วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 443

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 443 พลังไร้ต้านของเต่าดำ (1)

แขนที่ชุ่มเลือดกุมกระชับกระบี่ตัดดารา พลังเพิ่มขึ้นสูงสุดดุจเดียวกับเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชาง กระบี่หุ้มแสงสีทองเหวี่ยงขึ้นเป็นวงโค้ง เผชิญรับอสูรมังกรม่วงที่ล้มลงมา

“ทลายสวรรค์แดนฟ้า.... เจ้านาย พลังของท่านในยามนี้ยังพอฝืนใช้มันได้ กระบวนท่านี้จำเป็นต้องใช้พลังมากกว่าแยกฟ้าผ่าปฐพีนับสิบเท่า พลังของมันจึงร้ายกาจกว่าแยกฟ้าผ่าปฐพีหลายเท่าตัว.... ยิ่งกว่านั้น ฮี่ เจ้านาย ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านี้ถึงเรียกว่าทลายสวรรค์แดนฟ้า? เพราะท่านี้จะยิ่งพิเศษเมื่อจู่โจมขึ้นด้านบน ยามที่โจมตีสวนศัตรูที่พุ่งลงมา พลังของมันจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า”

เมื่อครั้งที่พลังหวูเฉินบรรลุสู่ขั้นที่ห้า หนานเอ๋อร์ได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้น

เป็นครั้งแรกที่เขาใช้กระบวนท่า ‘ทลายสวรรค์แดนฟ้า’ เนื่องจากมันเหมือนกับการใช้ ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ ในสมัยก่อน ที่การใช้แต่ละครั้งจะสูบกลืนพลังมากกว่าครึ่ง

ด้วยพลังของเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชาง ร่างของอสูรมังกรม่วงจึงกำลังล้มคะมำ เป็นโอกาสดีสุดที่จะใช้ ‘ทลายสวรรค์แดนฟ้า’ เขาได้แต่หวังว่าพลังของมันจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง

ใบกระบี่เหวี่ยงขึ้น ทว่ามิได้สัมผัสถูกร่างอสูรมังกรม่วง แสงสีทองเข้มข้นพุ่งสู่ฟ้าจากกระบี่ ปะทะหนักหน่วงใส่กลางหลังอสูรมังกรม่วงที่ล้มคว่ำลงมา ร่างของมันหยุดร่วงลงมาทันที หลังจากแสงสีทองเข้าปะทะ.... อสูรมังกรม่วงก็ปลิวลิ่วขึ้นฟ้าทันที เสียงคำรามเจ็บปวดดังสะท้อนไปทั่ว

เหยียนเทียนเว่ยกับเหยียนต้วนชางทำให้ร่างอสูรมังกรม่วงพลิกล้มลอยขึ้นด้วยการประสานพลัง ทว่ากระบี่ที่มิได้สัมผัสถูกร่างกลับซัดมันให้ปลิวขึ้นไปดุจดาวตก ตรงสู่อากาศเบื้องบนเร็วรุดจนกลายเป็นจุดเล็กๆ

เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางม่านตาหดวูบทันที ตกตะลึงจนลืมความเจ็บปวด เป็นอีกครั้งที่พวกเขาเห็นเย่หวูเฉินกระทำเรื่องที่หากไม่ได้เห็นกับตา ย่อมไม่อาจเชื่อปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นลง

ทำให้ปลิวตั้งฉากขึ้นไปสูงลิบถึงเพียงนี้ จำเป็นต้องใช้พลังเพียงใด.... พวกเขาที่สัมผัสพลังของอสูรมังกรม่วงโดยตรงย่อมทราบว่านี่ยากเกินจินตนาการ เป็นพลังที่แทบไม่อาจเป็นไปได้

ทว่าพื้นดินใต้เท้าของเย่หวูเฉินไร้ผลกระทบใดๆจาก ‘ทลายสวรรค์แดนฟ้า’ นี่คือกระบวนท่าที่ส่งพลังวาดขึ้นด้านบน เป็นรูปแบบที่แทบไม่อาจหลบเลี่ยง ยามที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศย่อมไม่อาจหลบหนี นอกจากมันมีพลังเคลื่อนย้ายเช่นเดียวกับเซียงเซียง

แสงสีทองยังคงพุ่งทะยานขึ้น เสียดทะลุฟ้าจนไม่อาจมองเห็น เล่ากันว่ากระบี่นี้สามารถทำลายได้กระทั่งสวรรค์ ด้วยพลังของเย่หวูเฉินในยามนี้ แม้ว่าไม่อาจเอาชนะสวรรค์ได้ แต่ก็เพียงพอทำให้สวรรค์สั่นกลัว

เย่หวูเฉินไม่ได้ผ่อนคลายจิตใจ เขาหอบหายใจหนักหน่วง เก็บกระบี่ตัดดารากลับทันที สายตามองยังจุดเล็กๆกลางอากาศ นั่นคืออสูรมังกรม่วง เขายกสองมือขึ้นช้าๆ ค่อยๆเคลื่อนพลังสีฟ้า

กระแสอากาศด้านบนเปลี่ยนไป ร่างที่ลอยอยู่เริ่มตกลงมาในที่สุด นำพากระแสอากาศกดทับโลกเบื้องล่าง เย่หวูเฉินสองมือเหยียดไปในอากาศ ในปากกล่าวคำบางเบาช้าๆ “เคล็ดวารีสวรรค์ร่วงหล่น.... ข่ายเหมันต์สุดเยือก!”

พลังน้ำแข็งมหาศาลทะลักขึ้นสู่อากาศเบื้องบน ปะทะเข้าสู่อสูรมังกรม่วงที่ร่วงลงมา แสงฟ้ากลั่นตัว อุณหภูมิลดต่ำลง อสูรมังกรม่วงที่กำลังร่วงหล่นไร้หนทางต่อต้าน บนผิวของมันเกิดชั้นน้ำแข็งบาง ข่ายเหมันต์สุดเยือกไร้พลังโจมตี ทว่าอุณหภูมิมันเย็นเยือกต่ำสุดเท่าที่เย่หวูเฉินจะทำได้ เป็นเคล็ดแช่แข็งที่ทรงพลังสูงสุด ในเวลาสั้นๆสามารถแช่แม่น้ำที่ไหลบ่าได้

ข่ายเหมันต์สุดเยือกนี้ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาเพียงแค่ครั้งเดียว ทว่ามันถูกปล่อยออกมาสลับจากมือทั้งสองข้างด้วยพลังวารีไร้สิ้นสุด ร่างของอสูรมังกรม่วงถูกแช่แข็งมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากด้านล่าง ลามไปตรงกลาง แล้วลามขึ้นด้านบน.... ร่างกาย ขาทั้งสี่ ลำคอ และหาง ถูกชั้นน้ำแข็งหนาห่อหุ้ม

ตูม!

ร่างที่ถูกแช่แข็งร่วงกระทบพื้นอย่างหนักหน่วง ทำให้ผืนดินสั่นไหว เย่หวูเฉินทรงตัว ปลดปล่อยพลังวารีใส่ร่างอสูรมังกรม่วงอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่แช่แข็งมัน เขาตะโกนดังลั่น “โจมตีมันที่คอ!”

เทียบกับร่างกายขนาดมหึมา ลำคอของมันนับว่าเพรียวบาง นี่เป็นลักษณะเฉพาะของมังกร ทว่า ‘เพรียวบาง’ ในที่นี้คือเทียบกับตัวมันเท่านั้น ลำคอของมันหนาหลายเมตร ตอนนี้น้ำแข็งที่เย่หวูเฉินผนึกไว้ที่ลำคอมันเริ่มปริร้าว หากถูกพลังโจมตีมันย่อมแตกสลายทันที

ขณะที่เย่หวูเฉินพยายามแช่แข็งอสูรมังกรม่วงให้อยู่กับที่ เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางเข้าใจเจตนาของเขาทันที พวกเขารวมรวบพลังเตรียมไว้แล้ว เวลานี้เมื่อได้ยินคำสั่งของเย่หวูเฉิน พวกเขาจึงพุ่งจู่โจมไปที่ลำคอของอสูรมังกรม่วงทันที เกร็งพลังเล็งไปที่จุดเดียวกัน ไม่ให้คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย.... ในเมื่อยั่วโทสะมันแล้ว ก็ยากที่จะเกลี้ยกล่อมมันได้ ดังนั้น ตราบใดที่หยุดฝีเท้าของมันได้ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สกัดมันให้อยู่ในดินแดนแห่งนี้ตลอดไป ไม่ให้เหยียบย่างเข้าสู่ดินแดนของมนุษย์

เสียงโจมตีดังลั่น แสงสีแดงระเบิดออก พวกเขาไร้เวลาให้มองดูผลงาน แรงสะท้อนได้อัดร่างพวกเขาปลิวกระเด็น เย่หวูเฉินที่อยู่ไม่ไกลนักยังปลิวไปด้วยแรงสะท้อนอีกคน ลอยไปไกลกว่าร้อยเมตรก็สามารถสลายพลังและหยุดร่างไว้ได้

พลังวารีของเขาไร้สิ้นสุด ทว่าเมื่อใช้แยกฟ้าผ่าปฐพีและทลายสวรรค์แดนฟ้าต่อเนื่องกัน พลังกายก็ถูกสูบกลืนไปอย่างมาก ร่างกายของเขาอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด

เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางมีสภาพย่ำแย่ยิ่งกว่า จากสภาพของเย่หวูเฉิน พวกเขาทราบดีว่ากระบี่ที่ใช้ท่าอัศจรรย์ออกมาเมื่อครู่ใช้พลังมหาศาลเพียงใด ยามนี้ไม่มีทางใช้อีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้น เมื่อครู่นี้พวกเขาจึงโจมตีเต็มกำลัง แผดเผาพลังเพลิงวิญญาณจนหมดสิ้น ไม่เหลือทิ้งไว้ในร่างกาย กระทั่งหยัดยืนยังแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง

“นายท่าน เป็นอะไรมั้ย?” เหยียนเทียนเว่ยกับเหยียนต้วนชางลุกขึ้นอย่างยากลำบาก พาร่างกายมาอยู่ตรงหน้าเย่หวูเฉิน ในปากหอบหายใจหนัก เย่หวูเฉินมองขนานพื้นไปยังร่างมหึมาที่ยังคงถูกแช่แข็ง เขาถอนหายใจบาง “ตอนนี้ยังไม่เป็นไร.... แต่อีกเดี๋ยวได้เป็นแน่”

เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางสะดุ้งเฮือก หันมองไปที่อสูรมังกรม่วงทันที คำพูดของเย่หวูเฉินเป็นที่ชัดเจนว่า.....

ถูกกระบี่ซัดจนลอยขึ้นไปไกลลิบ ถูกแช่แข็งสุดเย็นเยือกทั่วร่าง ถูก ‘ร่างสลายวิญญาณ’ ของพวกเขาโจมตีเต็มกำลังที่จุดบอบบาง หรือว่ามันยังสามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง?

เปรี้ยง!!!

สายฟ้าสีม่วงแลบลั่นขึ้นฉับพลัน น้ำแข็งหนาที่ล้อมรอบร่างระเบิดออก แตกเป็นเกล็ดน้ำแข็งกระจายทั่วบริเวณ พร้อมกับสายฟ้าที่ก่อตัวเป็นพายุ หมุนพัดฝุ่นทรายสูงท่วมบดบังท้องฟ้า พัดพาเย่หวูเฉินและอีกสองคนปลิวกระเด็นไปไกล

มันยังไม่ตาย ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส พลังของมันราวกับไม่ตกลง

ผืนดินที่เป็นหลุมยุบตอนนี้ถูกเป่าทำลายจนราบ หลับจากที่ราบแล้ว มันกลายเป็นผืนเรียบอย่างน่าตระหนก เย่หวูเฉินกับพวกสามคนถูกพัดปลิวไปไกลกว่าร้อยเมตร หากไม่ใช่เพราะเย่หวูเฉินกางกั้นม่านน้ำแข็งป้องกัน เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนทางที่ไร้พลังคุ้มร่างเพียงพอย่อมตกตายด้วยพลังพายุแกร่งกล้านี้แล้ว

ฝุ่นทรายร่วงกลับลงมา ในเส้นสายตาปรากฎร่างของอสูรมังกรม่วง มันไม่ได้นอนอยู่บนพื้นแต่ยืนอยู่ และร่างของมันเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เกล็ดมังกรกางออกอย่างเป็นระเบียบ สายฟ้าสีม่วงแลบลั่นงดงามทั่วร่าง ดวงตาของมันยังกลายเป็นสีม่วง เขาอันเดียวบนหัวยังเปล่งประกายสายฟ้า แม้อยู่ไกลยังได้ยินเสียงแตก ‘เปรี๊ยะ’ ดังชัดเจน

โฮก.....

โฮก.....

โฮก.....

เนื่องจากมันเจ็บปวดอย่างยิ่ง ดังนั้นพลังพลอยม่วงขั้นสูงสุดจึงทะลักออกจากร่างเพื่อป้องกันตัว ถูกโจมตีด้วย ‘ทลายสวรรค์แดนฟ้า’ ตามต่อด้วยแช่แข็งสุดเยือก สุดท้ายถูกเหยียนเทียนเว่ยสองพ่อลูกโจมตี พลังป้องกันของมันจึงมาถึงขีดจำกัด ด้านหลังของมันเกิดรอยลึกยาวนับสิบเมตร แผลขนาดใหญ่ยาวสิบเมตรถูกมันใช้พลังปิดระงับไว้ ทว่าความเจ็บปวดไม่ได้หายไป กลางลำคอยังมีรอยตัดที่เห็นได้ชัดเจน กระทั่งมองเห็นกระดูกได้รางๆ

มันคำรามเสียงทะมึนกึกก้อง แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มันโกรธอย่างแท้จริง.... โกรธแบบไม่ตายไม่เลิกรา ตอนนี้มันอยู่ในสภาพน่ากลัวถึงขีดสุด เพราะมันใกล้จะโจมตีใส่พวกเขาอย่างบ้าคลั่งในไม่ช้า ขณะที่เย่หวูเฉินกับพวกสามคนแทบจะไร้พลังต่อต้านหรือหลบเลี่ยง

“เซียงเซียง.... ฟื้นฟูพลังได้มากแค่ไหนแล้ว?” เย่หวูเฉินขมวดหัวคิ้วชิดกัน เอ่ยถามในห้วงสำนึก

“.........”

ฟู่ว.... เย่หวูเฉินถอนหายใจบาง เซียงเซียงทำงานอย่างหนักเพื่อรวบรวมพลัง ทว่าเคลื่อนตัดมิติระยะไกลกินพลังจำนวนมาก ในเวลาสั้นๆนางเคลื่อนย้ายระยะไกลติดต่อกันถึงห้าครั้ง เวลาแค่นี้ย่อมไม่พอให้นางฟื้นคืนพลัง

ดังนั้น ตอนนี้การหลบหนีกลายเป็นเรื่องที่หมดหวังแล้ว

“นายท่าน” เหยียนเทียนเว่ยเอ่ยเรียกเชิงคำถาม สีหน้าของเย่หวูเฉินสงบนิ่งอย่างมาก ไร้ความกังวลหรือร้อนรน ทำให้หัวใจของเขาสงบลงเช่นกัน ต่อให้พวกเขาตกตายอย่างน่าอนาจ ก็ไม่มีวันคิดว่าไม่ยุติธรรมหรือไม่สมควร เพราะอีกฝ่ายเป็นศัตรูผู้มีพลังเหนือเทพ ทว่าพวกเขาไม่อาจยอมให้เย่หวูเฉินตกตายร่วมกับพวกเขาอยู่ที่นี่

แผ่นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง อสูรมังกรม่วงขยับกาย เพียงไม่กี่ก้าวก็เข้ามาใกล้พวกเขา ด้วยพลังที่อ่อนแอลง แรงกดดันของมันในยามนี้จึงยากจะทนได้ เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางราวกับถูกอุดปาก อุดจมูก บีบลำคอ ไม่อาจหายใจ ทว่าพวกเขากลับยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเย่หวูเฉิน การกระทำนี้เกิดจากจิตใต้สำนึกล้วนๆ

เย่หวูเฉินล้วงมือไปที่เอว ดึงเต่าดำน้อยออกมาถืออยู่ในมือ หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย เขาก็ขว้างมันเต็มแรงไปที่อสูรมังกรม่วง

“เต่าดำน้อย.... หากเจ้าคืออสูรเซียนเต่าดำในตำนานหัวเซี่ยจริงๆ เช่นนั้นจงแสดงเกียรติภูมิของอสูรเซียนให้ข้าได้เห็น แม้ว่าเจ้าจะยังเยาว์วัย แต่เต่าดำเยาว์วัยอย่างไรก็เป็นเต่าดำ!!”

ท่ามกลางเสียงตะโกนลั่นของเย่หวูเฉิน เต่าดำน้อยถูกขว้างลอยลิ่วไปที่อสูรมังกรม่วงดุจก้อนกรวด มันมีขนาดเท่าฝ่ามือของหญิงสาว เมื่ออยู่ต่อหน้าอสูรมังกรม่วงจึงแทบเรียกได้ว่าเม็ดทราย.... ทว่า ในขณะที่เต่าดำน้อยบินไป เย่หวูเฉินและอีกสองคนล้วนเห็นได้ชัดเจนว่า ร่างของอสูรมังกรม่วงที่กำลังวิ่งมาชะงักค้างอย่างคาดไม่ถึง

มันสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง

เป้าหมายเล็กเกินไป มันสัมผัสได้เพียงพลังที่เข้ามาใกล้ ทว่าไม่อาจมองเห็นเป้าหมายว่าอยู่จุดใด ทันใดนั้น เต่าดำน้อยพุ่งเอาหัวกระแทกที่ท้องมันอย่างรุนแรง

ปึก!!

เย่หวูเฉินกับอีกสองคนจ้องตาค้างกับภาพที่เห็นตรงหน้าทันที.....

รัศมีสีน้ำตาลและรัศมีสีม่วงระเบิดออกตรงจุดกระแทก เกล็ดท้องแกร่งกล้าไม่อาจทำลายของอสูรมังกรม่วงกลับสลายกลายเป็นผง ร่างมหึมาปลิวละลิ่วพร้อมเสียงคำรามโหยหวน มันปลิวไปไกลมาก จนกระทั่งร่วงลงในป่าของดินแดนสาบสูญ หายไปจากสายตาของพวกเขา

เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น เย่หวูเฉินก็มีสภาพไม่ต่างกัน เป็นเวลาเนิ่นนานที่ไม่อาจคืนสติกลับมา



<<<PREV    .    NEXT>>>