วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 464

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 464 ความแคลงใจของเย่เว่ย

เมืองเทียนฟง

เย่หนูยืนอยู่เหนือคอหอยของประตูเมือง มองอย่างเงียบงันไปทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าที่นั่นไม่ได้เป็นสีฟ้าหากแต่เป็นฝุ่นทรายสีเหลือง ตั้งแต่เย่หวูเฉินกล่าวคำลาในวันนั้น เขาก็มักมาที่นี่และมองไปทางทิศตะวันตกรอคอยอยู่ทุกวี่วัน วันเวลาค่อยๆผ่านไปนานขึ้น หนึ่งวัน สองวัน.... ห้าวัน.... สิบวัน.... 15 วัน....

สีสันของท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกยังคงเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่เล็กน้อย

ในที่สุด ทุกครั้งที่เขามายืนอยู่ที่นี่ แต่ละครั้งบนใบหน้าต้องปรากฎร่องรอยความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น

“ขุนพลเย่” ทหารผู้หนึ่งมาถึงด้านหลัง ก้มกายลงคำนับ

“สถานการณ์เป็นยังไง?” เย่หนู่ไม่ได้หันกลับมา เพียงเอ่ยถามเสียงเบา

“....เรียนขุนพลเย่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ทหารผู้นั้นกล่าวตอบแล้วเงยหน้าขึ้น มองแผ่นหลังของเย่หนู่ด้วยหัวใจหนักอึ้ง เขาทราบดีว่าภายใต้อาการสงบของเย่หนู่ถูกซ่อนไว้ด้วยความกังวลอันล้ำลึก ไม่เพียงแค่เขาที่รู้เรื่องนี้ ทุกผู้คนในเมืองเทียนฟงล้วนรู้กันทั่ว

เมืองเทียนฟงถูกยึดโดยกองทัพเทียนหลง และหลังจากที่จักรพรรดิมารเปิดเผยตัวตน เรื่องนี้ก็ได้กระจายออกไป กลายเป็นว่าเขาคือบุตรชายแห่งตระกูลเย่ เย่หวูเฉิน.... ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในอาณาจักรเทียนหลง ที่เกิดการสะเทือนดุจแผ่นดินไหว

บุตรชายตระกูลเย่มีร่างพิการกลับกลายเป็นเรื่องหลอก ทุกอย่างเป็นการอำพรางของเขา ยิ่งกว่านั้นยังอำพรางอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีผู้ใดทราบนอกจากเขาจะบอก ไม่มีใครดูออกถึงการอำพรางนี้ กระทั่งอดีตอาวุโสหลี่และอาวุโสหลิว หรือแม้แต่คนสำนักจักรพรรดิใต้ที่ตรวจสอบยังตัดสินว่าร่างของเขาอยู่ได้ไม่ถึงสิบปี วันนั้นเขากลับฉีกข่าวลือทิ้งเป็นชิ้นๆ เปิดเผยอีกหนึ่งสถานะตัวตนต่อหน้าผู้คน กระทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง

ในที่สุด ศัตรูที่อาจคุกคามได้ถูกเขาทำลายลงจนหมด ขุมกำลังที่แข็งแกร่งสุดยังอยู่ใต้อาณัติ เมื่อไม่มีสิ่งใดสามารถคุกคามครอบครัวตน ในที่สุดเขาก็สามารถปลดวางเครื่องอำพราง ยามเป็นจักรพรรดิมาร เขาทำให้ผู้คนต้องแหงนมองด้วยความกลัว เมื่อเขาเปิดเผยสถานะก็ยังคงแรงกดดันไว้ ประทับความกลัวล้ำลึกฝังไว้ในใจผู้คน ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำตระกูลเย่ของเขาอีก รวมถึงทุกคนที่อยู่ข้างเขา ดังนั้น ตราบใดที่เขาเอ่ยปากว่าจะปกป้อง ไม่ว่าผู้ใดย่อมกลายเป็นคนที่ปลอดภัยสุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ใช้เวลาหลายวันข่าวสารจึงเดินทางมาถึงเมืองเทียนหลง เหล่าขุนนางแห่งเทียนหลงพากันหลั่งไหลไปยังตระกูลเย่ดุจน้ำหลาก มากจนแทบเกินขีดจำกัด กระทั่งขุนนางที่เคยอยู่ข้างตระกูลหลิน หลังจากตระกูลหลินถูกกำจัดพวกมันเงียบงันเป็นเวลานาน ยามนี้กลับพากันฉีกยิ้มมาเยี่ยมเยือน ทุ่มเทประจบประแจงสุดแรงเกิด ต่อให้ไม่อาจผูกมิตรกับตระกูลเย่ อย่างน้อยก็ต้องทำลายปราการกางกั้นให้มากที่สุด มิฉะนั้นหากจักรพรรดิมารกล่าวแม้เพียงคำเดียว ตระกูลของพวกมันย่อมหายวับไปกับตาโดยไม่มีใครต่อต้าน ไม่เพียงตระกูลเย่เท่านั้น หลังจากที่หวังเวิ่นชูประกาศข่าวการแต่งงานของเย่หวูเฉินกับฮั่วฉุ่ยโหรวในเดือนหน้า ผู้คนกลุ่มใหญ่ก็เดินทางไปเยี่ยมเยือนตระกูลฮั่วทุกวี่วัน กลุ่มที่ไปวันแรกๆยังโชคดี ทว่าหลังจากนั้นหลายวันฮั่วเจิ้นเทียนได้หมดความอดทนลง เขาปิดประตูหน้าไว้แน่นหนาไม่ยอมให้ผู้ใดเข้ามา ด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อยผ่อนคลายลง

สำหรับผู้คนในอาณาจักรเทียนหลง แม้ว่าจักรพรรดิมารจะน่ากลัว เป็นตัวตนในตำนานเหนือคนธรรมดา ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายตระกูลเย่แห่งเทียนหลง ด้วยตัวเขาเพียงลำพัง.... ยังจะมีผู้ใดกล้ารุกล้ำอาณาจักรเทียนหลงอีก? ด้วยตัวตนของจักรพรรดิมาร กระทั่งอาณาจักรต้าฟงที่ทรงอำนาจเทียบเท่าสามอาณาจักรยังล่มสลาย.... และเท่าที่เห็น จักรพรรดิมารเพียงมุ่งเป้าหมายไปที่อาณาจักรต้าฟงเท่านั้น ไม่เคยทำเรื่องคุกคามต่ออาณาจักรเทียนหลงใดๆ กล่าวได้ว่าแม้เขายืนอยู่จุดสูงสุดในฐานะจักรพรรดิมาร แต่เขาล้วนไม่เคยลืมว่าตนเป็นคนของเทียนหลง ไม่เคยลืมว่าตนเป็นคนของตระกูลเย่

ดังนั้น ยามที่อาณาจักรเทียนหลงเอ่ยถึงจักรพรรดิมาร แม้ว่าผู้คนจะหวาดกลัว หากที่มากกว่าคือความเทิดทูนและเคารพ ประทับตัวตนของจักรพรรดิมารไว้ในใจ ยกขึ้นเป็นวีรบุรุษสูงสุดหรือกระทั่งเทพปกปักษ์ กลายเป็นตัวตนสูงสุดที่แทบไม่อาจเข้าถึง

อย่างไรก็ตาม ผู้คนล้วนไม่ลืมว่าจักรพรรดิมารได้ลั่นคำสัตย์ไว้ต่อหน้ากองทัพนับล้าน นอกจากนั้นยังมีจักรพรรดินีแห่งเทียนหลง , จักรพรรดิแห่งคุยชุย , จักรพรรดิแห่งชางหลาน รวมทั้งประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ และประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือที่ร่วมกันรับรองด้วยคำสาบาน ในเวลาหนึ่งเดือนจะต้องหยุดยั้งพายุทรายคลั่งของต้าฟงให้ได้ เรื่องนี้ยิ่งกว่าตำนาน หากผู้คนล้วนคาดหวังให้จักรพรรดิมารสร้างตำนานควบคุมธรรมชาตินี้ให้ได้

ทว่าจนถึงตอนนี้ นับจากวันที่จักรพรรดิมารเอ่ยปากขีดเส้นตาย เวลาก็ล่วงเลยมาจนใกล้ครบ 20 วันแล้ว

อดีตอาณาจักรต้าฟงมีดินแดนส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยพายุทรายคลั่ง ยามนี้ไร้ความเปลี่ยนแปลงใดๆ พายุทรายยังคงโหมพัดกระหน่ำอยู่ ทั้งยังไร้ข้อความใดๆจากจักรพรรดิมาร ผู้คนจำนวนมากเริ่มตั้งคำถาม.... แม้พวกเขาไม่กล้าตั้งคำถามต่อจักรพรรดิมารออกมาโดยตรง ทว่าในมุมลับนั้น เสียงยิ่งมายิ่งดังขึ้น

ระหว่างหลายวันนี้ เย่หนู่ไม่ได้เคลื่อนทัพออกไปเพื่อยึดครองเมืองอื่นของอาณาจักรต้าฟง ทว่าเมืองเทียนฟงก็ไม่ถูกกองทัพของเมืองอื่นบุกมาเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังรอ.... หากจักรพรรดิมารสามารถหยุดยั้งพายุทรายได้จริงๆ เช่นนั้นแม่ทัพต้าฟงที่เหลืออยู่จะขอยอมศิโรราบ แต่หากไม่....

“เจ้าออกไปได้ คอยจับตาดูเอาไว้” เย่หนู่โบกมือกล่าว

“ขอรับ!” ทหารผู้นั้นรับคำและถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

เย่เว่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาหา หยุดยืนอยู่ข้างเย่หนู่ มองไปทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกับเขาและกล่าว “ท่านพ่อ อย่าห่วงเลย ในเมื่อเฉินเอ๋อร์กล้าให้พวกเขากล่าวคำสาบานหนักหนาเช่นนั้น ย่อมหมายถึงเขามีหนทางที่จะทำได้สำเร็จ เขานำความอัศจรรย์มาสู่พวกเราหลายครั้ง จะมีอีกครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดสำหรับเขา”

เย่หนู่พยักหน้า หากความกังวลบนใบหน้ายังไม่คลายออก ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถอนหายใจบาง “ผู้อื่นอาจเชื่อถือในความมั่นใจที่เขามอบให้.... แต่พวกเราไม่อาจทำได้ พวกเราอย่างไรก็เป็นคนในครอบครัวของเขา หากมีเหตุผิดพลาดทำให้เขาไม่อาจทำได้สำเร็จ พวกเราต้องคิดเผื่อว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไร”

เย่เว่ย “......”

“อย่างไรเสีย นี่ย่อมไม่เรียบง่ายเหมือนการกำจัดศัตรู.... เพราะสิ่งที่ปกคลุมพื้นที่หนึ่งในสี่ของทวีปเทียนเฉินคือพลังของธรรมชาติ” เย่หนู่ถอนใจยาวด้วยความหนักอก กำหนดเวลาที่วางไว้ผ่านไปมากกว่าครึ่งทางแล้ว ตอนนี้กลับยังไร้สัญญาณใดๆ ไหนเลยเขาจะรักษาความสงบได้อีก ไม่อาจคลายใจได้จริงๆ

เย่เว่ยไม่กล่าวคำเป็นเวลานาน ไม่ใช่เพราะถ้อยคำของเย่หนู่ทำให้เขากังวลตาม แต่เป็นเพราะประโยคที่เขากล่าวว่า “พวกเราอย่างไรก็เป็นคนในครอบครัวของเขา” ประโยคนี้ได้กระตุ้นหัวใจที่ถูกระงับไว้ให้กระเพื่อม ในความเงียบงัน แววตาของเขายิ่งมายิ่งล้ำลึก เสียงที่ดังขึ้นในใจกลับกลายเป็น....

เขาคือลูกชายของข้าจริงๆหรือ?

เขาโดดเด่นเหนือล้ำมากเกินไป มากจนเกินจินตนาการ กระทั่งเกินจินตนาการของทุกผู้คน

20 ปีก่อนบุตรชายของเขาได้ถือกำเนิดขึ้น พอถึงอายุ 16 ปีได้หายไปจากตระกูล เขาเป็นที่รู้จักกันทั่วเมืองเทียนหลงว่าเป็นนายน้อยขี้โรค จะลุกออกจากเตียงยังทำได้ยาก เขาทราบในภายหลังว่าสาเหตุเป็นเพราะหวังเวิ่นชูถูกวางยาในตอนตั้งครรภ์ และเขาหายตัวไปตอนอายุ 16 ปีเพราะฝีมือของหลงหยินและตระกูลหลิน.... หนึ่งปีให้หลัง เขาได้กลับมาอีกครั้ง....

รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน จุดตำหนิเหมือนกัน.... หยดเลือดพิสูจน์แล้วว่าเป็นคนในสายเลือด ยืนยันว่าเป็นคนในตระกูล เวลานั้นเขาสูญเสียความทรงจำ และเย่เว่ยเชื่อมั่นว่านี่คือลูกชายของเขาที่สูญหายไปนานหนึ่งปี

แต่ว่า ร่างกายคนเราสามารถเปลี่ยนได้ ความทรงจำสามารถสูญเสีย ความสามารถอาจพัฒนาได้ขอบเขตใหญ่.... แต่สติปัญญาและอุปนิสัยของคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆแบบนี้เชียวหรือ?

บุตรชายอายุ 16 ปีของเขาไม่เพียงมีร่างกายอ่อนแอเท่านั้น หากยังเห็นได้ชัดว่าสติปัญญาพัฒนาเชื่องช้ามาตั้งแต่เกิด กล่าวว่าโง่เขลายังไม่เกินเลย ทว่าหลังจากที่เย่หวูเฉินกลับมา สติปัญญาของเขากลับสูงยิ่งจนน่ากลัว.... เขาล่วงรู้สถานการณ์ของตระกูลเย่อย่างง่ายดาย และวางแผนแก้ไขได้โดยสมบูรณ์แบบ ไร้ตำหนิใดๆ ในเวลาเพียงไม่กี่ปีทั่วหล้าได้ตกอยู่ในกำมือเขา สามารถพลิกฝ่ามือเคลื่อนฟ้าและลมฝน

ยิ่งกว่านั้น พลังของเขายังพัฒนาเร็วรุดจนเกินไป บางทีคนทั่วไปอาจลืมไปแล้ว แต่เย่เว่ยย่อมจดจำได้ดีว่าเขาเริ่มต้นจากสภาพใด ตอนนี้พลังของเขาสูงล้ำอย่างน่ากลัว สามตัวตนสูงสุดของสำนักจักรพรรดิเหนือยังพ่ายแพ้ยับเยินด้วยมือเขา เกรงว่ากระทั่งเทพทั้งสี่แห่งเทียนเฉินร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจเป็นคู่มือของเขาได้ การพัฒนาเร็วรุดเช่นนี้.... เป็นสิ่งที่ ‘มนุษย์’ คนหนึ่งสามารถกระทำได้จริงๆหรือ?

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในช่วงหนึ่งปีที่เขาหายไป เวลาเพียงสั้นๆหนึ่งปีนั้น คนผู้หนึ่งสามารถบรรลุทักษะการวาดและวรยุทธ์จนเหนือกว่าหลินเสี่ยวได้จริงๆหรือ?

เทพกระบี่บรรลุวิถีกระบี่ขั้นสูงสุด ทว่าไม่มีใครเคยได้ยินว่าเขามีฝีมือวาดภาพมาก่อน ไม่เหมือนวิถีกระบี่ที่ทุกผู้คนล้วนรู้กันทั่ว

ความแคลงใจนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ทว่ามันปรากฎอยู่เพียงเบาบาง เขาเชื่อว่าบิดาของเขาย่อมรู้สึกเช่นกัน ทว่าข้อสงสัยเลือนรางนี้ถูกพรากไปจากสมองจนหมดสิ้น เขาไม่เคยขุดคุ้ยถึงมันอีก เพราะมันเป็นข้อสงสัยเพียงเล็กน้อย ด้วยการทดสอบทางสายเลือด ข้อสงสัยนี้ไม่ควรมีอยู่ ในขณะเดียวกัน มันยังเป็นสิ่งที่ต้องหลีกหนี ในตอนที่เขาสืบเรื่องการสูญหาย ถ้าหากเขาได้พบความจริง.... ว่าบุตรชายของเขาตายไปแล้ว เขาย่อมไม่อาจทานทนได้ ตระกูลเย่ย่อมไม่อาจทนได้ ดังนั้น ข้อสงสัยอันเลือนรางนี้จึงถูกเพิกเฉย คอยมองเย่หวูเฉินเคลื่อนลมฝนด้วยความภูมิใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายเดือนก่อนที่ผ่านมา ก่อนที่เขาจะเดินทางมายังดินแดนตะวันตก เวลานั้นถ้อยคำไม่กี่ประโยคจากปากของฉู่จิงเทียนทำให้เขาต้องสะดุ้งวาบ ความสงสัยที่ฝังลึกพลันผุดขึ้นมาในทันที.... ยิ่งกว่านั้น ฉู่จิงเทียนหลังจากกล่าวคำแล้วยังพลันรู้ตัว เร่งรีบหุบปากทันที ทั้งยังลอบมองมาที่เขาว่าได้ยินหรือไม่ ฉู่จิงเทียนมีหัวใจบริสุทธิ์สัตย์ซื่อ ย่อมไม่เคยหลอกลวงผู้คน แต่หากโกหกย่อมไม่อาจระงับสีหน้า พอเย่เว่ยทำเป็นไม่ได้ยิน ทันใดนั้นเขาพลันได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกจากฉู่จิงเทียน

เวลานั้นในช่วงโต๊ะอาหารมื้อค่ำ เย่หวูเฉินอิ่มหนำแล้วจึงออกไปก่อน ฉู่จิงเทียนสวาปามอย่างตะกละขณะพึมพำ “....น้องเย่หลับมานานกว่าสิบปี ไม่ได้กินดื่ม เขาคงหิวเลยกินเร็วและมากขนา....”

......

อุ๊ฟ!

ถ้อยคำของเย่หนู่ได้ขุดอารมณ์ที่ฝังไว้ให้โชยฟุ้งขึ้นมา แม้เย่เว่ยจะสงสัยแต่ก็ไม่อยากคิดย้อนกลับไป เขาไม่เคยเล่าความคิดนี้ให้ผู้ใดฟัง กระทั่งบางครั้งยังรู้สึกผิดที่สงสัยเช่นนี้.... ตระกูลเย่ทั้งหมดถูกเย่หวูเฉินช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นบางทีอาจต้องตกเป็นของทายาทตระกูลหลิน ตระกูลเย่รุ่งโรจน์ถึงขีดสุดก็เพราะเขา ตอนนี้ทั่วหล้าไม่มีใครกล้าท้าทายตระกูลเย่ บางทีกระทั่งคนใช้ในตระกูลยังไม่มีผู้ใดกล้ารังควาน เขามีอันใดถึงสมควรสงสัยลูกชายของตัวเอง

ทว่าเรื่องเกี่ยวพันถึงสายเลือด ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ย่อมไม่มีผู้ใดปล่อยวางได้ เขาไม่อาจปลดวางความคลางแคลงใจ กลายเป็นมารในหัวใจที่ยากจะไถ่ถอน ได้แต่ระงับความรู้สึกนี้ไว้ในใจ พยายามอย่างยิ่งไม่ให้กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

----

----



<<<PREV    .    NEXT>>>