขา
มองหวังป๋อที่จากไป
จากนั้นหลงหยินหันกลับมามองเย่หวูเฉินอย่างพินิจพิจารณา เขาถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงสลด
“ข้าพึ่งตระหนักในวันนี้เอง ว่าตลอดมาข้าอยู่โดยใช้ชีวิตที่ไร้ความหมาย
ก่อนจะออกจากวังมาในวันนี้ ข้าไม่รู้เลยว่าสิ่งใดคือภาพวาดหรือเพลงขลุ่ยที่แท้จริง
หวูเฉิน...เจ้ามีพรสวรรค์แห่งเทพ!”
“ฝ่าบาท ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นได้เพราะการชี้แนะของท่านอาจารย์
หากไม่มีเขา ย่อมไม่มีหวูเฉิน” เย่หวูเฉินตอบ
เขาเก็บขลุ่ยหยกใส่แขนเสื้ออย่างทะนุถนอม ไม่มีความคิดส่งคืนมันให้แก่ฮั่วฉุ่ยโหรว
เห็นการกระทำตำตา
ฮั่วเจิ้นเทียนพลันถลึงตาจ้องเป็นโคถึก เขาถามลูกสาว “ยอดยาหยี
เจ้าต้องการขลุ่ยนั้นคืนหรือไม่? สหายน้อยผู้นั้นกลับกล้ายึดสิ่งของของลูกสาวข้าเป็นของตนเอง
ลองดูกันว่าถ้าข้าไม่... เมื่อครู่ข้าเกือบน้ำตาไหลออกมา
ความรู้สึกอึดอัดข้างในทำให้ข้าอยากทุบตีเจ้าเด็กนี่นัก”
“อย่า ท่านพ่อ... โปรดอย่าถามข้า
ได้โปรดอย่าพูด...” ฮั่วฉุ่ยโหรวปิดใบหน้าที่อาบน้ำตา ส่ายศีรษะด้วยความหวาดกลัว
นางรู้สึกราวกับว่า....ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ใช่ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
นางได้ทำบางสิ่งที่ไม่อาจให้อภัย บางสิ่งที่นางไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ยิ่งกว่านั้น
ทุกเหตุการณ์ล้วนเกี่ยวข้องกับชายคนนั้น
ฮั่วเจิ้นเทียนเกาศีรษะตนเอง “ได้
ข้าจะไม่พูดอีก”
“โฮ่โฮ่! หากไม่ใช่เพราะพื้นฐานพรสวรรค์ของเจ้า...แม้อาจารย์จะมีฝีมือชั้นฟ้า
ก็คงไม่อาจสั่งสอนศิษย์ที่เก่งกาจถึงปานนี้ได้” เขาหันไปทางหลินเสี่ยว “หลินเสี่ยว
ฝีมือเพลงขลุ่ยของเจ้านับว่าเปิดหูเปิดตาข้านัก และเจ้าไม่ได้กล่าวเกินจริงใดๆ
แต่ผู้ชนะในรอบนี้ยังคงเป็นหวูเฉิน เจ้ายอมรับหรือไม่?”
ระหว่างที่ฟัง ‘ฝันรำพึงถึงอดีต’
ได้เพียงครึ่งเพลง หลินเสี่ยวก็รู้สึกราวกับตนเองสูญเสียวิญญาณ
เพราะเขารู้ตัวว่าได้พ่ายแพ้ลงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ทั้งที่คิดว่าไม่มีใครสามารถเทียบประชันขลุ่ยกับตนได้...แต่กระนั้น เขาก็ยังพ่ายแพ้
สีหน้าเขาซีดเผือดเมื่อคิดถึงสิ่งที่กล่าวออกไปก่อนหน้า
ขลุ่ยเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเขา และนั่นคือความจริง ตอนนี้เขาพ่ายแพ้
หมายความว่าเขาต้องละทิ้งชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของตนไปอย่างนั้นหรือ?
“ท่านคงต้องมีความมั่นใจอย่างที่สุด
ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าเอาชีวิตเป็นเดิมพันกับการแข่งไร้สาระเช่นนี้
โดยเฉพาะกับการเดิมพันที่ไม่อาจถอนตัวคืน มีเพียงคนโง่เท่านั้นถึงจะทำแบบนี้....” นึกถึงคำที่เย่หวูเฉินกล่าวไว้ก่อนหน้า หัวใจเขาสั่นสะท้าน สิ่งที่เขาภูมิใจในตัวเองมากที่สุดอย่างเพลงขลุ่ยกลับกลายเป็นแค่เรื่องตลก
ความมั่นใจและวาจาที่เขากล่าวก่อนหน้าไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าตัวเองอีกครั้ง
จริงๆแล้วตัวเขาเป็นคนแบบใดกัน....
สายตาที่มองเขาในยามนี้...มีจำนวนน้อยมาก
สายตาเหล่านั้นส่วนใหญ่ต่างความรู้สึกสังเวช, เห็นใจ, และเวทนา บิดาและปู่ของเขามองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
พวกเขารู้สึกเหมือนกัน คือแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าจะมีบุคคลเช่นนี้อยู่บนโลก
ก่อนหน้านี้เขาคือดาวจรัสแสง
ทุกแห่งหนที่เขาไปล้วนเปล่งประกายดึงดูดสายตาผู้คน
เวลานี้เขายังคงเป็นดวงดาราที่ฉายแสงออกมา แต่เย่หวูเฉินกลับเป็นดวงตะวันแผ่แสงปกคลุม
ยามปรากฎกายคู่กัน แสงดาราก็ทำได้เพียงถูกบดบัง เปล่งแสงริบหรี่ลง
ทำไมถึงไม่ใช่ความฝัน?
ทำไมเมื่อมีข้าหลินเสี่ยวแล้วถึงต้องมีเย่หวูเฉิน?
“ข้ายอมรับ! ยอมรับแต่โดยดี
ข้าหลินเสี่ยวตลอดชีวิต 20 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องยอมรับคนผู้หนึ่งถึงเพียงนี้
นับแต่นี้ไปฉายา ‘อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลง’ และ ‘นักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลง’ ไม่ใช่ของข้าอีกต่อไป แต่มันเป็นของท่าน เย่หวูเฉิน”
พริบตาที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับเย่หวูเฉิน
สีหน้าของเขาปลอดโปร่ง กระทั่งแสดงรอยยิ้มเล็กน้อย เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
คิดในใจ ‘มีความยับยั้งชั่งใจนับว่าไม่เลว
แต่เทียบกันแล้ว ที่ข้านับถือยิ่งกว่าคือความอดทนของเจ้า’
“ฮ่าฮ่า! หลินเสี่ยว
ถึงแม้ว่าเจ้าจะแพ้ แต่เจ้าก็ยังนับว่าเป็นยอดอัจฉริยะแห่งอาณาจักรเทียนหลงรวมไปถึงทั่วมหาทวีปเทียนเฉิน
และความอดทนของเจ้าก็นับว่าหาได้ยากเช่นกัน เจ้ายังคงเป็นความภาคภูมิใจของอาณาจักรเทียนหลง”
หลงหยินกล่าวยกย่อง จากนั้นเขาหุบรอยยิ้มแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“แต่เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินว่า หากเจ้าแพ้แก่หวูเฉิน เจ้าจะเลิกเล่นเพลงขลุ่ยไปชั่วชีวิต
ซึ่งข้าไม่อนุญาต! ความสามารถล้ำเลิศเช่นนี้ไม่สมควรถูกขจัดไปเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ
ไม่เพียงแต่ข้าที่ขอปฏิเสธ ทุกคนในเมืองเทียนหลงก็จะไม่ยอมรับด้วยเช่นกัน ดังนั้น
ข้าขอสั่งให้เจ้าจงเล่นเพลงขลุ่ยต่อไป จงพกขลุ่ยไว้ข้างกายแล้วเล่นมันทุกวัน
หากเจ้าขัดขืนข้าจะลงโทษเจ้า!”
หลินเสี่ยวอารมณ์ชะงักค้าง ทั่วร่างสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง
เขาพลันคุกเข่าและโขกคำนับองค์จักรพรรดิ “หลินเสี่ยวขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาท! หลินเสี่ยวจะจดจำทุกคำพูดของฝ่าบาทไว้ในใจ!”
“ฮ่าฮ่า ดี ลุกขึ้น
ที่นี่ไม่ใช่พระราชวัง อย่าได้คุกเข่าพร่ำเพรื่อ”
หลินเสี่ยวลุกขึ้นยืน
สีหน้ามีความสุข เย่หวูเฉินยิ้มอย่างสุขุมและคิดในใจ ‘หากข้าเป็นจักรพรรดิ
ข้าย่อมทำเช่นเดียวกัน หากข้าไม่ฉกฉวยโอกาสนี้ไว้ เช่นนั้นก็ป่วยการที่ได้เป็นจักรพรรดิ’
หลงหยินยังคงยิ้มและหันมาทางเย่หวูเฉินอีกครั้ง
“หวูเฉิน ความสามารถที่เจ้าแสดงออกมาในวันนี้สร้างความประหลาดใจให้ข้าจริงๆ! ขณะเดียวกันข้าก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะการแข่งขันในวันนี้ หรือหากไม่มีการปรากฎตัวของชายที่ชื่อเล่งหยาจากอาณาจักรต้าฟง
ข้าคงไม่รู้เลยว่าในอาณาจักรเทียนหลงมีบุคคลเช่นเจ้าอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้พรสวรรค์ของเจ้าต้องหลุดมือไป
ดังนั้นข้าขอแต่งตั้งเจ้าเป็นขุนนางชั้นสาม วันพรุ่งนี้เช้าจะมีการประชุมเฉลิมฉลอง
เจ้าต้องมาเข้าร่วมด้วย!”
เสียงของหลงหยินดั่งฟ้าผ่า...ขุนนางชั้นสามทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้? หรือว่าองค์จักรพรรดิบ้าไปแล้ว!
กระทั่งบิดาของเย่หวูเฉิน
เย่เว่ยผู้มีผลงานการรบมากมายจนเป็นที่รู้จักกันในฐานะหนึ่งในยอดขุนพล
ยังเป็นเพียงขุนนางชั้นห้า ถึงแม้ว่ายศขุนนางจะเป็นเพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่าต่อผู้คนในอาณาจักรเทียนหลง
ทั้งยังไม่มีอำนาจที่แท้จริง หากแต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นเกียรติยศและแสดงถึงความเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิเป็นพิเศษ
ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดย่อมได้รับชื่อเสียง
ชนชั้นระดับสามเป็นตำแหน่งที่เหล่าองค์ชายและอ๋องทั้งหลายทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมา
ตำแหน่งนี้มีเพียงคนใกล้ชิดองค์จักรพรรดิเท่านั้นถึงจะได้รับมัน
“ฝ่าบาท
เรื่องนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมอยู่บ้าง” มีบุคคลผู้หนึ่งอาจหาญเอ่ยขึ้นมา ทุกๆคนมองไปทางเสียงนั้น
และพบว่าเป็นจ้าวกรมอักษร อวี้เหวินลี่
“ไม่เหมาะสมยังไง?”
หลงหยินหงุดหงิดเล็กน้อย
อวี้เหวินลี่ตอบ
“นายน้อยเย่มีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศทั้งยังเป็นผู้สืบทอดของเทพกระบี่ ตามความเห็นข้า
เขาคู่ควรกับตำแหน่งขุนนางชั้นหนึ่ง
แต่เย่หวูเฉินเขายังเยาว์เกินไปทั้งยังไม่เคยสร้างผลงานใดๆให้กับอาณาจักรเทียนหลง อีกอย่าง
บิดาของเขาขุนพลเย่ยังเป็นเพียงขุนนางชั้นห้า หากเรื่องนี้ประกาศออกไป ย่อมเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และมีเสียงคัดค้านต่อราชวงศ์”
ผู้คนพยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาต่างยอมรับว่าพรสวรรค์ของเย่หวูเฉินเข้าใกล้ระดับเทพเซียน แต่การมอบตำแหน่งให้โดยดูจากเพียงพรสวรรค์โดยไม่สนใจประสบการณ์และผลงาน
ย่อมเกิดเสียงวิจารณ์ตามมา หลงหยินหัวเราะเสียงดัง “หากข้ายกธิดาสุดที่รัก
องค์หญิงเฟยฮวงให้กับเย่หวูเฉิน และให้แต่งงานกันเมื่อนางอายุครบ 16 ปี ยังจะมีใครคัดค้านอยู่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำดังกล่าว
ผู้คนต่างเงียบเสียง ใบหน้าผู้คนตระกูลหลินเขียวคล้ำ
ขณะที่ผู้คนตระกูลเย่เต็มไปด้วยความยินดี