เย่หวูเฉินถือภาพวาดไว้ในมือ
แล้วถามอย่างอ่อนโยน “แม่นางฮั่ว ขออภัยที่ข้าจะถามว่าภาพดอกบัวคู่บนก้านเดียวนี้ ท่านมองมันแล้วชอบหรือไม่? ภาพวาดที่ดีควรอยู่ในมือสตรีที่งดงาม
หากแม่นางฮั่วไม่รังเกียจฝีมือวาดภาพที่ต่ำด้อยของข้า ก็ขอแม่นางโปรดถนอมน้ำใจข้ารับมันเอาไว้
แต่หากภาพวาดนี้ระเคืองต่อสายตาของแม่นางฮั่ว
เช่นนั้นการมีอยู่ของภาพนี้ก็ไร้ความหมาย และคงอาจต้องเผามัน”
ผู้คนต่างจ้องไปที่คุณหนูตระกูลฮั่ว บุรุษหลายคนต่างฉวยโอกาสนี้มองนางอย่างไร้ความละอาย ยิ่งพวกเขามองเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่านางอ่อนช้อยงดงามไร้ที่เทียบเทียม พอคิดถึงหลินเสี่ยวและเย่หวูเฉิน หัวใจของพวกเขาก็ห่อเหี่ยวลง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างลักษณะ พื้นฐานครอบครัว หรือพรสวรรค์... พวกเขาไม่อาจเปรียบเทียบสองคนนี้ได้เลย คงมีแค่บุคคลที่ฉลาดเหนือล้ำแบบสองคนนี้จึงจะคู่ควรกับสตรีงามล้ำ กระทั่งเหล่าสตรีน้อยทั้งหลายยังชื่นชมนาง บางคนก็อิจฉา ถูกชมชอบจากใจโดยสองบุตรชายตระกูลหลินและตระกูลเย่ พวกเขาถึงขั้นต่อสู้กันอย่างเปิดเผย แข่งขันกันเพียงเพื่อนาง... จะไม่ให้สตรีคนอื่นอิจฉานางได้อย่างไร? สำหรับคนที่รักภาพวาดราวชีวิต พวกเขาหวั่นวิตกด้วยความกังวล ใครจะสนเรื่องหมั้นหมายของตระกูลหลินกับตระกูลฮั่ว พวกเขาเพียงกลัวว่าฮั่วฉุ่ยโหรวจะปฏิเสธ และพวกเขาย่อมหมดหวังทำสิ่งใด หากนางต้องการทำลายภาพวาดนั้น เป็นความรู้สึกที่ยากจะทานทน ราวกับตนเป็นผู้ถูกสังหารด้วยตัวเอง
“เฉินเอ๋อร์ หรือว่าเขาตกหลุมรักลูกสาวตระกูลฮั่ว?” หวังเวิ่นชูกล่าวเสียงเบา
“ข้าก็คิดเช่นนั้น
ลูกสาวตระกูลฮั่วเป็นสาวงามที่โดดเด่น
เฉินเอ๋อร์จะตกหลุมรักนางนับเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งกว่านั้น
เฉินเอ๋อร์ก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว” เย่เว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ไม่มีความคิดตำหนิใดๆต่อการกระทำของเย่หวูเฉิน กลับกัน...หากเขาพิชิตว่าที่ลูกสะใภ้ของตระกูลหลิน
และผูกสัมพันธ์กับตระกูลฮั่วได้สำเร็จ
เย่เว่ยไม่อาจจินตนาการถึงสีหน้าตระกูลหลินว่าจะซีดเขียวถึงเพียงใด แน่นอนเขาย่อมพอใจ
อีกทั้งฮั่วเจิ้นเทียนมีลูกสาวเพียงคนเดียว เขาเอาอกเอาใจนางอย่างมาก
หากผู้ใดแต่งงานกับลูกสาวของเขา ย่อมหมายถึงคนผู้นั้นได้รับสืบทอดมรดกของฮั่วมาทั้งตระกูล
ในตอนนั้น ตระกูลเย่ใช้ความพยายามโน้มน้าวให้ฮั่วเจิ้นเทียนหมั้นหมายธิดากับเย่หวูเฉิน
แต่ก็ถูกปฏิเสธในทุกครา ในวันที่เย่หวูเฉินไม่มีอะไรดี เย่เว่ยได้พูดเรื่องนี้กับตระกูลฮั่วอยู่หลายครั้ง
แต่เมื่อเย่หวูเฉินอายุครบ 16 ปี เขาก็ยังไม่มีคู่หมั้นหมายใด หวังเวิ่นชูจึงต้องบากหน้าเสนอการหมั้นต่อตระกูลสูงอื่นๆแทน
แต่พวกเขาก็ทำเพียงปฏิเสธและเปลี่ยนเรื่องคุย หรือกระทั่งหลบหน้านาง
ด้วยอุปนิสัยของฮั่วเจิ้นเทียนที่เป็นคนรักษาคำพูด
ทำให้เรื่องยกเลิกการหมั้นของตระกูลหลินนับว่าเป็นไปไม่ได้
เย่เว่ยมีความเห็นในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
“แม่นางน้อยของตระกูลฮั่วช่างดึงดูดใจนัก
หากเฉินเอ๋อร์ชอบนางจริงๆ พวกเราควรช่วยเหลือเขา”
“......”
เย่เว่ยสะพรึงกับคำพูดของภรรยา เม็ดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา
เย่ฉุ่ยเหยาฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ
สายตานางมองที่ฮั่วฉุ่ยโหรว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจตน
เหมือนจู่ๆก็ไม่อาจสงบจิตใจ ส่วนสาเหตุนั้น...นางไม่อาจรู้ได้เลย
ฮั่วฉุ่ยโหรวรู้สึกหัวใจเต้นรัว
เป็นครั้งแรกที่นางถูกมองด้วยสายตาจำนวนมาก นางปรารถนาจะหลบหนีออกไป เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่
ฮั่วเจิ้นเทียนจึงกล่าวคำ “ยอดยาหยี เจ้าชอบภาพนี้หรือไม่? โปรดบอกออกมา”
“ข้า....”
แม้ฮั่วฉุ่ยโหรวจะบอบบางเหมือนสายน้ำ
แต่ความคิดนางไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนกระดาษขาว นางรู้ว่าควรซื่อสัตย์ต่อว่าที่สามี
เพราะพวกเขาได้หมั้นหมายกัน แม้ความจริงนางจะชอบภาพวาดนี้ แต่จากสถานการณ์ความเป็นจริงนางจำเป็นต้องพูดคำว่าไม่
สุดท้ายนางเงยศีรษะขึ้นพร้อมจะพูด
แต่ชั่วขณะพลันสบสายตากับเย่หวูเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้าเขาช่างอ่อนโยน
ค่อยๆลบเลือนความกังวลในจิตใจ สายตาเขาสื่อความหมายอย่างลึกซึ้ง
มีเสน่ห์ดึงดูดราวกระชากวิญญาณจากหัวใจ ทำให้คนหลงใหลอย่างทารุณ
ขณะที่คำว่า ‘ไม่’ กำลังจะหลุดออกจากปาก นางพลันไม่สามารถเปล่งเสียงได้
แม้พยายามเท่าใดนางก็ไม่สามารถพูดออกไป หัวใจนางยิ่งเต้นเร็วระรัว...
“เจ้าต้องการภาพวาดนี้หรือไม่?”
เขาถามอีกครั้งอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลราวกับสายลม
“ข้า...ต้องการมัน”
เย่หวูเฉินยิ้มกว้างและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เสียงร้องแหลมทะลวงผ่านความเงียบ นกบนไหล่ฮั่วฉุ่ยโหรวกางปีกออกทะยานบิน
พุ่งขึ้นฟ้าแล้วตรงไปที่เย่หวูเฉิน มันลงไปเกาะที่แขนซ้ายของเย่หวูเฉิน
ส่งเสียงร้องอย่างร่าเริง เย่หวูเฉินนำม้วนภาพใส่กรงเล็บนก มันจับไว้มั่นทั้งสองกรงเล็บแล้วร้องเสียงแหลมอีกครั้ง
กางปีกออกบินกลับไปหาฮั่วฉุ่ยโหรว แล้วปล่อยม้วนภาพลงบนมือนาง
สายตาทุกคู่เบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง...ทั้งตกตะลึงชื่นชมและไม่อยากเชื่อ...ราวกับพวกเขาตระเตรียมฉากนี้เอาไว้ก่อน
นกขนเขียวแสดงอารมณ์และความนึกคิด ฉากที่ปรากฎราวกับธรรมชาติจัดวาง
ราวกับเทพเทวาได้วางแผนไว้ คล้ายกับนกล่วงรู้ความปรารถนา
และใช้ตัวเองเป็นสื่อนำพาความรู้สึกถึงกัน
ขณะถือภาพวาดในมือ ฮั่วฉุ่ยโหรวยังคงไม่ตื่นจากความฝัน
เหตุการณ์วันนี้จะประทับอยู่ไปจนชั่วชีวัน จนถึงตอนนี้ นางทั้งไม่เชื่อและไม่เข้าใจว่าทำไมจึงตอบตกลง
บางทีเทพมารอาจดลบันดาล นางรู้ดีว่าพูดสิ่งที่มีความหมายใดออกไป
แต่ความลังเลและความกังวลได้พลันหายไปในขณะนั้น
สีหน้าของทุกผู้คนในตระกูลหลินเปลี่ยนเป็นม่วงคล้ำ
สายตาที่มองฮั่วฉุ่ยโหรวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ฮั่วเจิ้นเทียนกลับหัวเราะลั่นพร้อมกล่าว
“ข้ารู้ว่ายอดยาหยีของข้าชอบภาพนี้ กระทั่งข้าผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวใดเกี่ยวกับการวาดภาพ
ยังคิดว่าภาพวาดนี้ยอดเยี่ยม คงจะแปลกหากเจ้าไม่ชอบมัน
แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนกตัวนี้? หรือว่ามันก็ชอบภาพนี้เหมือนกันและรอไม่ได้ที่จะไปเอามา?”
เขายังไม่รู้ตัวว่าคำสามคำของฮั่วฉุ่ยโหรวเป็นดุจดั่งแส้ที่หวดฟาดตระกูลหลินอย่างร้ายกาจ
ฟาดจนพวกเขาแทบสำลักกระอักเลือด แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ยังต้องกดระงับความโกรธเพื่อรักษาหน้าตระกูลหลินเอาไว้
เพราะหลินเสี่ยวได้กล่าวไว้ก่อนหน้าว่า “....นางยังไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตระกูลหลิน
ดังนั้นทุกคนจึงยังมีสิทธิ์ที่จะไขว่คว้านาง!”
ถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง...เขาไม่อาจทนทานกับเสียงตบหน้าตนเองดังสนั่นเช่นนี้ได้
เดิมหลินเสี่ยวคิดว่าด้วยลักษณะนิสัยของฮั่วฉุ่ยโหรว นางย่อมต้องปฏิเสธภาพนั้น แต่นางกลับรับภาพมาโดยที่เขาไม่คิดฝัน
หัวใจเขาเจ็บปวดราวถูกมีดหลายเล่มกรีดแทง
ไม่มีใครสังเกตว่า
ขณะที่เย่หวูเฉินมีรอยยิ้ม หลินเสี่ยวได้ปิดตาลง
เมื่อเขาลืมตาขึ้น
ความรู้สึกปั่นป่วนเมื่อครู่ก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
นี่คือรูปแบบหนึ่งของ “พลังจิตใจ” ซึ่งเป็นหนึ่งในบัญญัติสิบประการ
[บัญญัติทั้งสิบประกอบด้วย
7 ธาตุธรรมชาติ และ 3 ธาตุลิขิตชะตา
เจ็ดธาตุธรรมชาติประกอบด้วย น้ำ , ไฟ , ลม , สายฟ้า , ดิน , แสง และความมืด สามธาตุลิขิตชะตาประกอบด้วย
ชีวิต , มรณะ และ จิตใจ]
พลังแห่งจิตใจเป็นพลังที่อัศจรรย์และยากที่จะสำแดง
เป็นพลังธาตุที่ยากต่อการประยุกต์และจับต้อง ยามที่เขามีเริ่มมีพลัง ‘ล่วงรู้อนาคต’ เพียงบางเบา เขาก็รู้ว่าพลังแห่งจิตใจได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยพยายามใช้อยู่สองสามครั้ง
อย่างไรก็ตาม วันนี้นับเป็นวันแรกที่เขาใช้งานจริง
เขาทำให้ฮั่วฉุ่ยโหรวพูดในสิ่งที่นางปรารถนา และทิ้งเบาะแสเพื่อชี้นำวิญญาณให้นกขนเขียว
ใช้พลังของตนกับฮั่วฉุ่ยโหรวและนกขนเขียว
แม้ว่าทั้งสองชีวิตจะไร้พลังแต่ก็ยังทำให้เขาเวียนหัว ทั้งยังเกือบหมดสติจนล้มลง
เขารำพึงเรื่องนี้พร้อมกับถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่า
ข้าต้องระมัดระวังการใช้พลังนี้ในอนาคต หากข้าใช้มันกับผู้ที่มีแม้พลังเล็กน้อย
ผลสะท้อนคงไม่ได้มีเพียงเท่านี้ คงกลายเป็นข้าทำร้ายตัวเองอย่างหนักแทน