วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 475

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 475 กลายพันธุ์

ชุดชั้นสีแดงและชุดชั้นกลางลายหงส์ทองถูกสวมทับบนร่างของหลงฮวงเอ๋อร์ เย่หวูเฉินเคลื่อนมือขึ้นลงช่วยสวมให้ เมื่อชุดรัดรูปเข้าที่ดีนางก็หอบหายใจ ชุดไหมแดงของเจ้าสาวถูกแทนที่ด้วยชุดใหม่ มงกุฎจันทร์เสี้ยวถูกสวมอยู่เหนือศีรษะ อัญมณีรูปดวงดาวสะท้อนจับตาผู้คน เมื่อสวมใส่ชุดของจักรพรรดินีแล้ว ราศีสูงส่งของจักรพรรดินีจึงแผ่ออกมาโดยธรรมชาติ ถัดจากนั้นนางคุกเข่าอยู่บนเตียง ทำหน้าที่ของภรรยาแต่งกายให้เย่หวูเฉิน แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยปรนนิบัติใคร ยามช่วยเย่หวูเฉินแต่งกายจึงดูเงอะงะ ทว่าสุดท้ายนางก็ช่วยเขาแต่งกายสำเร็จ นางรีบปัดรอยยับย่นบนผ้าให้เรียบ ท้องฟ้าข้างนอกเริ่มทอแสงแล้ว แสงอรุนรุ่งสางใกล้มาถึง

หลงฮวงเอ๋อร์ดึงชุดของเขาเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “ดูดีมากแล้ว.... ฮี่ บางทีท่านอาจต้องถอดชุดออกอีกครั้ง ตอนกลับไปหาพี่หญิงฉุ่ยโหรว พี่หญิงต้องสวมชุดให้ท่านดีกว่าข้าแน่....”

แม้เขาแต่งงานกับฮั่วฉุ่ยโหรวก่อน ทั้งยังเข้าห้องหอกับนางเป็นคนแรก แต่ตลอดคืนเขากอดหลงฮวงเอ๋อร์ไว้ขณะหลับ หลงฮวงเอ๋อร์จึงพอใจอย่างมาก ทว่าในยามนี้ นางต้องออกไปก่อนอรุณรุ่งสาง หลังจากนี้เย่หวูเฉินย่อมกลับไปหาฮั่วฉุ่ยโหรว ด้วยอุปนิสัยของนาง นางย่อมลอบฝึกฝนปรนนิบัติสามีไว้อย่างดียิ่งแล้ว

รองเท้าเหลืองปักด้วยลายทะเลครามสวมอยู่ใต้เท้าของหลงฮวงเอ๋อร์ นางปรับมงกุฎให้กระชับศีรษะ จากนั้นทาบสองฝ่ามือไว้บนอกของเย่หวูเฉิน พิงแอบไว้และกระซิบแผ่วเบา “สามี พวกเขาคงรอข้าอยู่นอกประตูหน้านานแล้ว.... เมื่อวานข้าได้สั่งพวกเขามารับไว้ ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว.... ไว้ข้าจะกลับมาใหม่”

“ไปเถอะ” เย่หวูเฉินลูบใบหน้านางขณะกล่าวอ่อนโยน

ด้านนอกประตูหน้าของตระกูลเย่ เกี้ยวหงส์ทองประดับด้วยม่านแดงสี่ทิศจอดรออยู่เป็นเวลานานแล้ว หากแต่ไม่มีใครส่งเสียง.... เมื่อวานเป็นวันอภิเษกสมรสของจักรพรรดินี พวกเขาจึงไม่กล้ารบกวน อีกทั้งไม่เหี้ยมหาญพอที่จะรบกวนด้วย ในที่สุดประตูหน้าก็เปิดออก หลงฮวงเอ๋อร์ก้าวออกมาอย่างสง่างามและภาคภูมิ ดวงตาหงส์กวาดผ่านอย่างทรนง องครักษ์และขันทีที่รออยู่จนร่างชุ่มน้ำค้างคุกเข่าถวายความเคารพทันที หลงฮวงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย ก้าวขึ้นสู่เกี้ยวหงส์ของตัวเอง ขณะก้าวเท้า นางรักษาท่วงท่าย่างกรายให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

เกี้ยวหงส์กำลังจะถูกยกขึ้น ประตูหน้าตระกูลเย่ที่ปิดอยู่พลันถูกผลัก ‘โครม’ ออกมาจากด้านใน เฮยเซียงที่แต่งกายไม่ทันเรียบร้อยพอเห็นหลงฮวงเอ๋อร์ยังไม่ได้ออกไป เขาก็ถอนหายใจโล่งอกทันที เมื่อวานเขาได้พบปะกับพี่น้องที่ไม่พบเจอกันนาน ทั้งเป็นงานแต่งงานครั้งใหญ่ของเจ้านาย หัวใจจึงสุขล้นเป็นอย่างยิ่ง เขาดื่มเหล้าจนเมาเป็นตาย และเกือบหลับเลยเวลา....

ทว่าที่เดินออกมาไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น ที่ตามมาด้วยเป็นเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่ มีราวสิบคนรวมทั้งฉู่จิงเทียน , เล่งหยา และเหยียนกงลั่ว นี่คือเหล่าพี่น้องผู้แน่นแฟ้นของเฮยเซียง วานนี้ขณะอยู่ในงานแต่งของเย่หวูเฉิน เฮยเซียงเรียกหลงเอ๋อร์ภรรยาของนายตนว่า ‘นายหญิง’ สมญานี้สำหรับเขาทรงเกียรติยิ่งกว่าจักรพรรดินี เวลานี้เขารีบเร่งก้าวเข้าไปและเอ่ยถาม “ฝ่าบาท.... พี่น้องของข้าอยากเข้าไปเที่ยวชมในราชวัง ไม่ทราบว่า....”

“สหายของสามีข้า แน่นอนว่าย่อมได้” หลงฮวงเอ๋อร์ยิ้มตอบ

“ฮ่า! ขอบพระทัยฝ่าบาท.... ขอบพระทัยจักรพรรดิ.... เฮ้! พวกเจ้าได้ยินรึยัง ฝ่าบาทอนุญาตพวกเราแล้ว! เอาละ.... ยกเกี้ยวได้!”

เกี้ยวหงส์ถูกยกขึ้น เฮยเซียงตามติดไปเบื้องหลังทำหน้าที่คอยคุ้มกัน เหล่าคนหนุ่มสำนักมาร ต้าลู่จื่อ , เอ้อลู่จื่อ , ซานลู่จื่อ , เถี่ยหวาซื่อ , ฮ่งโฮ่วซื่อ , เอ้อเกาซื่อ.... เดินตามไปอย่างร่าเริง เมื่อไม่มีการห้ามปรามใดๆ เหล่าขันทีน้อยและนางกำนัลที่ตามมาด้วยจึงลอบขัดใจอยู่ลับๆ อยู่ข้างกายจักรพรรดิต้องสำรวมถ้อยคำและการกระทำ ทว่าคนพวกนี้ไร้มารยาทผู้ดีแม้แต่น้อย

“พี่ฉู่ , พี่เล่ง มาด้วยกันสิ” พอเห็นฉู่จิงเทียนและเล่งหยาไม่เคลื่อนไหว ซานลู่จื่อก็หันร่างและตะโกนเรียกทันที ชื่อจริงๆของเขาคือ เหยียนจื่อโม่ แต่ชื่อที่เรียกกันมาตั้งแต่เด็กคือ ซานลู่จื่อ เขาคุ้นเคยและชอบให้เรียกชื่อนี้มากกว่า เช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสองคนของเขา ต้าลู่จื่อ และ เอ้อลู่จื่อ พวกเขามีชื่อจริงว่า เหยียนจื่อฮุ่ย และ เหยียนจื่อสวิน

“เอ่อ.... พวกเรา” ฉู่จิงเทียนเกาศีรษะ ขณะกล่าวอย่างลังเล เขาไม่เคยเข้าวังมาก่อน ในใจจึงนึกอยากไป ทว่าเขาเคยชินกับการถามเย่หวูเฉินก่อนจะทำสิ่งใด ยามนี้เมื่อจะออกไปโดยไม่ได้ถามไถ่จึงเกิดความลังเล

สีหน้าแสดงความปรารถนาชัดแจ้งไม่อาจปิดบัง ซานลู่จื่อกับอีกหลายคนพากันลากเล่งหยาและฉู่จิงเทียนให้ตามมา “มาเร็ว! พวกเราจะไปกันแล้ว หากท่านไม่มาด้วยจะถือว่าหยาบคายมาก....”

ด้านข้างพวกเขา ไม่ทราบว่าเหยียนเทียนเว่ย และ เหยียนต้วนชางมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตลอดสองวันทั้งสองคนไม่หลับนอน คอยปกป้องเหนือน่านฟ้าตระกูลเย่ เฝ้าระวังเผื่อเกิดเหตุใดๆ แม้ใต้หล้านี้ไม่อาจหาผู้ใดต่อต้านพลังของพวกเขาได้ ทั้งไม่มีใครกล้าล่วงล้ำคนตระกูลเย่ แต่วันสมรสใหญ่ของเย่หวูเฉินพวกเขาไม่อาจวางใจ วันสำคัญเช่นนี้ พวกเขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆทั้งสิ้น

“เฮ้ ท่านผู้เฒ่า ท่านลุงเกิ้น ไปเที่ยวชมราชวังด้วยกันมั้ย....” พอเห็นเหยียนเทียนเว่ย และ เหยียนต้วนชางทำเพียงยืนยิ้ม ไม่เคลื่อนไหวร่างกายใดๆ ซานลู่จื่อพลันลดเสียงลงกระซิบกล่าว “นายหญิงกลับไปที่วัง ดังนั้นพวกเราต้องคุ้มกันให้ดี.... ท่านผู้เฒ่า ท่านลุงเกิ้น พวกท่านคงไม่ห้ามภารกิจสำคัญของพวกเราหรอกนะ”

เหยียนเทียนเว่ยหัวเราะร่า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชางเอ๋อร์ เจ้าตามเจ้าพวกนี้ไปด้วย เจ้าพวกนี้ไม่เคยเข้าวังมาก่อน บางทีอาจก่อปัญหาขึ้นได้ เจ้าไปคอยกำกับก็ดีเหมือนกัน จะได้พากลับมาเร็วๆด้วย”

เหยียนต้วนชางยิ้มพลางพยักหน้า “ตกลง”

ดังนั้น ในกลุ่มนี้จึงมียอดฝีมือระดับสูงสุดอย่างเหยียนต้วนชางเพิ่มมาอีกคน เหล่าขันทีและนางกำนัลอาศัยอยู่แต่ในวังตลอดปี หากรู้ว่ายามนี้ที่ข้างๆคือยอดฝีมือขอบเขตเทวะ ไม่ทราบว่ามือไม้จะสั่นจนแบกเกี้ยวได้หรือไม่

เมื่อวานนี้ ฉู่จิงเทียนและเล่งหยาไม่ได้นอนในสวนของเย่หวูเฉิน แต่พักอยู่กับกลุ่มคนหนุ่มสำนักมาร ดื่มสุรายามค่ำคุยกันอย่างออกรส สัมพันธ์มิตรภาพจึงเพิ่มมากขึ้น.... มีเพียงเล่งหยาที่แปลกแยกกว่าใคร เขาเอาแต่นิ่งงันราวกับซากศพ ไร้สุ้มเสียงใดๆ กระทั่งชวนคุยยังเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง ยังดีที่พวกเขาทราบอุปนิสัยของเขาดี.... ทว่าอาการต่อต้านคนแปลกหน้าเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา เวลานี้ค่อนข้างสุดโต่งจนดูไม่ปกติ

เล่งหยาเปิดตาขึ้นเล็กน้อย สายตามองลงต่ำ เดินตามพวกเขาไปบนท้องถนนตรงสู่ราชวังทีละก้าว ผู้คนที่ตื่นแต่เช้าตรู่และออกเดินบนท้องถนน เมื่อเห็นเกี้ยวหงส์ทองต่างพากันคุกเข่าลงประสานมือทำความเคารพ ทว่าเมื่อสายตาเคลื่อนผ่านเล่งหยา ผู้คนต่างรู้สึกเย็นเยือกขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความกลัวอย่างไม่อาจควบคุม

ในครั้งนั้น เล่งหยาหนีออกจากสำนักจักรพรรดิเหนือด้วยวิธีใด จนถึงบัดนี้ยังคงเป็นความลับที่ไม่มีใครทราบ.... แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ ความตายของสตรีที่เขาปกป้องไว้ได้กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในตัวเขา.... ในตัวเขากำลังเกิดสิ่งใด ไม่มีใครรู้นอกจากเขา.... ทว่าตอนนี้ แม้กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้

วันนั้นด้วยความโกรธชิงชังและสิ้นหวัง สายใยสุดท้ายในหัวใจได้ขาดสะบั้นลง สติแตกกระจายพร้อมจิตใจที่ปั่นป่วน เขารู้สึกได้ว่าที่เบื้องลึกในสมองราวกับมีบางอย่างทิ่มแทงอย่างรุนแรง ขณะที่สติกำลังพร่าเลือน ไม่ทราบขุมพลังจากไหนได้พวยพุ่งอย่างบ้าคลั่งในกาย เป็นพลังที่แข็งแกร่งสุดขั้ว อัดแน่นจนทำให้ร่างแทบระเบิดออก สติที่พร่าเลือนบอกกับเขาว่า นี่คือพลังที่สามารถสังหารไม่ว่าจะเป็นผู้ใด....

ในยามนั้น เขากุมกระบี่คร่าสายลมไว้ในมือแน่น.... สังหารยอดฝีมือสำนักจักรพรรดิเหนือที่เห็นในสายตาจนหมดสิ้น.... หลังจากนั้น ในแววตาอันพร่ามัว เขามองเห็นร่างไร้วิญญาณของปิงเอ๋อร์ สติที่กระจายพลันรวบกลับเข้ามา เขาจึงอุ้มนางขึ้นและพาออกไป....

นับจากวันนั้น ความคิดและจิตใจของเขาไม่เคยสงบอีก.... เบื้องลึกในสมองมักมีความเจ็บเสียดแทงอย่างไร้สาเหตุ จิตใต้สำนึกมีเสียงบางอย่างสะท้อนอยู่นั้น ยิ่งผ่านไปนาน จิตใจของเขายิ่งสับสน ยามนี้ทุกขณะที่ผ่านไป เขาควบคุมจิตใจตนเองอย่างลำบากยากยิ่ง.... มีบางครั้งที่เขาควบคุมมันไม่อยู่ ในวันนั้น จึงทำให้เขาเกือบฆ่าฉู่จิงเทียน

การระเบิดพลังฉับพลันของเล่งหยาในวันนั้น ฉู่จิงเทียนกลับคิดเพียงว่าเล่งหยาต้องการทดสอบตนเองเหมือนทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้ แม้เขาตกตะลึงอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก

ทว่าในวันนี้ หากพวกเขามองดูเล่งหยาให้ถ้วนถี่ พวกเขาจะพบความผิดปกติในตัวเขา....

ฝีเท้าของเล่งหยาสงบมาก หากกล้ามเนื้อบนใบหน้ากลับกำลังบิดกระตุก แม้ปรากฎอาการเพียงเล็กน้อย แต่กลับเกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ ดุจคนจับสั่นจากลมหนาว ตอนแรกมีเพียงใบหน้าที่กระตุก ทว่าเมื่อเดินผ่านมาได้ครึ่งทาง ร่างของเขาก็เริ่มสั่นขึ้น.... และยิ่งมาอาการก็ยิ่งรุนแรง

มันเริ่มตั้งแต่เมื่อวาน ศีรษะของเขาเจ็บเสียดอย่างรุนแรง.... หากนั่นไม่ใช่ความเจ็บทางกาย แต่เป็นจิตใจส่วนลึกซึ่งราวกับถูกของแหลมปักแทงทีละเล่ม ความรู้สึกนี้แม้เขาชินชามานาน แต่มันไม่เคยเกิดต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนกลางวัน ลากมาจนถึงกลางคืน จนกระทั่งถึงตอนเช้า

ยิ่งกว่านั้น ความเจ็บเสียดยิ่งมายิ่งทวีขึ้น ตลอดคืนที่สงบนิ่งแท้จริงแล้วเขาไม่ได้หลับ จนถึงเช้าตรู่ สายตาเริ่มพร่ามัวพร้อมสติที่กำลังเลือนหาย....

เวลานี้เอง ประตูหน้าของราชวังอยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งลี้ จู่ๆเล่งหยาก็หยุดเท้าลง ทั่วร่างนิ่งงันไม่เคลื่อนไหว

“....เจ้าหน้าน้ำแข็ง ทำไมไม่เดินต่อ?” ฉู่จิงเทียนหันศีรษะมาถาม ทว่าทันใดนั้นหัวใจพลันเย็นเยือก เฮยเซียงที่ร่าเริงกับเพื่อนฝูงต่างหยุดลง รอยยิ้มบนใบหน้าหายวับในฉับพลัน กลายเป็นจริงจัง.... และแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง

ไอสังหาร เป็นไอสังหารที่ทวีความรุนแรงขึ้นไม่หยุด.... พวยพุ่งด้วยความเร็วที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน หัวใจยิ่งมายิ่งเย็นเยียบ

“เจ้าหน้าน้ำแข็ง.... เจ้าเจออะไร?” ฉู่จิงเทียนถามด้วยความตระหนก ไอสังหารนั้นไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเขา ทำให้ฉู่จิงเทียนเข้าใจว่าเล่งหยากำลังเจอบางอย่าง เขาเพิ่มความระวังขึ้น และรีบตรงเข้าไปถาม

“อย่าเข้าไปใกล้!”

เสียงตะโกนลั่นหยุดฝีเท้าของฉู่จิงเทียน เหยียนต้วนชางดีดร่างเหินลงข้างๆฉู่จิงเทียน แล้วลากเขาออกมาอย่างรวดเร็ว หัวคิ้วขมวดมุ่น จับจ้องสายตาที่เล่งหยา

“เกิด.... เกิดอะไรขึ้น?” ฉู่จิงเทียนยังคงงุนงง เอ่ยถามและมองไปรอบๆ เขากับเล่งหยาผูกพันกันมาก กล่าวได้ว่าเป็นสหายสนิทต่อกัน ฉู่จิงเทียนไม่คิดว่าจะมีอันตรายใดๆจากเล่งหยาแม้แต่น้อย

เหยียนต้วนชางไม่กล่าวคำ ตวัดสายตาคมกล้าจับจ้องที่เล่งหยา ไม่ปล่อยให้การเคลื่อนไหวใดๆหลุดรอดสายตา สองหมัดกำไว้แน่นอย่างเงียบงัน เฮยเซียงและกลุ่มคนหนุ่มต่างมุ่นคิ้ว เคลื่อนกายขยับยืนอยู่เบื้องหลังเหยียนต้วนชาง สีหน้าจริงจังและเคารพ ในช่วงสถานการณ์วิกฤตนี้ ไม่มีใครเดินหน้าต่อ เกี้ยวหงส์ของหลงฮวงเอ๋อร์หยุดลงเพราะการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาเช่นเดียวกัน องครักษ์ , ขันที และนางกำนัลหันมองพวกเขาด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง

ฉู่จิงเทียนประสาทหดวูบ อาศัยสีหน้าและสายตาของพวกเขาที่จับจ้องไปยังเล่งหยา ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ ฉู่จิงเทียนจ้องมองเล่งหยาอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจยิ่งมายิ่งแตกตื่น ไม่อาจกล่าวคำใดๆได้อีก



<<<PREV    .    NEXT>>>