วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 452

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 452 วันแต่งงาน

อาณาจักรต้าฟง เมืองเทียนฟง ในห้องหนังสือของราชวัง

“เสด็จพ่อ ตอนนี้ขวัญกำลังใจของกองทัพถดถอย พวกเราคงต้องถอนทัพกลับก่อนและสงบศึกชั่วคราว” ฟงหลิงกล่าวกับฟงเลี่ยที่มีใบหน้าบึ้งตึง ปีใหม่ได้มาเยือน อากาศอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิเริ่มมาถึง ทว่าเมฆหมอกในหัวใจยิ่งมายิ่งทะมึน

“ฮึ่ม!” ฟงเลี่ยทิ้งร่างลงนั่งหนักหน่วง กล่าวเสียงต่ำ “พวกเรารอคอยมานานเกินกว่า 20 ปี เตรียมการมานานเกินกว่า 20 ปี แล้วนี่ต้องรอไปอีกถึงเมื่อไหร่.... ประเสริฐนักคุยหลงจี ทีแรกแสดงท่าทีเป็นมิตร พอถึงยามสงครามกลับแทงมีดเข้าใส่ หากไม่ใช่เพราะคุยหลงจี กองทัพของพวกเราคงบุกทะลวงไปถึงเมืองเทียนหลงแล้ว!”

ฟงหลิงถอนหายใจ “เสด็จพ่อโปรดอย่าโกรธกริ้วเลย เรื่องนี้โทษได้เพียงอาณาจักรเทียนหลง เดิมทีมีเย่หนู่และเย่เว่ยก็รับมือยากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีชูเกอเสี่ยวหยูโผล่มาอีกคน กองทัพของพวกเราย่อยยับเพราะน้ำมือนางมาแล้วหลายครั้ง เสด็จพ่อโปรดฟังคำของบุตร เวลานี้กองทัพเทียนหลงได้รับชัยชนะต่อเนื่อง ขวัญเกล้ากำลังฮึกเหิม สมควรหลีกเลี่ยงการรบไว้ชั่วคราว ระหว่างนี้ต้องทำทุกวิถีทาง ส่งคนลอบสังหารบรรดาขุนพลของเทียนหลง คนเหล่านั้นน่ากลัวยิ่งกว่าทหารและม้านับพัน โดยเฉพาะเย่เว่ย เย่หนู่ และชูเกอเสี่ยวหยู”

ฟงเลี่ยเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าคลายออกเล็กน้อย เขาตบมือลงบนพนักวางแขนหนักหน่วง “ลงมือทันที ทำอย่างที่เจ้าว่า ให้ถอนทัพก่อนชั่วคราว”

“บุตรทราบแล้ว”

ทิศทางของสงครามได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ผลลัพธ์เป็นอย่างที่แทบทุกคนคาดไว้ ฟงหลิงเริ่มรู้สึกรางๆว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากมือที่คอยชักใยอยู่ในความมืด

......................

......................

ฤดูหนาวมาถึงคราวสิ้นสุด หิมะละลายพร้อมอุณหภูมิที่เริ่มอบอุ่น ฤดูใบไม้ผลิกำลังใกล้เข้ามาถึง

เย่หนู่และเย่เว่ยยังคงประจำการอยู่ที่ชายแดน ชูเกอหวูอี้และชูเกอเสี่ยวหยูประจำอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน ไม่เคยอาศัยช่วงเวลาที่สงครามเริ่มสงบกลับบ้านแม้แต่คราเดียว

หลังจากศูนย์กลางสำนักจักรพรรดิเหนือถูกทำลาย ผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุดคือสำนักจักรพรรดิใต้ ภายใต้การชี้นำของฉุ่ยหยุนเทียน ในที่สุดสำนักจักรพรรดิใต้ก็ยอมศิโรราบต่อจักรพรรดิมาร ยกเขาให้อยู่ในฐานะจอมราชัน ส่วนสำนักจักรพรรดิเหนือ.... เหยียนต้วนหุนและเหยียนเทียนสงไม่เคยปรากฎตัวอีกเลย สมควรตายในการระเบิดแล้ว สำนักจักรพรรดิเหนือที่กระจายอยู่ทั่วโลกถูกค้นหาทีละคนโดยสำนักมาร ถูกชำระจนสะอาดเอี่ยม แต่การชำระนี้ตรงกันข้ามกับความตาย พวกเขาแสดงหยกจักรพรรดิเหนือที่สูญหายไปกว่าร้อยปี เพื่อยืนยันสถานะของประมุขให้ยอมรับ

สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือไม่ได้สิ้นสูญไปจริงๆ แต่ถูกกุมไว้ในมือบุคคลผู้หนึ่งในช่วงเวลาเสื่อมโทรม เพื่อนำกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง

จักรพรรดิแห่งคุยชุย คุยหลงจีจู่ๆก็ประกาศข่าวดีให้โลกรู้หลังจากสงครามสงบลงชั่วคราว เขาอ้างว่าได้พบบุตรชายที่เกิดกับสามัญชนโดยบังเอิญ ทั้งยังพิสูจน์ต่อหน้าขุนนางและผู้คนจำนวนมากที่จัตุรัสในเมือง หยดเลือดพิสูจน์ว่านี่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา นับแต่นั้นก็ไม่มีผู้ใดสงสัย หลังจากข่าวแพร่ออกไป อาณาจักรคุยชุยตั้งแต่สูงยันต่ำล้วนปิติยินดี หมดความกังวลเรื่องไร้ผู้สืบทอดราชวงศ์ เหยียนจื่อซินถูกเรียกว่าคุยจื่อซินนับแต่นั้น กลายเป็นองค์รัชทายาทแห่งคุยชุย นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งข่าวดี เมืองหนึ่งของคุยชุยที่ถูกยึดไว้ได้รับการกอบกู้ในที่สุด อาณาจักรต้าฟงได้ถอนทัพออกไป ปีนี้จึงเรียกว่าเป็นปีของคุยชุย

ทั้งอาณาจักรมีความสุขอย่างมาก เนื่องจากความหนักอกได้กลายเป็นความผ่อนคลาย สัญญาณเหล่านี้ล้วนแสดงถึงแนวโน้มที่ดีขึ้น

เย่หวูเฉินยังคงไม่ทำสิ่งใด อย่างน้อยก็ในสายตาคนภายนอก เขาออกไปข้างนอกไม่บ่อยนัก กิจวัตรประจำวันของเขาคือนอน หรือไม่ก็เล่นกับสาวๆที่อยู่รอบกาย ทงซินสูญเสียพลัง แต่กลายเป็นว่านางยิ่งพัวพันเขาหนักขึ้น ไม่ว่าเขาไปที่ใดนางจะตามไป เสี่ยวโม่อาศัยอยู่กับเย่หวูเฉินเช่นกัน เป็นเวลานานแล้วที่คนในตระกูลเย่คุ้นชินกับการที่นางเรียกเย่หวูเฉินว่า ‘ท่านพ่อ’

เย่ฉุยเหยาคอยดูแลจัดการธุระทั้งหมดของตระกูลเย่อย่างเงียบงัน นางทำในสิ่งที่นางอยากทำและต้องทำ อย่างไรก็ตาม ตระกูลเย่ตั้งแต่สูงยันต่ำไม่รู้เลยว่าสิ่งที่นางทำบ่อยที่สุดคือการอุ่นเตียง นางยังคงเย็นชาอยู่เสมอ ทว่าเสน่ห์ที่แผ่ออกมายิ่งร้ายกาจขึ้นทุกวัน เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในต้าฟงในอดีต ทำให้การแต่งงานของนางไม่ถูกยกขึ้นพูดอีก ปีนี้นางอายุ 23 ปี ระหว่างช่วงเวลานี้ ไม่ทราบว่าหวังเวิ่นชูถูกรบเร้าจากผู้คนมากเพียงใด จนหวังเวิ่นชูต้องถามเย่ฉุ่ยเหยาถึงสองครั้ง ทว่าในที่สุด แม้นางจะยังห่วงเรื่องความสุขชั่วชีวิตของลูกสาวตนเอง แต่นางก็ไม่ฝืนบังคับการตัดสินใจของลูกสาวอีก

ฮั่วฉุ่ยโหรวใช้เวลาส่วนใหญ่กับความสุขที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือการตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับว่าที่สามีนาง นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่ใกล้มาถึง นั่นคือ.... การเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว เพราะช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ คือเวลาที่เย่หวูเฉินเคยบอกว่าจะแต่งงาน นางตัดเตรียมและลองชุดเจ้าสาวของตัวเองอยู่หลายครั้ง กระทั่ง.... ยังแอบตัดชุดเด็กไว้ มีทั้งของเด็กชายและเด็กหญิง เมื่อนางทำเสร็จก็จะเก็บไว้ในกล่องเล็กๆของนาง ไม่ยอมให้ใครเห็น.... ทุกครั้งที่จินตนาการถึงลูกๆในอนาคต นางจะต้องอมยิ้ม.... เด็กๆจะเหมือนเขาหรือเหมือนนางมากกว่ากัน.... หากเป็นเด็กชายคงสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับเขา หากเป็นเด็กหญิงก็คงฉลาดหลักแหลมแบบเขาเช่นกัน

หลงฮวงเอ๋อร์เอาจริงเอาจังกับการเป็นจักรพรรดินี ทุกวันจะทำหน้าที่ทุกอย่างที่จักรพรรดิที่ดีพึงทำ เป็นเวลานานแล้วที่ผู้คนในเมืองเทียนหลงยอมรับจักรพรรดิผู้เป็นสตรี การถอนทัพต้าฟงออกจากขอบชายแดน รวมถึงคำสาบานของนางก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้คนที่ต่อต้านยิ่งมายิ่งน้อยลง ตรงกันข้าม เสียงชื่นชมจากจริงใจยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ สรรเสริญนางว่าคือผู้นำพาความรุ่งเรืองมาสู่เทียนหลง เฮยเซียงที่เคยติดตามหลงหยินได้เปลี่ยนมาติดตามจักรพรรดินี และยามนี้กลายเป็นผู้ปกปักษ์ของนาง ความภักดีที่เขามอบให้กับหลงฮวงเอ๋อร์ไม่ด้อยไปกว่าหลงหยิน (ในสายตาคนทั่วไป) ไม่ว่าผู้ใดแสดงอาการดูถูกหลงฮวงเอ๋อร์ สิ่งแรกที่พวกมันจะได้เจอคือจิตสังหารของเฮยเซียง

นอกจากเฮยเซียงแล้ว เย่หวูเฉินยังมีสายตาอีกนับไม่ถ้วนในเมืองเทียนหลง ฉุ่ยเมิ่งฉานใช้เวลาหลายปีในการแทรกซึมกำลังในเมืองเทียนหลง ยามนี้ทั้งหมดได้เข้าร่วมกับเย่หวูเฉิน ทุกการเคลื่อนไหวในเมืองจึงไม่อาจหลุดรอดจากสายตาเขา

วังสตรีหิมะในดินแดนทางเหนือสุดขั้ว เป็นอีกแห่งที่เย่หวูเฉินมักไปเยือน ทุกครั้งที่เขามาที่นี่ เขาจะต้องยืนมองเหยียนจื่อเมิ่งเป็นเวลานาน จากนั้นจึงจากไปอย่างเงียบงัน ‘พลังแห่งชีวิต’ ต่อให้ทุ่มเทค้นหาเพียงใดย่อมไม่มีวันหาพบ ทำให้มีหลายครั้งที่เขาอดไม่ได้อยากไปยังที่แห่งนั่น ด้วยเหตุผลอันสำคัญนี้....

สำนักมารยังคงวุ่นวาย มีงานล้นมือให้พวกเขาทำ ส่วนที่ว่างกว่าใครคงเป็นสตรีทั้งสองของจักรพรรดิมาร พวกนางสองพี่น้องรับผิดชอบงานอันเรียบง่ายที่ได้รับมาไม่นาน เหยียนกงเยว่ดูแลเยว่ซือฉีให้จักรพรรดิมารเป็นอย่างดี เยว่ซือฉีถูกลักพาตัวมาที่นี่เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้คล้ายนางยอมรับชีวิตตนเองได้แล้ว ไม่มีความกลัวเหมือนตอนแรก หากนางยังคงถามอยู่บ่อยครั้งว่าเมื่อไหร่นางจะได้กลับบ้าน

เหตุใดจักรพรรดิมารถึงลักพาตัวเยว่ซือฉี? เหยียนกงเยว่ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง ตั้งแต่ที่นางถูกลักพาตัวมา จักรพรรดิมารไม่เคยแตะต้องนางแม้แต่น้อย นี่ทำให้ข้อสันนิษฐานเดิมของนางตกไป ในขณะที่เหยียนกงรั่ว.... นางเหมือนกับสาวอุ่นเตียงเต็มเวลาของจักรพรรดิมารหนักข้อขึ้นทุกวัน เรื่องอื่นๆแทบไม่สนใจ กระทั่งตอนอยู่ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณนางยังไม่ค่อยฟังใคร ตอนนี้ยิ่งหนักขึ้น อย่างไรก็ตาม นางชอบสอนวิชาเพลิงวิญญาณให้กับเด็กๆ และยิ่งพอใจเมื่อเด็กๆเรียกนางว่า ‘นายหญิง’

ยามเช้าของวัน เย่หวูเฉินตื่นจากการนอน บิดกายอย่างเกียจคร้าน สูดอากาศบริสุทธิ์บางเบา จากนั้นกระซิบกล่าวในใจ “ฤดูใบไม้ผลิมาถึงอีกครั้งแล้ว”

ครบสี่ปีที่เขามายังทวีปเทียนเฉิน

เสี่ยวโม่ตื่นก่อนและไม่อยู่ข้างๆ ไม่ทราบว่านางไปทำอะไร หนิงเสวี่ยกับทงซินยังคงหลับไหล ขดกายอยู่ข้างซ้ายและข้างขวา เย่หวูเฉินค่อยๆลุกอย่างระวัง เวลานั้นเองมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงของหวังเวิ่นชูดังมาจากภายนอก “เฉินเอ๋อร์ ตื่นรึยัง?”

“ตื่นแล้ว ท่านแม่เข้ามาเลย” เย่หวูเฉินกล่าวตอบ

ประตูถูกผลักเปิด หวังเวิ่นชูเดินเข้ามาที่เตียงและนั่งลง นางยิ้มกล่าว “เมื่อเช้าตระกูลฮั่วเพิ่งมาที่บ้าน ถามว่างานมงคลจะจัดขึ้นเมื่อไหร่ แม่เลยบอกว่าเดี๋ยวแม่ถามเจ้าก่อน เดือนหน้าวันที่เก้าเป็นฤกษ์มงคล เฉินเอ๋อร์เห็นว่าอย่างไร?”

“ทุกอย่างเอาตามที่ท่านแม่เห็นสมควร” เย่หวูเฉินยิ้มตอบ หนิงเสวี่ยที่พิงแขนอยู่ขยับกายเปลี่ยนท่าเล็กน้อย จากนั้นหลับต่ออย่างเงียบงัน ไม่ได้ตื่นขึ้นมา

หวังเวิ่นชูยิ้มบานทันที “งั้นตกลงตามนี้ แม่จะให้คนไปเตรียมการทันที โหรวเอ๋อร์เป็นเด็กอ่อนหวานนุ่มนวล เป็นภรรยาที่หาได้ยากในโลกนี้ เจ้าต้องห้ามทำให้นางเสียใจ.... เวลานี้สงครามสงบลงชั่วคราว ปู่กับพ่อของเจ้าคงกลับมาร่วมงานมงคลครั้งใหญ่ของเจ้าได้ แม่จะส่งคนไปบอกพวกเขาทันที ว่าแต่เฉินเอ๋อร์ แล้วงานแต่งของเจ้ากับจักรพรรดินี....”

“จัดวันเดียวกันเลย” เย่หวูเฉินยิ้มมุมปาก กล่าวคำสั้นๆเป็นที่เข้าใจ

“วันเดียวกัน? นี่มัน....”

“ท่านแม่วางใจได้ ฮวงเอ๋อร์จะไม่คัดค้าน อีกทั้งนางยังจะมีความสุขอย่างมาก.... ฮวงเอ๋อร์เป็นลูกสะใภ้คนหนึ่งของท่าน ไม่จำเป็นต้องเรียกนางว่าจักรพรรดินีในสถานที่ส่วนตัว” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แต่ว่า งานแต่งของจักรพรรดินีอย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่โต ทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ถ้าต้องแต่งพร้อมกับโหรวเอ๋อร์.... นี่จะเหมาะสมจริงๆหรือ? แล้วช่วงนี้ยังค่อนข้างจะ....” หวังเวิ่นชูกล่าวด้วยความลังเล คำตอบของเย่หวูเฉินทำให้นางไม่ทันตั้งตัว

“ท่านแม่ ท่านเพียงแค่บอกเรื่องนี้กับฮวงเอ๋อร์ แล้วนางจะจัดการทุกอย่างเอง”

หวังเวิ่นชูครุ่นคิดเล็กน้อย หัวคิ้วคลายออก และกล่าวอย่างรักใคร่ “เฉินเอ๋อร์ แม้ว่าเจ้าผ่านความเจ็บปวดมามาก แต่ก็นับว่ามีวาสนาอยู่หลายส่วน โหรวเอ๋อร์รักเจ้าอย่างลึกซึ้ง มั่นคงดุจเหล็กกล้าและศิลา จักรพรรดินียังงมงายในตัวเจ้า หากเจ้าแต่งงานกับฮวงเอ๋อร์แล้ว สถานะของเจ้าไม่ใช่ว่า.... จะเหนือกว่าจักรพรรดิหรอกหรือ? แม่กลัวว่า....”

“กลัวว่าจักรพรรดินีแต่งงานกับคนพิการ แล้วจะเป็นที่ครหาของผู้คน ถูกไหม?” เย่หวูเฉินเอ่ยแทรกขึ้นมา

หวังเวิ่นชูส่ายศีรษะ “ในสายตาของแม่ ไม่ว่ายังไง เฉินเอ๋อร์ก็เป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มีแต่คนอื่นไม่คู่ควรกับเฉินเอ๋อร์เท่านั้น เฉินเอ๋อร์ย่อมคู่ควรไม่ว่าผู้ใด เอาละ แม่ไม่เสียเวลาแล้ว แม่จะรีบไปที่วังทันที.... หากเจ้ายังง่วงอยู่ก็พักผ่อนต่อ ถ้าเสวี่ยเอ๋อร์กับทงซินตื่นแล้ว อย่าลืมบอกให้พวกนางทานข้าวเช้าด้วย”

หวังเวิ่นชูรีบออกไป สงครามที่สงบลงได้ปัดเป่าความกังวลหดหู่ของนางจนแทบหมดสิ้น มองยังแผ่นหลังของนางที่จากไป ในใจของเย่หวูเฉินพลันปรากฎภาพอ่อนโยน เขารีบนึกซ้ำทันที ทว่านึกอย่างไรก็ไม่อาจนึกภาพนางได้ กระทั่งน้ำเสียงและชื่อ

การมีแม่ช่างดีจริงๆ....

ท่านแม่ ท่านอยู่แห่งใด.... 



<<<PREV    .    NEXT>>>