ณ ตระกูลเย่แห่งเมืองเทียนหลง
เมื่อเย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ยกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่
เพียงก้าวผ่านประตูทางเข้าก็มีเสียง ‘กระซิบกระซาบ’ กับสายตาจำนวนมากจ้องมองมา กระทั่งยามคุ้มกันที่ปกติจะมองตรงไปข้างหน้า รวมไปถึงผู้คุ้มกันลับ
พวกเขาทั้งหมดต่างมองสำรวจด้วยแววตาสับสน
ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบนายน้อยของตระกูล
“....เร็วขนาดนี้เลยเหรอ? อย่าบอกนะว่าข่าวมาถึงที่นี่เร็วกว่าข้าเสียอีก?” เย่หวูเฉินพึมพำกับตัวเอง
ข่าวลือเรื่องนายน้อยตระกูลเย่ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลงด้วยความเร็วอันน่าตกใจ...
เผชิญหน้าหลินเสี่ยวในการประลองยุทธและประชันอักษรอีกสองรอบ ผลคือชนะทั้งหมด! เขาสามารถเอาชนะผู้นำตระกูลฮั่วโดยใช้สติปัญญา
กระทั่งเอาชนะประมุขราชวิทยาลัยเทียนหลงได้ราวกับเทพ
ภาพวาดดอกบัวคู่บนก้านเดียวอันน่าอัศจรรย์ รวมถึงเพลงขลุ่ยสด ‘ฝันรำพึงถึงอดีต’
ที่ทำให้ผู้คนหลายพันต้องหลั่งน้ำตา ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นผู้สืบทอดของเทพกระบี่
องค์จักรพรรดิยังยกย่องเขาในฐานะสุดยอดอัจฉริยะ
มอบตำแหน่งขุนนางชั้นสามรวมถึงยกพระธิดาองค์หญิงเฟยฮวง...
ข่าวลือเหล่านี้แพร่สะพัดอย่างต่อเนื่อง หากเป็นคนธรรมดาที่กล่าวเรื่องเหล่านี้ย่อมถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
หากแต่เหล่าคนที่พูดเรื่องพวกนี้ออกมา... กล่าวได้ว่าหากพวกเขากระทืบเท้าก็เพียงพอเขย่าโลกทั้งใบ
หากพวกเขากล่าวเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง คนอื่นๆจะไม่เชื่อพวกเขาได้อย่างไร?
“นายน้อย นายท่านสั่งพวกเราให้เชิญท่านไปที่ห้องโถงประชุมในทันทีที่ท่านกลับมาถึง”
เป็นบ่าวชราที่เข้ามาทักทาย
“เข้าใจแล้ว” เย่หวูเฉินพยักหน้า
จากนั้นเดินตรงไปที่โถงประชุม สายตาหลายคู่มองทุกการเคลื่อนไหวของเขา ในอดีต
แม้ว่าพวกเขาเป็นคนรับใช้ของตระกูลเย่ พวกเขาก็ยังมีความรู้สึกดูหมิ่นและรังเกียจเขาอยู่บ้าง
เนื่องจากนายน้อยเย่เคยเป็นบุคคลที่อ่อนแอ
แต่เวลานี้เขาเดินเตร่ไปทั่วหลังจากกลับมา เขาใช้พลังของตนข่มเหงนายน้อยตระกูลอื่น
ยามนี้แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและเชื่อไม่ลง
ภายในโถงประชุมที่กว้างขวางสว่างไสว
ตระกูลเย่ทุกคนอยู่ที่นี่รวมถึงเย่หวูหยุนที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
เมื่อเย่หวูเฉินก้าวเข้ามา เย่หนู่ที่หัวเราะเสียงดังมาตลอดก็หยุดเสียงลง จากนั้นเขาถามเสียงต่ำ
“เฉินเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่เข้ามาก่อนและบอกความจริงกับพวกเรา!”
เย่หวูเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆหวังเวิ่นชู
วางหนิงเสวี่ยไว้บนตัก แล้วล้วงนิ้วมือขวาเข้าไปในปากน้อยๆเล่นกับลิ้นของนาง
เขากล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดให้ตระกูลเย่ต้องเสียหน้า...
ทำไมข้าถึงต้องพูดอธิบายด้วย?”
การที่เขาแสดงความโปรดปรานต่อหนิงเสวี่ยอย่างเกินธรรมดาไม่ได้ทำให้ตระกูลเย่แปลกใจอีกต่อไป
พวกเขาคุ้นชินกับเรื่องนี้แล้ว หวังเวิ่นชูพูดพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพ่อ
พวกเราแค่ถามเฉินเอ๋อร์ไปตามตรง อย่าทำให้เขากลัวสิ”
เย่หนู่หัวเราะเสียงดังเมื่อได้ฟัง
เขากล่าวพลางหัวเราะ “เจ้าเด็กนี่หลอกตระกูลหลินจนหัวปั่นทั้งตระกูล
ข้าจะหัวเสียกับเรื่องนี้ได้อย่างไร กลับกันข้ามีความสุขมาก ข้าต้องเจอเจ้าพวกนั้นมาตลอดหลายปี
และข้าไม่เคยรู้สึกพึงพอใจมากขนาดนี้มาก่อน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...แต่!”
เย่หนู่พลันเปลี่ยนอารมณ์
คิ้วของเขาขมวดมุ่นขณะถาม “เฉินเอ๋อร์ โปรดบอกความจริงกับพวกเรา
วรยุทธกับพรสวรรค์ของเจ้าได้มาได้อย่างไร? ผู้คนภายนอกอาจเข้าใจว่าเจ้าแสร้งทำเป็นป่วยมาตลอดสิบหกปี
แล้วรอเผยความสามารถให้โลกตะลึงในคราเดียว แต่ว่า พวกเราตระกูลเย่ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่า
เมื่อปีก่อนเจ้ายังเป็นคนที่ไร้เรี่ยวแรง แม้แต่จะหักคอไก่ยังไม่อาจกระทำ
และพรสวรรค์ของเจ้ายังต่ำต้อยยิ่งกว่าเด็กสิบขวบ ยิ่งกว่านั้นเจ้าเคยบอกว่าเจ้าพึ่งได้สติเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
อย่าบอกข้านะว่าเจ้าเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างภายในเวลาแค่เดือนเดียว? ข้าไม่เชื่อ ถึงแม้เทพกระบี่จะมีความสามารถสุดวิเศษ แต่ก็ยังคงเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนเจ้าจนถึงระดับนี้ได้!!
หากไม่ใช่เพราะพวกเราหยดเลือดพิสูจน์กันก่อนหน้า กระทั่งข้ายังสงสัยว่าเจ้าคือบุตรชายของพวกเราหรือไม่
เฉินเอ๋อร์!”
เย่เว่ยพยักหน้าขณะมองเย่หวูเฉินไม่ละสายตา
เขาถาม “ไม่เพียงแค่หนึ่งเดือน ต่อให้ใช้เวลาถึงหนึ่งปีก็ยังนับว่าเป็นเรื่องเหนือจินตนาการ
นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว เจ้ายังมีความลับอื่นใดที่พวกเราสมควรรับรู้?”
เย่หวูเฉินอยากกล่าวบางอย่าง
แต่จากนั้นเขาก็ลังเล ดูเหมือนเขากำลังมีปัญหาบางอย่าง
ดูจากท่าทางที่อึดอัดของเย่หวูเฉิน
หวังเวิ่นชูดุด่าเย่เว่ยทันที “ดูท่านสิ บิดากับบุตรชาย ท่านกลับยังสงสัยในตัวเฉินเอ๋อร์
นี่สมควรเป็นเพราะว่าเฉินเอ๋อร์มีพรสวรรค์ฟ้าประทาน ถึงได้ใช้เวลาแค่หนึ่งเดือนบรรลุได้ถึงขั้นนี้....”
“แม้มีพรสวรรค์ฟ้าประทานก็ยังคงมีขีดจำกัด”
เย่หนู่โบกมือขัดหวังเวิ่นชู “อย่างที่รู้กันดี หลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลินก็เป็นที่รู้จักว่าเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ฟ้าประทาน
เจ้าจะบอกว่าความสำเร็จที่เขาใช้เวลาถึง 20 ปีไม่อาจเทียบได้กับหนึ่งเดือนของเฉินเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
“อันที่จริง ท่านเดาได้ถูกต้อง”
ในที่สุดเย่หวูเฉินก็เปิดปากพูด “อาจารย์ของข้าใช้วิธีการที่แปลกประหลาดอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นสิ่งที่ทั่วโลกหล้าต้องตกตะลึง เขาขอให้ข้าอย่าบอกต่อแก่ผู้ใด
แต่....อืม บอกให้คนในครอบครัวคงไม่มีปัญหาอะไร”
“ดี!” เย่หนู่พยักหน้ากล่าวหนักแน่น
“บอกพวกเรามาไม่เช่นนั้น หัวใจของข้าคงไม่อาจสงบลงได้”
“อันที่จริง ท่านอาจารย์ใช้วิธีที่เรียกว่า
‘เจิมศีรษะส่งพลังบริสุทธิ์’ ซึ่งเป็นทักษะในตำนานที่สามารถส่งผ่านวิชาและพลังให้ข้าได้โดยตรง
นี่คือเหตุผลที่มีตัวข้าในวันนี้” เย่หวูเฉินกล่าวอย่างไม่ละอาย
วิธีที่บอกไปเขาเคยอ่านมาจากนิยายกำลังภายใน นิ้วชี้มือขวาของเขายังคงเคลื่อนไหวไปมาเบาๆอยู่ในปากหนิงเสวี่ย
รู้สึกได้ว่านางกำลังดูดนิ้วอยู่
“เจิมศีรษะส่งพลังบริสุทธิ์!?” เกินความคาดหมายของเย่หวูเฉินโดยสิ้นเชิง
เย่หนู่และเย่เว่ยไม่มีสีหน้าสงสัยใดๆ พวกเขากลับอุทานชื่อออกมา
หรือว่าจะมีอะไรทำนองนี้อยู่บนโลกใบนี้จริงๆ?
“พวกท่านเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนหรือ?”
เย่หวูเฉินถามด้วยความแปลกใจ
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อ ‘เจิมศีรษะส่งพลังบริสุทธิ์’ แต่ข้าเคยได้ยินวิชาอื่นที่มีชื่อว่า ‘เจิมศีรษะส่งพลังแห่งสวรรค์และปฐพี’
แม้ว่าสองชื่อนี้จะแตกต่างกัน แต่ชื่อของพวกมันก็คล้ายกันมาก ทั้งจุดประสงค์ของพวกมันก็เหมือนกัน...ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
ข้าเริ่มเข้าใจแล้ว” เย่เว่ยกล่าว ในขณะที่นึกถึงคำว่า ‘เจิมศีรษะ’
เขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
“เจิมศีรษะส่งพลังแห่งสวรรค์และปฐพี
เป็นพลังลึกลับที่ใช้กันภายในสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ
พลังนี้ทำให้เจ้าสำนักจักรพรรดิใต้และเจ้าสำนักจักรพรรดิเหนือสามารถถ่ายทอดพลังและวิชาทั้งหมดของตนให้แก่ผู้สืบทอดได้
จากนั้นพวกเขาจะตายเพราะไม่มีพลังหลงเหลืออยู่ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ตลอดมาไม่เคยมีผู้ใดกล้ากระตุ้นโทสะของพวกเขา”
ที่แท้วิชานี้ก็มีอยู่จริง...เย่หวูเฉินคิด
“พวกเขาสูญเสียพลังบ้างหรือไม่
ไม่เช่นนั้น ทั้งสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือย่อมแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีขีดจำกัด?” เย่หวูเฉินถาม
“ถูกต้อง
แท้จริงแล้วเกิดความเสียหายเกิดขึ้นด้วย
แต่จะรุนแรงแค่ไหนพวกเราคนนอกไม่อาจทราบได้ แต่ถึงอย่างนั้น
ทุกๆรุ่นของทั้งสองสำนักต่างก็มีพลังไร้ที่เปรียบ สิ่งนี้ไม่มีผู้ใดสงสัย”
“พลังไร้ที่เปรียบ? พลังของพวกเขาหรือจะเป็น...ขอบเขตเทวะ?” เย่หวูเฉินขมวดคิ้ว “แต่ในเหล่าเทพทั้งสี่แห่งทวีปเทียนเฉิน ไม่มีการกล่าวถึงพวกเขา”