วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 439

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 439 เต่าดำ

เซียวรั่วเดินหน้าครึ่งก้าว เขย่งปลายเท้าอย่างเงียบงัน ในสายตาใบหน้านั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทว่าสุดท้าย ด้วยหัวใจเยาว์วัยของหญิงสาว ทำให้นางต้องล่าถอย นางก้มศีรษะเล็กๆลง ไม่ยอมให้เขาเห็นว่านางหน้าเรื่อเป็นสีชมพู “พี่เซียว ข้าจะรอท่านกลับบ้าน.... หากชั่วชีวิตนี้ท่านไม่กลับมา ข้าจะรอคอยท่านจนชั่วชีวิต....”


วงแหวนแห่งกฎเกณฑ์ลอยขึ้นจากมือของเซียวรั่ว แตกออกเป็นชิ้นกระจัดกระจายนับไม่ถ้วน ที่ใกล้มือขวาของนาง ปรากฎประตูรูปสี่เหลี่ยม.... นี่คือประตูที่นำไปสู่อีกโลกหนึ่ง สถานที่อันเป็นบ้านแท้จริงของเย่หวูเฉิน


เวลาของนางมาถึงช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้าย นางถอยเท้าไปครึ่งก้าว สายตาไม่ละจากเย่หวูเฉิน ความเจ็บปวดที่ต้องแยกจาก ไม่เคยมีครั้งใดเจ็บปวดเท่านี้มาก่อน เพราะทั้งสองพลัดพรากกันนานกว่า 13 ปี นางคิดถึงเขาตลอด 13 ปี จมจ่อมอยู่ในฝันกลางวันตลอด 13 ปี ในที่สุดนางก็ได้พบเขาอีกครั้ง ทว่ามันกลับเป็นเวลาที่สั้นอย่างมาก สีหน้าของเขาตอนนี้กำลังซับซ้อน ใบหน้าไร้ตำหนิฉายเงาของพ่อเขาและตัวเขาในยามเด็ก ในสายตาที่พร่ามัว ความทรงจำของนางย้อนกลับไปตอนที่ได้พบเขาเป็นครั้งแรก....


..................


..................


“ท่านพ่อ ข้าคิดถึงบ้าน”


“อื้ม....”


“.....ท่านพ่อ ท่านเสียใจเหรอ?”


“เซียวเอ๋อร์ พ่อของเจ้าช่างไร้ประโยชน์จริงๆ....”


“ท่านพ่อพูดอะไร ท่านพ่อเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในโลก ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ มีอะไรทำให้ท่านพ่อโกรธเหรอ?”


“เก่งกาจที่สุดในโลกอย่างนั้นเหรอ? แข็งแกร่งที่สุดในโลกภาษาอะไรกัน กระทั่งชีวิตลูกชายตัวเองยังช่วยไว้ไม่ได้.... กระทั่งยังต้องเรียกว่าผู้ร้ายที่พรากชีวิตลูกชายตัวเอง....”


“.....ท่านพ่อ พวกเราตกลงกันแล้ว ไหนว่าจะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก ข้ามีพ่อที่ยิ่งใหญ่ถึงปานนี้ มีแม่ที่งดงามที่สุด ไม่มีใครสุขใจมากกว่าข้าอีกแล้ว ฮี่....”


ในปีนั้น เขาขันอาสาไปจากครอบครัวด้วยตัวเอง เพราะเขาและทุกคนรู้ดีว่า ชีวิตของเขาอยู่ได้เพียงปีสุดท้าย ดังนั้น ในช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา เขาจะต้องใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด แม้ว่า.... มันจะเร่งความตายของเขาให้ใกล้เข้ามาเร็วขึ้นก็ตาม


แต่ทว่า เขายังคงยิ้มแย้ม ตอนอายุหกขวบราวกับว่าเขาไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวดที่เกิดถี่ขึ้น และความตายที่ใกล้มาถึง เขาไม่เกลียดชังใดๆ ไม่บ่นว่า ไม่ผิดหวังต่อโชคชะตา บางครั้งยังยิ้มอบอุ่นราวกับไร้วันจาง รอยยิ้มของเขาจับใจผู้คนจำนวนมาก กระทั่งผู้คนต้องแอบหลั่งน้ำตาให้กับเขา


สวรรค์ช่างอิจฉาบุคคลผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ.... เด็กน้อยปานนี้ กลับมีอายุขัยที่สั้นนัก หากเขาไม่ใช่บุตรชายของคนผู้นั้น แต่เป็นเด็กธรรมดาทั่วไปในโลก พ่อของเขาคงมั่นใจอย่างยิ่งว่าสามารถช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ได้ อย่าว่าแต่ช่วยให้รอดเลย กระทั่งทำให้เขามีชีวิตอมตะพ่อของเขาก็มอบให้ได้ไม่ยากเย็นนัก ทว่าความจริงช่างโหดร้าย เขาเป็นลูกชายในสายเลือด หากพ่อของเขายังอยู่เขาจะต้องตกตาย มีทางเดียวที่เขาจะอยู่รอดได้ นั่นคือผู้เป็นพ่อต้องตายแทน


ทว่าพ่อของเขาถูกลิขิตให้ไม่อาจตายได้.... ไม่มีใครสามารถฆ่าเขา เพราะถ้าหากเขาตกตาย ชะตากรรมของทั้งโกลาหลจะพลิกผันครั้งใหญ่ ซึ่งหลงเซียวยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้


ประตูเปิดออก เขามองเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง เมื่อเขามองนาง  ราวกับว่าดวงตานางที่มองมานั้นเป็นประกายระยิบระยับ


“ท่านพ่อ น้องหญิงคนนี้เป็นลูกสาวของท่านลุงเซียวใช่ไหม?” หลงเซียวถามอยู่ข้างๆพ่อผู้ตัวสูงใหญ่ เขาจำได้ว่าในอดีตพ่อของเขาเคยพาไปเยี่ยมตอนที่นางเพิ่งเกิด


“อื้ม.... นางคือน้องหญิงรั่วรั่วของเจ้า แม้นางอายุเพียงสองขวบกับหนึ่งเดือน แต่เด็กน้อยคนนี้ฉลาดเฉลียวและรู้เรื่องราวยิ่งกว่าเด็กอายุห้าขวบ” พ่อของเขายิ้มแย้มและให้คำตอบ เขามองตรงไปเบื้องหน้า ไม่ให้ลูกชายมองเห็นความเจ็บปวดในแววตาที่ไม่อาจปิดบัง เขาบังคับตัวเองให้สงบราบเรียบ ทว่าไม่ว่าในสถานการณ์ใดเขาล้วนไม่อาจสงบใจได้ หากคนเราสามารถตัดขาดความรู้สึกกับคนในครอบครัว เช่นนั้นจะยังนับว่าเป็นมนุษย์อีกหรือ


“น้องหญิงรั่วรั่ว ข้าคือพี่เซียวของเจ้า พวกเราเคยพบกันแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นเจ้ายังเล็กมาก แน่นอนว่าเจ้าต้องจำข้าไม่ได้” หลงเซียวเดินเข้าไปทักทายเด็กหญิงตัวน้อย กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลและแผ่วเบาอย่างมาก ครั้งแรกที่เห็นนาง นางยังเป็นทารกอยู่ในผ้าอ้อม ท่านลุงเซียวยังเคยอุ้มนางอยู่หน้าวีดีโอคอลของอีกฝั่ง ดังนั้นเขาจึงจำนางได้ ส่วนนางย่อมไม่อาจจำได้ว่าเคยพบเขามาก่อน


“....พี่เซียว” เสียงไร้เดียงสาของเด็กหญิงตอบกลับมาค่อนข้างเหนียมอาย นางออกเสียงได้อย่างชัดเจนยิ่ง สำเนียงถูกต้อง ไม่ตะกุกตะกักเหมือนเช่นเด็กอายุสองขวบทั่วไป หลงเซียวไม่แปลกใจนัก ด้วยพรสวรรค์ของท่านลุงเซียว สามารถให้กำเนิดธิดาอัจฉริยะปานนี้ย่อมถือเป็นเรื่องธรรมดา


เนื่องจากพ่อของนางไม่ว่าง ดังนั้น เขาจึงนำนางมาฝากไว้ที่นี่


“ฮี่ ดีเลย จากนี้ไปก็มีคนอยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าแล้ว รั่วรั่วอยากมาเล่นกับข้าบ่อยๆมั้ย?” หลงเซียวหยิบขนมหวานสองอันออกจากกระเป๋า ถือไว้อันหนึ่ง และวางอีกอันหนึ่งไว้บนมือและยื่นให้เด็กหญิง “นี่คือวิธีที่ท่านพ่อสอนไว้กับข้า ถ้าหากอยากเล่นกับผู้หญิงคนไหน ให้กินขนมด้วยกันกับนาง ถ้านางกินมัน แปลว่านางสัญญากับข้าแล้ว....”


นางสัมผัสจับใจในน้ำเสียงและความอบอุ่น นางไม่อาจช่วยได้ ทำได้เพียงเงยศีรษะขึ้นมองอย่างเอียงอาย เป็นเวลาเนิ่นนานไม่อาจถอนสายตาออกจากเขา


นางหยิบขนมหวานสีแดงขึ้น แกะห่อกระดาษออก กระพริบตามองมัน อ้าปากเล็กน้อยแล้ววางขนมหวานลงในปาก เคี้ยวมันด้วยฟันอ่อนเยาว์จนหมดสิ้น เวลานั้น นางไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดตัวนางที่ไม่เคยรับขนมจากคนแปลกหน้าถึงได้กินขนมหวานของเขาราวกับต้องมนต์


“ท่านพ่อ ข้ากับน้องหญิงจะออกไปเล่นกันนะ”


“อื้ม” พ่อของเขายิ้มแย้ม มองเด็กชายพาเด็กหญิงตัวเล็กๆออกไป พ่อของนางเป็นสหายกับพ่อของเขา สนิทกันราวกับเป็นพี่น้อง พ่อของนางกล่าวอย่างห้าวหาญว่ามีเพียงลูกชายของเขาเท่านั้นที่คู่ควรกับลูกสาวของตน ทั้งไม่ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ใด.... พ่อของเขาบอกว่าจะทำทุกอย่าง หาทุกวิธีเพื่อช่วยชีวิตของลูกชาย


แต่.....


ทว่า.....


เขาทำได้เพียงอยู่ร่วมกับลูกชายเป็นปีสุดท้าย ตามใจทุกอย่างที่ลูกชายต้องการ.... ขณะเดียวกันก็หาทางทุกวิธีที่เป็นไปได้


“ดูนี่สิ นี่เพื่อนสนิทของข้า มันน่ารักมาก” เด็กชายและเด็กหญิงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยกัน ระหว่างทั้งสองมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กตัวประมาณฝ่ามือ มันหดคอในกระดองมองยังพวกเขา


“เต่าน้อย” เด็กหญิงตัวเล็กส่งเสียงแผ่วเบา


“ไม่ๆ มันไม่ได้เรียกว่าเต่าน้อย มันเรียกว่าเต่าดำน้อย ท่านพ่อมอบมันให้กับข้า มันแข็งแกร่งมาก เมื่อมีมันอยู่จะไม่มีใครกล้ารังแกข้า.... เต่าดำน้อย นี่คือน้องหญิงแสนดีของข้า นางเรียกว่ารั่วรั่ว จากนี้ไปเจ้าต้องคอยปกป้องนางให้ดี”


สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เต่าดำน้อย’ เข้าใจคำพูดของเขาอย่างคาดไม่ถึง มันยื่นคอยาวของมันออกมาฉับพลัน ทำให้เด็กหญิงตกใจจนล้มคะมำ ทว่าเมื่อมันผงกหัว ท่าทางของมันน่ารักราวกับทักทาย เวลานี้เองความกลัวของนางจึงหายไป ฉับพลันแทนที่ด้วยรอยยิ้ม


....................


....................


เศษเสี้ยวความทรงจำลอยผ่านอย่างอ้อยอิ่ง ร่างของเซียวรั่วเหยียบเท้าเข้าประตู ประกายแสงสีเหลืองจางพานางให้หายไปพร้อมกัน ไม่เหลือร่องรอยใดๆทิ้งไว้


เย่หวูเฉินยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น หัวใจกลายเป็นว่างเปล่า ในสมองทะลักล้นด้วยความสับสนและสูญเสีย รวมถึงความผิดหวังอันล้ำลึก


เซียวรั่ว เขาจดจำชื่อนี้ได้.... แม้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางในความทรงจำนี้ แต่จากหัวใจที่สั่นไหว ทั้งความรู้สึกเรียกหาอันล้ำลึก ทำให้เขารู้ว่าครั้งหนึ่งเขากับนางเคยผูกพันกันเพียงใด ความรู้สึกสูญเสียและว่างเปล่าที่เขาประสบอยู่นี้ ย่อมไม่ใช่เพียงเพราะนางเป็นคนที่มาจากโลกเดียวกัน


“เต่าน้อย” เย่หวูเฉินจับเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เซียวรั่วมอบให้ เรียกชื่อมันเหมือนกับตอนที่เซียวรั่วเรียกมันยามครั้งแรกที่ได้เห็น


ร่างของเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้แข็งและเล็กอย่างยิ่ง หากมันซื่อสัตย์อย่างที่สุด ฉับพลันมันตะกายขาทั้งสี่อย่างรุนแรง เย่หวูเฉินวางมันลงบนมือซ้าย “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการเลือดของข้า”


ปลายนิ้วถูกเฉือนด้วยปราณบางเบา เลือดไหลลงมาสองหยด ตกลงบนกระดองสีดำ จากนั้นถูกดูดซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว หายไปอย่างไร้ร่องรอย วงแหวนไร้สีสว่างวาบออกจากตัวมัน ตัวมันสั่นเล็กน้อยและกลายเป็นสงบนิ่ง


“เต่าดำน้อย.... เต่าดำน้อย....”


ในสมองมีเสียงอ่อนเยาว์ดังขึ้นแผ่วเบา นี่คือเสียงลูกสาวของเขาซือเฉิน ไม่ทราบว่านางตื่นขึ้นในห้วงสติของเขาตั้งแต่เมื่อใด


เต่าดำน้อย....


เต่าดำ....


“เจ้าเรียกว่าเต่าดำน้อยอย่างนั้นหรือ?” เย่หวูเฉินมองสำรวจอย่างระวัง เอ่ยถามเสียงเบา


เต่าดำน้อยเข้าใจถ้อยคำของเขาอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเล็กๆของมันเป็นประกายทันใด ลำคอยาวของมันผงกรัวๆ มันตื่นเต้นที่เจ้านายตัวน้อยของมันเรียกชื่อมันอีกครั้ง


“เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของข้าในตอนเด็กใช่หรือไม่?”


เต่าดำน้อยผงกหัวอีกครั้ง ฉับพลันมันกระโดดออกจากมือของเย่หวูเฉินลงสู่พื้น  มันกระโดดหยองๆบนพื้นเพื่อแสดงความดีใจ ทว่าสีหน้าของเย่หวูเฉินเปลี่ยนไปทันที


เนื่องจากแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน


เต่าดำน้อยมีร่างกายที่เล็กมาก สามารถจับได้ด้วยมือเดียว กระทั่งใส่เก็บไว้ในกระเป๋าได้ ทว่าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆนี้ กระโดดแต่ละครั้งผืนดินกลับสะเทือน.... ยิ่งกว่านั้นยังสะเทือนไม่ใช่เล็กน้อย กำแพงที่อยู่ไม่ไกลทางขวามือ กำลังเริ่มปรากฎรอยร้าว


“ปาตู้ว.... ปาตู้ว....”


เจ้าเต่าดำน้อยเริ่มส่งเสียงตื่นเต้น เสียงของมันไม่ดังมากนัก ทว่านำมาซึ่งความหนักหน่วงผิดธรรมดา เย่หวูเฉินจับมันขึ้นมา แผ่นดินหยุดสั่นสะเทือนในที่สุด ทว่ายามนี้บริเวณโดยรอบที่เคยสงบกำลังแตกตื่น แต่ละคนล้วนเข้าใจว่าเกิดแผ่นดินไหว


“ไปกันเถอะ”


เย่หวูเฉินลอยร่างขึ้นกลางอากาศ บินกลับไปสู่ตระกูลเย่


ในโลกที่เขาเคยอยู่มันถูกเรียกว่า ‘เต่าดำอุดร’ คือหนึ่งในห้าอสูรเซียนเช่นเดียวกับ มังกรครามบูรพา , วิหคเพลิงประจิม , พยัคฆ์ขาวทักษิณ และราชันกิเลนศักดิ์สิทธิ์ มันคืออสูรเซียนที่ครอบครองพลังปฐพีขั้นสูงสุด!




<<<PREV    .    NEXT>>>