วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 488

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 488 องค์หญิงไป่เย่

เย่หวูเฉินลอยร่างนิ่งงันอยู่กลางอากาศ มือสองข้างจับกระบี่เอียงลงอยู่ในท่าฟันกระบี่ ราวกับเวลาหยุดนิ่งลง.... ทว่าในขณะถัดไป กระบี่ตัดดาราได้ร่วงลงจากมือ แสงทองคำยังไม่สลายไปหมดสิ้น มันหล่นลงไปยังไม่ทันถึงพื้นทรายก็กลายเป็นแสงทองพุ่งกลับมาที่หน้าผากของเย่หวูเฉิน

ดาราวินาศมีพลังทำลายล้างมากเกินไป หากไม่ควบคุมพื้นที่ให้ดี มันย่อมตัดผืนทะเลทรายเบื้องล่างให้กลายเป็นหุบเหว อย่างไรก็ตาม พลังที่เย่หวูเฉินใช้ออกในคราวนี้ยังไม่สมบูรณ์ ไม่ใช่ดาราวินาศที่สมบูรณ์แบบ พลังโจมตีที่รั่วไหลจึงอ่อนแอ อีกทั้ง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อหนิงเสวี่ยและทงซินที่อยู่ใกล้ๆ เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่ควบคุมระยะโจมตีให้เหลือน้อยที่สุด มีเพียงห้วงอากาศที่ถูกกวาดผ่านจนถึงเย่หมิงเท่านั้นที่ถูกโจมตี....

ห้วงอากาศเบื้องหน้ากลายเป็นสูญญากาศ อากาศโดยรอบไหลเติมเข้ามาทันที ท่ามกลางกระแสลมปั่นป่วนไร้เงาของเย่หมิง ดวงตาของเย่หวูเฉินปิดลงช้าๆ แววตาปกคลุมด้วยสีเทา ร่างกายร่วงตกลงไปยังเบื้องล่าง กระทบลงสู่ผืนทะเลทราย ด้วยร่างของเขามีภูมิต้านทานต่อพลังปฐพี ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลจากทะเลทรายกว้าง เขานอนทอดร่างอยู่บนทะเลทรายนั้น ไร้การเคลื่อนไหว ไร้เสียงใดๆแม้แต่น้อย

“ท่านพี่!” หนิงเสวี่ยนิ่งงัน จากนั้นราวกับคนบ้าตะกุยม่านพลังทองคำ มือเล็กๆแดงก่ำทุบม่านพลังโดยไม่รู้จักเจ็บปวด เมื่อครู่นี้เพราะแสงทองคำให้ตาของนางพร่ามัวมองไม่เห็นสิ่งใดอยู่ชั่วขณะ เมื่อสายตากลับคืนมา นางเห็นพี่ชายร่วงลงไปเบื้องล่าง ราวกับ.... คนตายอย่างไรอย่างนั้น

คู่ดวงตาของทงซินกลายเป็นสีดำน่าหวาดหวั่น นางโอบหนิงเสวี่ยไว้เพื่อปกป้อง จากนั้นส่งพลังเข้าสู่กริชเทพพิโรธ กัดฟันแน่นแทงกริชลงไปที่ม่านพลัง....

เย่หมิงหายไปแล้ว หลังจากที่ม่านพลังนี้ถูกทำลาย มันย่อมไม่อาจฟื้นฟูได้อีก!

ทว่าเมื่อกริชเทพพิโรธแทงลงไปได้ครึ่งทาง ทงซินพลันแหงนศีรษะขึ้นมองบนอากาศ ดวงตาดำขลับแทนที่ด้วยความแตกตื่นชนิดที่ยากจะพบเห็น!

เหนือท้องฟ้า เพลิงทองคำกำลังลุกไหม้ ใบหน้าสมบูรณ์แบบ ชุดเกราะทองคำ หอกคมที่ไขว้หลัง และท่าทางที่โกรธเกรี้ยว.... เป็นเย่หมิงในสภาพร่างกายสมบูรณ์!

“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมมาก....” น้ำเสียงของเย่หมิงสั่นเครือเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกต เขายังไม่ตกตายภายใต้ ‘ดาราวินาศ’ ชุดเกราะยังคงสมบูรณ์ ไร้บาดแผลหรือรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย กลิ่นอายไม่ได้อ่อนแอลง เพียงปั่นป่วนอยู่บ้างเท่านั้น “เมื่อครู่ กระทั่งข้ายังคิดว่าตัวเองคงต้องตายแล้ว.... ไม่นึกเลยว่าผู้ที่ทำให้ข้าได้ลิ้มรสชาติสิ้นหวังแห่งความตายจะกลับกลายเป็นมนุษย์!!”

เย่หวูเฉินเปิดตาขึ้นอย่างยากลำบาก มองไปยังเย่หมิงที่อยู่บนอากาศ.... สายตาของเขาพร่าเลือนอย่างมาก เห็นร่างที่อยู่สูงขึ้นไปไม่กี่ลี้เป็นเพียงเงาทองรางๆ สติที่หลงเหลืออยู่ได้บอกกับเขาว่า มันได้หลบเลี่ยง ‘ดาราวินาศ’ ที่ล็อคตรึงร่าง กระบี่ไม่ได้ฟันถูกมัน มันหลบหนีได้อย่างเฉียดฉิวในช่วงเวลาสุดท้าย

พลังมิติ.... เขาย้ายร่างจากหอคอยปีศาจมายังที่นี่ ทว่าจากระยะทางหลายพันลี้ เย่หมิงกลับตามมาถึงได้ในพริบตา การหลบหนีออกจากพลังตรึงร่าง มีเพียงต้องใช้พลังมิติเท่านั้น ไม่ว่าพลังมิติจะเบาบางหรือเจือจางเพียงใด ต่อให้ถูกพลังใดๆตรึงร่างไว้ ก็ย่อมสามารถหนีออกมาได้ด้วยพลังมิติ

“ไม่แปลกใจเลยที่เจวี๋ยเทียนและลู่เทียนตกตายอยู่ที่นี่ ดูเหมือนพวกมันไม่ได้ตายโดยไร้เหตุผล” สีหน้าของเย่หมิงเกรี้ยวกราดดุดัน แม้ว่าเขาจะหนีตายได้อย่างเฉียดฉิว ทว่าเงาทะมึนแห่งความตายยังพาดผ่านอยู่ในใจ ไม่ว่าจะแกร่งกล้าเพียงใด หากได้เฉียดผ่านความตายแล้ว หัวใจย่อมเกิดความกลัวเป็นครั้งแรก ในห้วงโกลาหลผู้ที่สามารถใช้พลังมิติได้ไม่นับว่าหายาก ทว่าผู้ที่ใช้พลังมิติอันบริสุทธิ์นั้นหาได้ยากยิ่ง พลังมิติของเย่หมิงเกิดจากการฝืนเปลี่ยนพลังของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่อาจเทียบกับเซียงเซียงได้ การเคลื่อนตัดมิติแต่ละครั้งจึงต้องใช้เวลาเตรียมการยาวนาน เมื่อครู่นี้หากเย่หมิงช้าอีกเพียงเสี้ยววินาทีเดียว เขาย่อมถูกพลังของดาราวินาศกลืนกิน ต่อให้ไม่ตกตาย ก็ย่อมเจ็บหนักอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

มนุษย์และเทพมีร่างลักษณะที่เหมือนกัน เนื่องจากที่จริงแล้วเทพก็คือมนุษย์ ทว่าเมื่อใช้ชีวิตอยู่ในห้วงมิติที่มีพลังแกร่งกล้า มนุษย์จึงทรงพลังขึ้น แต่สำหรับเย่หมิงแล้ว เขาคือขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเทพ ทำให้มีปกติเหยียดหยามต่อมนุษย์ ยามนี้เมื่อเกือบตกตายด้วยน้ำมือของมนุษย์ หัวใจจึงโกรธเกรี้ยว , ตื่นตระหนก , หวาดกลัว , ชิงชัง และอัปยศ ความรู้สึกอัปยศพุ่งถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยเป็น

มนุษย์สะดุดล้มอาจไม่นับเป็นสิ่งใด แต่มนุษย์สะดุดล้มเพราะมดไหนเลยเขาจะยอมรับได้

“ตายซะ!” เย่หมิงยื่นมือขวาออกมาครึ่งแขน เล็งไปยังพื้นตรงจุดที่เย่หวูเฉินนอนอยู่และไม่อาจเคลื่อนไหว

“อย่านะ! อย่าทำร้ายพี่ชายข้า.... อย่าทำนะ อย่าทำ!!” หนิงเสวี่ยทุ่มเทกระแทกม่านพลังที่กั้นนางไว้ สองตาพร่ามัว ตะโกนสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว

ชีวิตได้ผ่านพัดไป พลังสุดท้ายไม่อาจประคองเปลือกตาให้เปิดได้อีก เปลือกตาของเย่หวูเฉินปิดลงช้าๆ ดวงตาปรารถนามองไปยังหนิงเสวี่ยและทงซิน เสียงของหนิงเสวี่ยกำลังสะอื้นโศกครวญและอ่อนแอ ดวงตาของเขาปิดสนิทลงในที่สุด.... โลกหล้ากลายเป็นผืนมืดมิด

จบสิ้นแล้ว....

เสวี่ยเอ๋อร์ ทงซิน.... ต่อหน้าเทพ สุดท้ายข้าก็ไม่อาจปกป้องพวกเจ้า....

เทพ.... ในเมื่อมีมนุษย์อยู่แล้ว เหตุใดยังต้องมีตัวตนอย่างเทพอีก.... ในเมื่อมีตัวตนอย่างเทพแล้ว เหตุใดถึงปล่อยให้เทพที่มนุษย์ไม่อาจต่อต้าน ปรากฎตัวยังสถานที่ๆไม่สมควรเช่นทวีปเทียนเฉิน

ไม่ยุติธรรมเลย....

เทพ....

โกลาหล....

เซียวรั่วเคยบอกว่า เขาคือราชันโกลาหล.... ถูกต้อง ราชันโกลาหล

เขาคือราชันแห่งทวีปเทียนเฉิน คือราชันแห่งมวลมนุษย์....

โกลาหล ใช่แล้ว ข้าทำได้เพียงควบคุมมนุษยชาติ หากสามารถคว้ากุมโกลาหลเอาไว้ในกำมือ เช่นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องใด ไม่ว่าในห้วงมิติไหน เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก.... เขาบรรลุเป็นราชันโกลาหลได้ แต่เหตุใดข้าถึงทำไม่ได้....

ทำไม....

เซียงเซียง บอกข้าทีว่าทำไม?

หนานเอ๋อร์ บอกข้าทีว่าทำไม....

ซือเฉิน บอกข้าทีว่าทำไม....

หากยังไม่ถึงชั่ววินาทีสุดท้าย ตราบใดที่แสงสว่างแห่งความหวังยังไม่ดับสูญ ข้าไม่เคยยอมแพ้.... แต่ทว่า ตอนนี้ข้าจะทำสิ่งใดได้....

ไม่มีใครในพวกนางกล่าวตอบ เซียงเซียงมีปกติไม่พูดแม้ครึ่งคำ หนานเอ๋อร์ถูกผลกระทบจาก ‘ดาราวินาศ’ เนื่องจากเย่หวูเฉินฝืนใช้มันออกมา ถึงแม้จะผลาญพลังชีวิตเพื่อแลกกับการดูดซับพลังมหาศาล หากยังคงไม่เพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงผลสะท้อนกลับเหมือนครั้งที่ฝืนใช้ ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ อย่างไรก็ตาม หนานเอ๋อร์ติดอยู่ในกระบี่และไม่อาจทนรับพลังมหาศาลนี้ได้ สติของนางจึงดับวูบลงชั่วคราว ซือเฉินใช้พลังทั้งหมดช่วยเย่หวูเฉินไว้เมื่อหกเดือนก่อน ตอนนี้จึงยังหลับลึกอย่างต่อเนื่อง ไม่ส่งเสียงใดๆอีก นางไม่ทราบเลยว่าพ่อของนางในยามนี้ กำลังตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง

การมองเห็นได้หายไป การได้ยินได้หายไป สุดท้ายสติได้กระจัดกระจายในห้วงความชิงชังอันล้ำลึก โลกหล้ากลายเป็นเงียบงัน

“อย่านะ อย่าทำร้ายพี่ชายข้า.... ได้โปรดอย่าทำร้ายพี่ชายข้า.... ข้าจะตามท่านไปไม่ว่าท่านจะพาข้าไปไหน ได้โปรดอย่าทำร้ายพี่ชายข้า!”

ม่านพลังทองคำถูกทุบ ‘ปัง ปัง ปัง’ จากหมัดน้อยๆของหนิงเสวี่ย เสียงของนางโศกเศร้าราวกับจะรีดน้ำตาเป็นสายเลือด ทำให้ผู้คนที่ได้ฟังหัวใจแตกสลาย น้ำตานางได้อาบท่วมเต็มใบหน้า

เย่หมิงเคลื่อนสายตามอง ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าสงบ “องค์หญิงไป่เย่ มันเป็นเพียงมนุษย์ต่ำต้อย ไม่คู่ควรให้ตัวตนอย่างท่านขอร้องเพื่อมัน.... มาเถอะ กลับไปยังสถานที่ที่สมควรกับท่าน เมื่อกลับไปถึงท่านจะลืมมนุษย์ผู้นี้ทันที!”

แสงทองคำสว่างออกจากฝ่ามือของเย่หมิง แม้แสงนั้นจะเจือจางมากจนแทบไม่อาจสังเกต ทว่าดวงตาของหนิงเสวี่ยเบิกกว้างขึ้นทันที.... เนื่องจากสำหรับนางแล้ว แสงนั้นที่สว่างวาบกำลังจะพรากชีวิตของพี่ชายนางให้จากไปตลอดกาล นางจะไม่ได้เห็นเขาอีก ไม่ได้ยินเสียงของเขา ไม่อาจได้กลิ่นเขา ไม่อาจพิงซบอยู่ในอ้อมแขน

หัวใจสั่นสะท้าน โลหิตกำลังเดือดพล่าน สติกำลังไหวสั่น สายตาสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับมีบางอย่างกำลังถูกทลาย จนใกล้จะระเบิดออก....

จะสูญเสียพี่ชายไปไม่ได้....

ต่อให้สูญเสียทุกอย่าง ก็ไม่อาจสูญเสียท่านพี่

เป็นท่านพี่ที่มอบความอบอุ่นแรกในชีวิต เป็นคนแรกที่มอบครอบครัวให้ เป็นคนแรกที่มอบชีวิตให้กับข้า มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ข้าจนหมดสิ้น....

“ไม่นะ....”

“ไม่!!!!”

ตูม!!!!

ท่ามกลางหนึ่งเสียงสะอื้นไห้ตะโกนลั่น ม่านพลังทองคำที่ห้อมล้อมหนิงเสวี่ยและทงซินได้ระเบิดออก พลังทองคำกระจัดกระจายไปทุกทิศ ร่างของเย่หมิงสะท้านวูบ พลังที่กำลังจะปลดปล่อยต้องหยุดชะงักลง เพียงหันศีรษะมาก็ต้องสะท้านร่างด้วยแสงขาวที่บดบังท่วมฟ้า

ห้วงอากาศกลายเป็นแสงขาว เป็นแสงขาวที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์อย่างสูงสุด ทุกซอกมุมถูกปกคลุมด้วยธาตุแสงอันบริสุทธิ์ยิ่ง แม้ว่าแสงขาวนี้จะทรงพลัง ทว่ายังไม่อาจเปรียบเทียบกับแสงทองคำของดาราวินาศ กระทั่งเพลิงทองคำของเย่หมิงยังไม่ถูกบดบัง กลับกันมันสว่างโร่เป็นสีทองในโลกสีขาว

“นี่คือ.... องค์หญิง.... ไป่เย่อย่างนั้นรึ!?” เย่หมิงถอนมือกลับ ส่งเสียงต่ำด้วยความตะลึง

ในโลกสีขาวบริสุทธิ์ มีเสียงร้องไห้อ่อนโยนโชยแผ่วมาช้าๆ.... เสียงนี้นุ่มนวลอย่างมาก สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์เหนือสิ่งใดเปรียบ บ่งบอกว่าเจ้าของเสียงสะอื้นนี้จะต้องเป็นเทพธิดาที่งามล้ำ เพราะกระทั่งเสียงยังไม่อาจปรากฎอยู่บนโลกมนุษย์ แต่เป็นได้เพียงเสียงของเทพธิดาในตำนานเท่านั้น

“เคล็ดเทวะต้องห้ามแห่งผีเสื้อขาว - แสงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาล!”

“อะไรนะ?” ได้ยินคำว่า ‘แสงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาล’ เย่หมิงตกตะลึงอย่างหนัก ตอนนี้สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เบื้องล่าง ธาตุแสงโดยรอบได้สลายไป เหลือแต่แสงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์กลุ่มหนึ่งที่ปกคลุมร่างของเย่หวูเฉิน , หนิงเสวี่ย และทงซินทั้งสามคนไว้ ด้านในเป็นสีขาว ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดในนั้นได้แม้แต่น้อย

เย่หมิงย่นหัวคิ้วลง กัดฟันกล่าวแผ่วเบา “เกิดอะไรขึ้น! คำสาปของจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือสมควรแกร่งกล้าอย่างยิ่ง นอกจากองค์เทพจักรพรรดิแล้ว กระทั่งข้ายังไม่อาจคลายออก.... ใช่แน่ๆ นี่คือเสียงขององค์หญิงไป่เย่ ด้วยสภาพพลังของนางในยามนี้ องค์หญิงกลับสามารถทำลายคำสาปนี้ได้.... นี่มันเกิดอะไรขึ้น! หรือจะเป็นอย่างที่เจ้าพวกนั้นพูดกัน จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือได้ตายมานานแล้ว คำสาปที่ทิ้งไว้จึงเริ่มเสื่อมลง?”

“ในเมื่อองค์หญิงไป่เย่สามารถทำลายคำสาป ความทรงจำย่อมสมควรกลับมาแล้ว แต่เหตุใดนางถึงยังปกป้องมนุษย์ผู้นั้น กระทั่งไม่ลังเลใช้เคล็ด ‘แสงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาล’” เย่หมิงกล่าวอย่างหงุดหงิด หัวคิ้วขมวดแน่นขึ้นและพ่นลม “เฮอะ.... ตราบใดที่โลกนี้ยังมีแสงสว่าง ม่านพลังของแสงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาลจะไม่มีวันถูกทำลาย! แต่ด้วยพลังขององค์หญิงไป่เย่ในยามนี้ ม่านพลังที่สร้างขึ้นย่อมไม่อาจรักษาอยู่ได้นาน.... ให้ข้าดูซิว่าท่านจะดิ้นรนได้อีกนานแค่ไหน!”



<<<PREV    .    NEXT>>>