วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 472

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 472 งานสมรสครั้งใหญ่ (3)

หลงฮวงเอ๋อร์ถูกส่งไปอีกห้องหนึ่ง ห้องหอของนางกับฮั่วฉุ่ยโหรวอยู่ในสวนของเย่หวูเฉิน สองห้องว่างถูกประดับอย่างหรูหราในหลายวันที่ผ่านมา ส่วนห้องของเย่หวูเฉินไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ เย่หวูเฉินไม่อนุญาติให้ผู้ใดแตะต้อง ตอนนี้หนิงเสวี่ย , ทงซิน รวมทั้งเสี่ยวโม่กำลังพิงอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกอย่างงมงายโดยไม่ออกไปไหน

เย่หวูเฉินต้องรับสุราอวยพรจากแขกที่มาจากทั่วสารทิศ.... ด้วยจำนวนคนที่มากล้นหลาม หากทักทายทุกคนจนถึงพรุ่งนี้ย่อมไม่มีทางเสร็จสิ้น เขาเริ่มจากในตระกูลเย่ ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า

“ท่านตา”

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ เฉินเอ๋อร์ ตาไม่มีอะไรจะกล่าวมาก มีหลานชายอย่างเจ้า ตาก็นอนละเมอมีความสุขอยู่ประจำแล้ว หลังจากนี้เจ้าต้องมาหาตาเพื่อเสพสุนทรีย์ในการวาดภาพกับตาบ้าง” หวังป๋อหัวเราะร่าขณะกล่าว เขามึนเมาเล็กน้อยขณะยกจอกสุราดื่มให้กับเย่หวูเฉิน

“อื้ม แน่นอนข้าจะต้องไปเยี่ยมท่านตาบ่อยๆ เพื่อขอคำชี้แนะจากท่านตา” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยความเคารพ

หวังป๋อนั่งลงด้วยรอยยิ้ม แม้เขาเป็นราชครู แต่ ‘ชี้แนะ’ สองคำนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หวูเฉินเขาย่อมไม่กล้าทำแน่

................

................

“จักรพรรดิคุย จักรพรรดิชาง ลำบากพวกท่านแล้วที่ต้องเดินทางมาไกล” ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่หวูเฉินคือคุยหลงจีจักรพรรดิแห่งคุยชุย และชางเสี้ยวอวิ๋นจักรพรรดิแห่งชางหลาน เขารินสุราให้ทั้งสองด้วยตัวเอง

จักรพรรดิทั้งสองยกจอกสุราขึ้น ชางเสี้ยวอวิ๋นยิ้มกล่าว “นายน้อยเย่ นี่คือวันที่ท่านมีความสุขมากที่สุด ผู้แซ่ชางยังไม่เคยรู้สึกสุขใจถึงเพียงนี้เช่นกัน เรื่องร้ายทุกอย่างได้กลายเป็นหมอกควัน ข้ากับพี่คุยสนทนากันถึงเรื่องนี้ ในที่สุดพวกเราได้ข้อสรุปว่าโลกนี้สงบลงเพราะท่าน ดังนั้น สุราจอกนี้มิใช่เพื่อแสดงความนับถือต่อพวกเรา แต่เป็นพวกเราที่แสดงความนับถือต่อท่าน.... ยินดีต่อท่าน รวมทั้งขอบคุณ”

คุยหลงจียิ้มและพยักหน้าเช่นเดียวกัน จอกสุราทั้งสามยกถูกขึ้นกระทบชนกัน คนทั้งสามกระดกดื่ม แต่ละฝ่ายมองกันด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ไม่ได้กล่าวมากความ แต่ด้วยสติปัญญาของคนทั้งสามทุกอย่างได้ถ่ายทอดออกมาจนหมดสิ้น หากไม่มีจักรพรรดิมาร ด้วยความทะยานของสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ ไม่ช้าก็เร็วโลกหล้าทั้งใบย่อมเกิดความโกลาหล อาณาจักรคุยชุยกลายเป็นหุ่นเชิดของสำนักจักรพรรดิเหนือมาตลอดหลายสิบปี อาณาจักรชางหลาน , อาณาจักรเทียนหลง และอาณาจักรต้าฟงย่อมไม่มีทางหนีพ้นชะตากรรมเดียวกันนี้ อยู่ที่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น ทว่าเป็นเพราะจักรพรรดิมาร สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือจึงถูกชำระล้าง ความทะเยอทะยานของอาณาจักรต้าฟงถูกปราบปราม สงครามได้ยุติลง อีกทั้ง ยามที่จักรพรรดิมารเผชิญหน้ากับพวกตนเพื่อเสนอข้อแลกเปลี่ยน เขาไม่เคยบีบคั้นใดๆทั้งสิ้น หลังจากอาณาจักรต้าฟงล่มสลาย พวกเขาทั้งสองได้แต่ทอดถอนใจ โลกนี้ไม่ได้ครอบงำจักรพรรดิมาร แต่เป็นจักรพรรดิมารที่ครอบงำโลกใบนี้ มีคนเพียงน้อยนิดที่รู้ว่าจักรพรรดิมารได้หยุดยั้งความโกลาหลครั้งใหญ่ที่เกือบจะเกิดขึ้นในทวีปเทียนเฉิน

ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อฟังจักรพรรดิมาร ตราบใดที่ดำรงตนดี เอาใส่ใจต่อปวงชน ตราบนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวจักรพรรดิมาร

“ท่านผู้เฒ่า” เย่หวูเฉินเดินมาถึงโต๊ะของเหยียนเทียนเว่ย กลุ่มที่นั่งในโต๊ะนี้ประกอบด้วยเหยียนเทียนเว่ย , เหยียนกงลั่ว , เหยียนต้วนชาง , เหยียนชิวชา , เหยียนกงเยว่ และเหยียนกงรั่ว โต๊ะที่อยู่ถัดไปเป็นเหยียนชิงหง และเหยียนชิวชา พร้อมด้วยบุคคลสำคัญอื่นๆในสำนัก อีกโต๊ะถัดไปเป็นพวกคนหนุ่มตระกูลเหยียน ทั้งหมดมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเย่หวูเฉินเดินตรงมา พวกเขาส่งเสียงอึกทึกกันแต่ไกล

“นายท่าน ให้พวกเราได้ช่วยท่านรินสุรา....” เหยียนเทียนเว่ยเพียงกำลังกล่าวคำ เขาก็พลันเห็นเย่หวูเฉินยกมือห้าม เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้เฒ่า วันนี้คือวันมงคลใหญ่ของข้า คำว่านายท่านอย่าได้เรียกหาอีกเลย วันนี้ขอให้ปฏิบัติต่อข้าเหมือนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง” 

“นี่.... เฮ่อ เฮ่อ ได้ พริบตาเดียวก็ผ่านไปเกือบสองปีแล้ว โชคชะตาของพวกเราได้เปลี่ยนไปเพราะท่าน.... โอ ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ดีกว่า วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ พวกเราตั้งแต่สูงยันต่ำทั้งสำนักต่างปิติยินดี สุขล้นจนเหมือนร่างกายแทบจะลอยได้ สุราจอกนี้ ข้าขอดื่มให้กับทุกคน” เหยียนเทียนเว่ยเป็นคนนำก่อน ยกจอกสุราขึ้นกระดกดื่ม

เย่หวูเฉินเดินไปต่อ ทว่าขณะนั้นเอง เขาถูกเหยียนกงรั่วลอบหยิกใส่อย่างรุนแรง นางแค่นเสียงและเบือนหน้าออก เย่หวูเฉินกัดฟันข่มความเจ็บ ทำได้เพียงฝืนยิ้มอย่างหมดหนทาง ไม่กล้าวุ่ยวายกับหญิงสาวที่ไม่ค่อยสบอารมณ์อีกต่อไป เหยียนต้วนชางยิ้มอย่างเสียไม่ได้ แลตามองและกระซิบ “เอ้อหยากับซื่อหยาโตขึ้นแล้ว....”

เหยียนเทียนเว่ย และ เหยียนต้วนชาง เวลานี้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักจักรพรรดิเหนือที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ขณะที่เหยียนกงลั่วยังคงอยู่ในสำนักมาร หากกล่าวถึงเครือข่ายและความสามารถ สำนักมารยังคงนับว่าแข็งแกร่งสุด ในอดีตพวกเขาอาศัยขุมทรัพย์จักรพรรดิบรรพชนแห่งเทียนหลงสร้างเครือข่ายไว้ครอบคลุมทั่วโลก ขณะที่สำนักจักรพรรดิเหนือและสำนักจักรพรรดิใต้เพิ่งถูกชำระล้าง ดังนั้นย่อมต้องใช้เวลาอีกนานในการพัฒนาขึ้น สำนักมารของตระกูลเหยียนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักจักรพรรดิเหนือ หากยังคงเป็นตัวตนลึกลับต่อไป เป็นดวงตาของจักรพรรดิมาร เป็นกระบี่คมกล้าที่ถืออยู่ในมือ

...................

...................

เย่หวูเฉินตรงไปยังโต๊ะถัดไป เหล่าคนหนุ่มพากันลุกขึ้น เฮยเซียงตรงออกมาเบื้องหน้า ขณะอ้าปากกล่าวได้เพียงคำว่า “นาย....” เขาก็พลันกลืนถ้อยคำลงไป เขาจำเป็นต้องปิดซ่อนสถานะของตัวเองไว้ ดังนั้นจึงลดเสียงลงและกระซิบกล่าว “นายท่าน วันเดียวแต่งงานกับภรรยาสองคน ข้าเฮยเซียงเกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นในวันนี้....”

“ว้าว! เจ้าสาวใหม่ทั้งสองคนงดงามปานนางฟ้า ข้าเห็นแล้วน้ำลายแทบหกออกมา!”

“เถี่ยหวาซื่อ หุบปากพล่อยๆของเจ้าซะ ภรรยาของนายท่าน เจ้ายังกล้าสามหาว”

“เจ้าลู่จื่อเน่า ภรรยาของนายท่านงดงามดุจนางฟ้า ข้าพูดผิดตรงไหน”

เย่หวูเฉินจ้องดูเฮยเซียงครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มแปร่ง “เฮยเซียง.... เจ้าดูค่อนข้างจะ....”

“ฮ่าย! นายท่าน อย่าว่าแต่ท่านเลย พวกเราเห็นเขาทีแรกยังจำไม่ได้ พอจำได้แล้วยังต้องตกใจ.... ชีวิตในวังคงจะสุขสำราญมาก อาหารการกินเอร็ดอร่อย ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกว่าเฮยเซียงแล้ว ให้เรียกเขาว่าเฮยหมู ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

เฮยเซียงในตอนนี้กับเฮยเซียงเมื่อหลายเดือนก่อนราวกับเป็นคนละคน เย่หวูเฉินยังได้เห็นเฮยเซียงตอนที่ทำลายตระกูลหลิน ตอนนั้นเขายังไม่เปลี่ยนไปมากนัก ทว่าหลายเดือนผ่านไป.... ร่างกายของเขาแทบจะหนาขึ้นหนึ่งเท่าตัว ก่อนหน้านี้เขามีร่างกำยำเหนือคนธรรมดาอยู่แล้ว โครงหน้าของเฮยเซียงในยามนี้ ทั้งเถี่ยหวาซื่อ , ซานลู่จื่อ และกลุ่มคนหนุ่มบนโต๊ะเดียวกัน รวมทั้งเย่หวูเฉินล้วนแทบไม่อาจจดจำเขาได้

“เฮ้” เฮยเซียงดูคล้ายอับอายขณะพึมพำหาทางแก้ตัว “ก่อนหน้านี้อยู่กับจักรพรรดิเหลวไหลนั่นต้องระวังตัวแจ แทบไม่ได้กินอยู่นอนสบาย แต่เดี๋ยวนี้พอเป็นจักรพรรดินีน้อย.... ไม่สิต้องเป็นนายหญิง ทุกอย่างดีขึ้นมาก ได้กินนอนดีขึ้นหลายเท่า ข้าก็เลย....”

เย่หวูเฉินอดยิ้มไม่ได้ในที่สุด พวกคนหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นกลางโต๊ะ เย่หวูเฉินเก็บยิ้มลงและกล่าว “พรุ่งนี้เที่ยงมาหาข้า ข้าช่วยเจ้าลดน้ำหนักได้”

เฮยเซียงตื่นเต้นดีใจทันที เขารีบกล่าว “ว้าว? จริงเหรอ? ไม่สิ.... นายท่านพูดแล้วต้องทำได้แน่.... แม่เจ้าๆ อีกไม่นานพ่อแม่ของข้าจะจำข้าได้แล้ว”

ทั้งโต๊ะระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

...............

“พี่ใหญ่ฉู่”

“โอ้ โอ้!” ฉู่จิงเทียนที่กำลังซัดอาหารอย่างตะกละตะกลามรีบร้อนยืนขึ้น กลืนอาหารในปากลงคอและส่งเสียง “น้อง.... น้องเย่ ยินดีด้วย ฮี่ ฮี่ ในที่สุดข้าฉู่จิงเทียนก็ได้เห็นว่าอะไรคือการแต่งงาน หากรู้เร็วกว่านี้ข้าคงไปชวนท่านปู่มาด้วยแล้ว”

เย่หวูเฉินเผยยิ้มบาง เขากลับไปยังทางเหนือเพื่อพบกับฉู่ชางหมิงมาแล้วครั้งหนึ่ง เย่หวูเฉินเชิญเขาให้มาร่วมงานมงคลใหญ่ด้วยตัวเอง อย่างไรเสีย ในอดีตฉู่ชางหมิงก็เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และคำตอบเป็นอย่างที่เขาคาด ด้วยจิตใจที่สงบจากโลกย่อมไม่ปรารถนาความวุ่นวาย เขายิ้มปฏิเสธอย่างอ่อนโยน จากนั้นถามถึงสตรีที่ชื่อ ‘เซียวรั่ว’ เย่หวูเฉินได้เล่าให้เขาฟัง บอกว่าเซียวรั่วอาศัยอยู่ในสถานที่เดียวกับเขาเมื่อ 13 ปีก่อน

เล่งหยาลุกขึ้นยืนและชูจอกสุราให้เขา ทันทีที่ชนจอกสุราก็ยกขึ้นกระดกดื่ม สีหน้ายังคงเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ ตลอดวันใบหน้าของเขาราบเรียบอยู่แบบนั้น ตัดกับบรรยากาศโดยรอบที่ครื้นเครงโดยสิ้นเชิง เย่หวูเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นได้แต่ถอนใจยาว ความตายของปิงเอ๋อร์ได้สะบั้นสายใยอารมณ์สุดท้าย หัวใจของเล่งหยากลายเป็นถ่านไฟมอด ไร้ความรู้สึกใดๆอีก ไม่ทราบว่าหนทางนำอารมณ์กลับคืนมายังมีอยู่หรือไม่ ทั้งที่จริงๆแล้ว เล่งหยาเป็นคนที่ใส่ใจยึดมั่นในอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

“ใต้เท้าหลิว....”

“ใต้เท้าฉี....”

“ใต้เท้ากงซุน....”

“ใต้เท้าลิ่ว....”

ตั้งแต่ในห้องโถงจนถึงนอกห้องโถง เหล่าขุนนางในราชสำนักที่ไม่ได้มีสัมพันธ์ใดๆล้วนถูกเย่หวูเฉินเรียกชื่ออย่างถูกต้อง ทุกคนปลาบปลื้มยินดีและรีบยกจอกสุราขึ้นเคารพ สายตามองการเคลื่อนไหวของเย่หวูเฉินอย่างระวัง ผ่านไปหลายจอกที่สุราไหลลงท้อง เย่หวูเฉินยังคงทักทายเป็นกันเอง ในที่สุดพวกเขาก็คลายใจ ผ่านไปอีกหลายจอก พวกเขาเริ่มกลัวว่าเย่หวูเฉินจะเมาด้วยฤทธิ์สุรา ทว่าพวกเขาต้องตกใจเมื่อพบว่าเย่หวูเฉินคอแข็งเป็นอย่างยิ่ง เย่หวูเฉินทักทายทุกโต๊ะที่อยู่ในสวนตระกูลเย่ ผู้ใดยกจอกสุราดื่มให้ เขาจะยกจอกสุราดื่มกลับ ผู้คนมองเขาซดสุราหลายสิบจอกอย่างหมดหนทาง ทว่าเขากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฝีเท้ายังคงมั่นคง แววตากระจ่างชัด ไม่มีอาการมึนเมาใดๆแม้แต่น้อย

ไม่ต้องกล่าวถึงสุรา เพียงน้ำหลายสิบแก้วคนทั่วไปก็ไม่อาจกลืนลงท้องแล้ว ผู้คนอ้าปากค้าง ลอบคิดว่าสมแล้วที่เป็นจักรพรรดิมาร ไม่อาจใช้สามัญสำนึกธรรมดาหยั่งวัดได้ ความคิดเรื่องเขาจะเมามายถูกลบออกไปจากสมองทันที

เย่หวูเฉินบรรลุถึงขั้น ‘พันจอกมิอาจเมามาย’ อย่างแท้จริง เพราะทันทีที่สุราไหลเข้าสู่ปาก พลังหวูเฉินจะเข้าสลายฤทธิ์ของมันในทันที จากนั้นพลังวารีจะกำจัดน้ำส่วนเกินให้ระเหยกลายเป็นไอ อย่าว่าแต่สิบๆจอกเลย พันจอก หรือหมื่นจอกก็ไม่อาจทำอันใดต่อเขาได้

ตั้งแต่ในตระกูลเย่ลามออกมาถึงข้างนอก ดื่มตั้งแต่บ่ายจนถึงมืด ทักษะการดื่มของเย่หวูเฉินทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงและสั่นกลัว

วันนี้ตลอดวัน เย่ฉุ่ยเหยาอยู่ในห้องของตัวเองไม่ออกไปไหน บางครั้งนางสงบนิ่ง บางครั้งนางยิ้มเงียบงัน ไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใด

เมื่อม่านราตรีตกลง เมืองเทียนหลงสว่างไสวด้วยโคมแดงพร้อมกับตระกูลเย่ เสียงครึกครื้นตลอดวันค่อยๆซาลง งานเก็บกวาดหลังจากนี้ย่อมเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากส่งแขกเหรื่อกลับไปแล้ว ในที่สุดตระกูลเย่ก็สงบลง หวังเวิ่นชูเริ่มเร่งทำความสะอาดภายในสวน ขณะเดียวกันก็ให้คนตรวจนับของขวัญที่ได้รับในวันนี้ แม้กระทั่งคนโง่ยังรู้ว่าของขวัญในวันนี้มีมากมายจนถึงขั้นน่ากลัว

ในที่สุดเย่หวูเฉินก็เสร็จธุระ เขากลับไปยังสวนของตัวเองโดยไม่ให้ใครตาม ฝีเท้าเบามากจนไร้สุ้มเสียง เขาไม่ได้ไปที่ห้องหอของฮั่วฉุ่ยโหรว หรือห้องหอของหลงฮวงเอ๋อร์ แต่กลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเงียบงัน



<<<PREV    .    NEXT>>>