วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 484

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 484 ขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งเทวะ – เย่หมิง (2)

นางเข้าใจแจ่มแจ้งว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปเทวะหมายถึงสิ่งใดต่อชาวทวีปเทียนเฉิน  ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังเพียงใด นางเข้าใจดียิ่งกว่าเย่หวูเฉิน

ไม่อาจต่อต้าน! ไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย!

หัวใจพลันหนักหน่วงราวกับถูกภูเขากดทับ เช่นเดียวกับเงาทะมึนที่ท่วมทับเย่หวูเฉิน ในที่สุด นางก็เข้าใจว่าเย่หวูเฉินหนักใจในเรื่องใด.... กลายเป็นว่าผู้ที่มาจากทวีปเทวะไม่ได้มีแค่พลังเหนือเทพอีกต่อไป หากแต่เป็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งเทวะ ที่กระทั่งทวีปปีศาจยังหวั่นกลัว!

เขาจะเอาสิ่งใดไปต่อต้าน!?

บางที เขาอาจทำได้เพียงหลีกเลี่ยงเท่านั้น.... ขอเพียงหลีกเลี่ยงให้ครบหนึ่งวัน เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น

เสี่ยวโม่ระงับกลิ่นอายของตัวเองทันที ป้องกันไม่ให้ผู้ที่มาจากทวีปเทวะตรวจพบ เพราะถ้าหากเทพผู้นั้นตระหนักถึงกลิ่นอายปีศาจจากตัวนาง มันย่อมสนใจและมุ่งหน้ามายังตระกูลเย่ที่นางอาศัยอยู่ในเวลานี้

ท่านพ่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ได้โปรดอย่าได้เป็นอะไร.... ข้าและคนอื่นๆจะรอท่านกลับมา

....................

....................

ด้านตะวันออกของเมืองเทียนหลง ณ หอคอยปีศาจ

มืดมิดและอับชื้น ไร้แสงสว่างใดๆ ในนี้มืดมิดเป็นแผ่นผืน ในจมูกได้กลิ่นผุผัง เย่หวูเฉินวาดมือส่งวายุออกปัดฝุ่น นี่คือสถานที่ซึ่งเคยผนึกทงซินไว้นานกว่า 20 ปี ธาตุทมิฬและธาตุมรณะที่สะสมในบริเวณแห่งนี้ได้สลายไปหมดแล้ว แม้ผู้คนจำนวนมากรู้ว่าสตรีเทพพิโรธได้ไปจากที่นี่ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาในที่แห่งนี้

ประตูศิลาถูกปิดไว้แน่น ไร้แสงใดๆส่องผ่าน นิ้วทั้งห้ายังไม่อาจมองเห็น หนิงเสวี่ยหวาดกลัวและกอดเย่หวูเฉินไว้ นางถามอย่างกระวนกระวาย “ท่านพี่ นี่คือที่ไหนเหรอ?”

ส่วนทงซินจำที่นี่ได้ทันที อย่างไรเสีย นางเคยถูกผนึกอยู่ในนี้มานานถึง 20 ปี เพียงปราดตาแรกนางก็จำได้ ทุกอย่างทุกตารางนิ้ว นางล้วนจดจำได้จนขึ้นใจ

“นี่คือที่ๆข้าพบพี่ทงซินของเจ้าในปีนั้น อย่ากลัวไปเลย ที่นี่นอกจากพวกเราแล้วไม่มีใครอยู่” เย่หวูเฉินกล่าวปลอบอย่างอ่อนโยน

พอได้ยินว่านี่คือที่ๆทงซินเคยอาศัยอยู่ในอดีต ความกลัวของหนิงเสวี่ยจึงคลายลงหลายส่วน นางถามต่อทันที “พวกเรามาเที่ยวดูที่อยู่เก่าของพี่ทงซินเหรอ?”

เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ ทว่าในความมืดนางย่อมไม่อาจมองเห็น เขากระซิบด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เสวี่ยเอ๋อร์ อย่าพึ่งพูด ตอนนี้อย่าพึ่งพูดอะไร เข้าใจมั้ย?”

น้ำเสียงเคร่งเครียดทำให้หัวใจของหนิงเสวี่ยบีบรัด นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

โซ่ทองคำถูกเรียกออกจากแหวนเทพกระบี่ เย่หวูเฉินวางทงซินลงจากอก เอวของนางบางพอโอบด้วยแขนเดียว เขามองดวงตาดำขลับของนางในความมืดและกระซิบ “ทงซิน เจ้าคงรู้สึกแล้วเช่นกัน นั่นคือผู้ที่จะมาพรากเจ้าจากไป.... คนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งยิ่งกว่าเจวี๋ยเทียนในอดีตหลายเท่า พวกเราไม่อาจเขาชนะคนผู้นั้นได้ ดังนั้น ตอนนี้ข้าทำได้เพียงปิดบังกลิ่นอายของเจ้าไว้ เข้าใจมั้ย?”

ทงซินมองโซ่ตรวนผนึกปีศาจที่อยู่ในมือเขา ราวกับว่านางเข้าใจบางสิ่ง หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของเย่หวูเฉิน นางจะพยักหน้าทำตามเย่หวูเฉินโดยไม่มีข้อแม้

โซ่ตรวนผนึกปีศาจไม่เพียงสามารถพันธนาการสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่มันยังสามารถยับยั้งพลังและกลิ่นอายได้ ในอดีตทงซินถูกมัดไว้ด้วยโซ่ตรวนผนึกปีศาจ ทำให้ระหว่าง 20 ปีที่ผ่านมา เทพจากทวีปเทวะจึงไม่เคยพบนาง ดังนั้น สิ่งแรกที่เย่หวูเฉินต้องทำในเวลานี้ คือปิดกั้นกลิ่นอายของทงซินไว้ด้วยโซ่ตรวนผนึกปีศาจ

ทว่าครั้งนี้ ศัตรูแข่งแกร่งอย่างยิ่ง จิตสัมผัสและการับรู้ย่อมเหนือล้ำถึงขีดสุด เขาไม่ทราบว่าวิธีนี้จะสามารถตบตาและรอดพ้นจากอันตรายได้หรือไม่

เย่หวูเฉินเหวี่ยงมือ โซ่ทองคำพันรอบร่างของทงซิน ตั้งแต่ศีรษะจรดจนถึงปลายเท้า แน่นหนาเหมือนในอดีตที่โผล่ออกมาเฉพาะดวงตา เย่หวูเฉินกอดหนิงเสวี่ยไว้แน่น วางทงซินนั่งอยู่ข้างๆ และกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ทงซิน ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”

เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของทงซินหายไป เมื่อถูกปิดกั้นไว้ด้วยโซ่ตรวนผนึกปีศาจ เขายื่นมือออก วาดมือกลางอากาศสองสามครั้ง สร้างม่านพลังไร้ตัวตนกางไว้หลายชั้น จากนั้นกอดหนิงเสวี่ยไว้ ไร้การเคลื่อนไหว

“เสวี่ยเอ๋อร์ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องถามสิ่งใด เพียงเจ้าหลับตาลง หากง่วงก็หลับอยู่ตรงนี้สักพักหนึ่งได้” เย่หวูเฉินลูบเรือนผมของหนิงเสวี่ยซ้ำแล้วซ้ำอีก เวลาที่อยู่กับนางทุกขณะทุกนาทีล้วนล้ำค่า เขาจะต้องรักษานางให้อยู่ข้างกายไว้ตลอดไป.... ไม่อย่างนั้น อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเขาจะหายไป

หนิงเสวี่ยนิ่งงันอยู่ในอ้อมแขนของเขา นางเริ่มสัมผัสได้ถึงความกระวนกระวายในใจเขา นางขยับร่างตัวเองให้ชิดเข้าไป สัมผัสความอบอุ่นจากร่างกาย เพื่อปลอบประโลมหัวใจเขา

หอคอยปีศาจมืดอย่างน่ากลัว เงียบงันจนน่าขนลุก ทว่าโลกที่อยู่ภายนอกหอคอยปีศาจกลับเป็นอีกฉากหนึ่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้มีแสงรัศมีสว่างเจิดจ้า อากาศแผดร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผู้คนแหงนศีรษะขึ้นมองฟ้า ต่างต้องตกตะลึงและหวาดผวา

ท้องฟ้า.... ปรากฎพระอาทิตย์สองดวง! ดวงหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนอีกดวงหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก ดวงหนึ่งเปล่งแสงรัศมีสีขาวจนผู้คนไม่อาจมองตรง ส่วนอีกดวงที่ปรากฎขึ้นอย่างประหลาดทางทิศตะวันตก มันเปล่งแสงสีทองสว่างเจิดจ้า เมื่อผู้คนมองไปยังพระอาทิตย์สีทอง ความรู้สึกแผดร้อนก็ลุกลามในหัวใจ แสบร้อนราวกับถูกเผาไหม้

เงาทะมึนแห่งเทวะ กลิ่นอายแห่งเทวะกำลังปกคลุมผืนทวีปเทียนเฉินในชั่วเวลานี้

เย่หมิง หนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปเทวะ ในที่สุดก็ได้มาถึงในยามนี้....

อาณาจักรคุยชุย ที่ตั้งปัจจุบันของสำนักมาร เหยียนต้วนชางและเหยียนเทียนเว่ยยืนอยู่บนหลังคาเคียงไหล่กัน มองไปยังพระอาทิตย์สีทองที่ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน

“นี่.... นี่มัน.... พลังอะไรกัน!”

เหยียนต้วนชางผู้ครองพลังเทวะกำลังสั่นสะท้าน บุรุษผู้ไม่รู้จักความกลัวกลับกำลังสั่นกลัว พลังที่ร่วงลงมาจากฟ้าแกร่งกล้าเหนือพวกเขาไปไกลลิบ ด้วยพลังของเขา ทำให้เขาทราบอย่างแจ่มแจ้งว่าพลังนี้น่ากลัวเพียงใด.... เผชิญหน้ากับพลังปานนี้ ฟันของเขาสั่นกระทบกัน หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง จิตวิญญาณสั่นสะท้านด้วยความกลัว

หวาดกลัว.... ฝูงมดย่อมหวาดกลัวภูเขาที่ท่วมทับอยู่บนหัว!

เหยียนเทียนเว่ยไม่กล่าวตอบ เมื่อเหยียนต้วนชางเคลื่อนสายตามองเหยียนเทียนเว่ย เขาพลันพบว่าเหยียนเทียนเว่ยกำลังร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ร่างกายสั่นสะท้านรุนแรงไม่ต่างไปจากเขา

เขารู้สึกหวาดกลัวเช่นเดียวกัน ดุจคนอ่อนแอและต่ำต้อย ที่ย่อมสั่นกลัวต่อพลังอันเป็นที่สุด

ไม่มีทางที่สิ่งนี้จะเป็นพลังของมนุษย์ ไม่มีทางที่มนุษย์คนใดจะมีพลังถึงขั้นนี้ เป็นพลังที่พวกเขาไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยิน กระทั่งไม่เคยจินตนาการถึง พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าพลังนี้สามารถทำลายเมืองใดๆในทวีปเทียนเฉินได้ในพริบตา

พลังนี้ไม่สมควรปรากฎอยู่บนทวีปเทียนเฉิน เพราะด้วยพลังปานนี้ หากคิดลงมือเพียงเล็กน้อย ย่อมสร้างหายนะร้ายแรงต่อทวีปเทียนเฉิน

ใคร.... มันเป็นใครกันแน่!

พระอาทิตย์เหนือท้องฟ้าขยายใหญ่ออก กดดันจนพวกเขาแทบจะหยุดหายใจ มันขยายใหญ่และเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ.... ราวกับภูเขาสูงเสียดฟ้าหล่นทับลงมาบนหัว

บนผืนทวีปเทียนเฉิน ทุกผู้คนที่ฝึกปรือพลังยุทธต่างแหงนมองด้วยใบหน้าซีดเผือด สั่นกลัวขณะมองพระอาทิตย์สีทองบนท้องฟ้า ตื่นตระหนกและหอบหายใจ ความโกลาหลแผ่ลามไปทั่วตระกูลยุทธและตระกูลเวทย์ นี่คือพลังที่พวกเขาไม่อาจทำใจเชื่อ เป็นพลังที่สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง ต่อให้ทวีปเทียนเฉินผนึกกำลังทั้งหมดก็ไม่อาจต่อต้าน บุคคลผู้นี้ ไม่สิ เทพผู้นี้.... ยังคงร่วงลงจากฟ้า หากสัมผัสลงถึงพื้นคราใด ทั่วผืนทวีปเทียนเฉินย่อมเผชิญหน้ากับหายนะ!

ทวีปเทียนเฉินไม่เคยถูกปกคลุมด้วยเงามหึมาเช่นนี้มาก่อน การปรากฎของพระอาทิตย์สีทอง ทำให้ผู้คนหยุดงานในมือทันที รอคอยอย่างตื่นตระหนกและหวาดกลัว.... บางทีชะตาของทวีปเทียนเฉินอาจเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ บางทีพวกเขาอาจตื่นตระหนกไปเอง หรือบางที พวกเขาอาจกำลังรอคอยความตาย!

ภัยพิบัติครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาในฉับพลัน ผู้ใดจะช่วยพวกเขาได้.... จักรพรรดิมาร? จักรพรรดิมารผู้ทรงอำนาจ.... เขาจะปรากฎกาย ขับไล่พลังอันน่าสะพรึงนี้ ทำลายความกลัวสุดขีดในหัวใจ.... ผู้คนนับไม่ถ้วนตะโกนคำจากหัวใจส่วนลึก จักรพรรดิมารทรงอำนาจไร้สิ้นสุด หากนี่คือหายนะจริงๆ ความหวังหนึ่งเดียวที่พวกเขาคิดได้ในยามนี้คือจักรพรรดิมาร

พระอาทิตย์สีทองขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผืนปฐพีเริ่มถูกฉาบทาด้วยสีทอง ปราดตาแรกแสงนี้ราวกับจะบดบังดวงตะวัน อุณหภูมิของอากาศพุ่งทะยานขึ้น ยิ่งมายิ่งแผดเผา ผู้คนตกอยู่ในความกลัว สัตว์อสูรตกอยู่ในความกลัว สัตว์ป่าหนีเป็นแผ่นผืน หนีตายกันอย่างโกลาหล ตรงกันข้ามกับเย่หวูเฉินที่อยู่ในความมืด ที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนที่เงียบสงบ

ร้อนระอุแผดเผา.... แผดเผาจนน่ากลัว ดวงอาทิตย์สีทองยังคงขยายออก จนตอนนี้ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ธรรมดาถึงสามเท่า ทว่าเวลานี้เอง ดวงอาทิตย์สีทองกำลังเคลื่อนไหว มันเปลี่ยนทิศทางจากตะวันตก มุ่งสู่ท้องฟ้าทิศตะวันออกอย่างฉับพลัน

ร่างของเย่หมิงห่อหุ้มด้วยแสงทองคำอันแผดเผา อาบย้อมเย่หมิงให้ปรากฎเป็นดุจเทพสวรรค์ ดวงตาคมกล้ามองลงไปยังผืนโลกเบื้องล่าง ใบหน้าคมคายเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม “องค์หญิงเฮยเย่ องค์หญิงไป่เย่.... ข้าพบพวกท่านแล้ว!”

ตำแหน่งที่เย่หมิงกำลังหยุดสายตามอง คือท้องฟ้าด้านตะวันออกของเมืองเทียนหลง.... ตรงกับหอคอยปีศาจ!

ม่านพลังของเย่หวูเฉินเป็นแบบกั้นทางเดียว ทำให้เขารับรู้ถึงพลังที่อยู่ด้านนอกได้ เมื่อต้นกำเนิดพลังนั้นเคลื่อนที่จากระยะไกล หัวใจของเย่หวูเฉินพลันหล่นวูบลงสู่ก้นเหว

มันพุ่งตรงมายังทางนี้! พลังแกร่งกล้าที่เขาไม่อาจต่อต้าน พุ่งมาถึงฉับพลันและหยุดอยู่เบื้องบน เขารู้สึกได้แม้กระทั่งดวงตาที่จับจ้องเหยียดหยามมาทางพวกเขา

เห็นอยู่ชัดๆว่ากลิ่นอายของทงซินถูกสกัดกั้นด้วยโซ่ตรวนผนึกปีศาจ ทั้งยังผสานกับม่านพลังกางกั้นอีกหลายชั้น.... ทว่ามันกลับพุ่งมาถึงนี่โดยไม่ทราบว่าอาศัยสิ่งใด.... โซ่ตรวนผนึกปีศาจคือสมบัติที่จักรพรรดิใต้ทิ้งไว้ สิ่งที่มันผนึกไว้ไม่สมควรถูกพบโดยขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรือ!

หรือว่า.... จะเป็นความบังเอิญ?

“องค์หญิงไป่เย่ องค์หญิงเฮยเย่ ผู้น้อยเย่หมิงรับบัญชาจากองค์เทพจักรพรรดิให้มารับพวกท่านกลับ ได้โปรดอย่าขัดขืนหรือซ่อนตัวอีก.... ไม่ว่าพวกท่านจะซ่อนตัวอยู่แห่งใด หรือใช้วิธีใดซ่อนตัวก็ตาม ตราบใดที่รากฐานพลังของพวกท่านไม่ถูกกำจัด พวกท่านย่อมไม่มีวันหลุดรอดจากสายตาข้าได้”

เสียงล้ำลึกแผ่มาจากท้องฟ้า ตรงเข้าสู่สถานที่ที่เย่หวูเฉินอยู่ เขากอดหนิงเสวี่ยไว้แน่นทันที กอดรัดไว้แน่นมาก ด้วยกลัวว่าหากตัวเองไม่ระวัง นางจะถูกพรากไปจากอ้อมกอดเขา



<<<PREV    .    NEXT>>>