วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 478

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 478 การจากลา

ฉู่จิงเทียนถอยเท้าออกห่างจากกระบี่คร่าสายลม พลิกฝ่ามือเรียกกระบี่ชางหมิงกลับคืน “ข้าอาจจะพ่ายแพ้ด้วยมือเจ้า.... แต่ข้าไม่เคยตายด้วยมือเจ้า.... เจ้าอาจไม่ใช่เล่งหยา.... เพราะหากเขาตื่นขึ้นแล้วรู้ว่าได้ฆ่าข้าด้วยมือตัวเอง เขาย่อมตายตาม.... ใช่ เล่งหยา เจ้าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ข้าเองก็ไม่มีพ่อแม่เช่นเดียวกัน ความรู้สึกของเจ้าข้าย่อมเข้าใจดี เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าคือคนที่เข้าใจเจ้ามากที่สุดในโลก และเพราะเข้าใจเจ้า ข้าจึงกลายเป็นสหายกับเจ้า แม้เจ้าเคยชินกับการอยู่เพียงตัวลำพัง แต่ข้ารู้ว่าเจ้านับถือข้าเป็นสหายอย่างจริงจัง นอกจากข้าแล้ว เจ้ายังมีเพื่อนพ้องอยู่อีกมาก เจ้าไม่ได้ตัวลำพัง เหตุใดเจ้าถึงยอมสูญเสียจิตใจของตัวเอง.... เจ้าในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเจ้าเลย.... หากเจ้าได้ยินข้า เช่นนั้นจงรีบเอาชนะจิตมาร แล้วรีบตื่นขึ้น....”

“อ๊าก........”

“อ๊ากกกก!!”

ม่านตาสีแดงดุจดาวมฤตยูเริ่มหม่นลง กระบี่คร่าสายลมในมือยังร่วงลงพื้น คนทั้งร่างทรุดเข่ากระแทกลง มือกุมศีรษะคำรามดุจสัตว์ป่า.... นี่ไม่ใช่เสียงของเล่งหยา มันไม่สมควรเป็นเสียงของมนุษย์ เสียงนี้ชวนให้นึกถึงสัตว์ป่าดุร้ายได้เท่านั้น

เขากำลังดิ้นรน ไม่ทราบว่ากำลังดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งใด

ฉู่จิงเทียนยื่นมือเดินตรงไปเบื้องหน้า วางมือลงไปบนไหล่ของเล่งหยา ทว่าทันใดนั้นเอง แววตาของเล่งหยาพลันสาดประกายโลหิต เขาคำรามโกรธเกรี้ยวดุจปีศาจ ฉู่จิงเทียนผงะถอยหลังสองสามก้าว เล่งหยาคว้ากระบี่คร่าสายลมขึ้นจากพื้น ตวัดคมกระบี่แหวกอากาศน่าหวาดหวั่นตรงไปที่ฉู่จิงเทียน คมกระบี่แผ่แรงกดดันไปถึงเหยียนต้วนชางที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบเมตร

เคร้ง!!

ทันทีที่กระบี่ชางหมิงสัมผัสเข้ากับประกายสีเขียวดุจสายฟ้า ฉู่จิงเทียนพลันตื่นตระหนกกับเสียงตัดผ่าน ใบกระบี่ครึ่งหนึ่งปลิวหลุดออกไป ที่เหลืออีกครึ่งปลิวไปอีกทิศ แยกห่างกันไกลลิ่ว.... หัวใจของฉู่จิงเทียนดิ่งวูบราวกับร่วงลงสู่หุบเหว

กระบี่คร่าสายลมไม่ได้ปักสู่ร่างของฉู่จิงเทียนเหมือนตอนแรก มันหยุดลงขณะสัมผัสผิวของฉู่จิงเทียน

แต่ทว่า กระบี่ชางหมิงขาดครึ่ง!

“ชางหมิง.... ชางหมิง....”

กระบี่คร่าสายลมจ่ออยู่ตรงอก หากฉู่จิงเทียนกลับไม่ได้คิดถึงมัน เขาราวกับคนสูญเสียจิตใจ ม่านตาไร้จุดรวมศูนย์ สีหน้าเลื่อนลอย มือขวาที่ถูกกระบี่กระแทกไม่อาจรู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ.... กระบี่ชางหมิงเป็นดั่งชีวิต คือบางสิ่งที่หนักหนายิ่งกว่าชีวิต.... ไม่ สำหรับเขาแล้วมันไม่อาจเรียกว่าบางสิ่ง มันคือสหายอีกคนที่เขาพึ่งพาทั้งชีวิต ทว่ามันกลับขาดครึ่งด้วยฝีมือสหายสนิทของเขา

เล่งหยายังคงอยู่ในท่านั้น แสงแดงก่ำในแววตาพลันหม่นลง พร้อมกับประกายสีฟ้าที่หายไป ทำให้เขาพลันเข้าใจว่าทำสิ่งใดลงไป ร่างกายทรุดลงคุกเข่าอย่างเงียบงัน ทว่าฉับพลันนั้น เล่งหยาพุ่งทะยานร่างขึ้นไปสูงลิ่ว ด้วยความเร็วเหนือล้ำจินตนาการของผู้คน.... เพียงพริบตาเดียว เขาได้หายไปจากเส้นสายตา ไม่ปรากฎร่องรอยอีก

“ชางหมิง.... เล่งหยา....” ฉู่จิงเทียนพึมพำแผ่วเบาในปาก มองยังทิศที่เล่งหยาหายไปดุจคนไร้วิญญาณ

เล่งหยา , กระบี่ชางหมิง.... สองสหายที่สำคัญสูงสุดสำหรับเขา เพียงในวันเดียวทั้งสองได้จากเขาไป โลกของเขาราวกับว่างเปล่าในฉับพลัน ไร้สีสันใดๆอีก

เย่หวูเฉินลอยร่างลงจากอากาศในยามนี้ เขากำลังเตรียมไล่ตามเล่งหยา ทว่าเขาพลันเห็นเฮยเซียงนอนทอดร่างอยู่บนพื้นเสียก่อน ม่านตาหดวูบลง เขารีบลงมาและย่อกายอยู่ข้างๆเฮยเซียง

“นายท่าน!” เห็นเย่หวูเฉินปรากฎกาย ซานลู่จื่อและคนอื่นๆราวกับพบเสาหลักให้พึ่งพิง พวกเขารวมตัวกันอยู่ข้างกายเย่หวูเฉินทันที ทว่าหัวใจหนักหน่วงไม่อาจผ่อนคลาย สายตามองเฮยเซียงที่นอนอยู่บนพื้น น้ำตาของพวกเขาหลั่งไหลออกมาอีกครั้ง หลายคนเงยศีรษะขึ้น กัดริมฝีปากแน่น ไม่ปรารถนาให้ผู้ใดเห็นน้ำตา พวกเขาอดกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองไว้ ลูกผู้ชายต้องไม่หลั่งน้ำตา.... ตั้งแต่เติบโตจนเป็นหนุ่ม นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาหลั่งน้ำตา เพราะพวกเขากำลังโศกเศร้าถึงขีดสุด

เย่หวูเฉินถอนมือออกจากเฮยเซียง กำหมัดสั่นเทาไว้แน่น ในที่สุดก็พ่นลมหายใจยาวและหลับตาลง หากเฮยเซียงเพียงบาดเจ็บสาหัส เย่หวูเฉินสามารถรักษาเขาได้ในทันที ทว่าพลังชีวิตของเฮยเซียงไม่หลงเหลือ.... เขาไม่ได้บาดเจ็บเพียงเฉพาะหัวใจ แต่พลังทมิฬได้ซึมแทรกสู่บาดแผล กระจายทั่วร่างและกลืนกินชีวิตของเขา

“สามี” หลงฮวงเอ๋อร์ผวาเข้าอ้อมอก ในที่สุดก็ร้องไห้กระซิกออกมา ต่อหน้าเขานางไม่เคยเป็นจักรพรรดินี แต่เป็นสาวน้อยผู้งมงายเมื่อสามปีก่อน ผู้ที่ปรารถนาให้เขากอดไว้ ปรารถนาให้เขาพาไปเที่ยวเล่น

มุมหางตาของเหยียนต้วนชางเปียกชื้น ทว่ามันถูกระเหยออกไปด้วยพลังเพลิงวิญญาณของเขาทันที เขาถอนหายใจกล่าว “นายท่าน เฮยเซียงเขา....”

“ไม่จำเป็นต้องพูด” เย่หวูเฉินโบกมือขึ้น กอดหลงอวงเอ๋อร์ที่หวาดกลัวไว้ในอกแน่น ลูบแผ่นหลังของนางอย่างแผ่วเบา “บอกพ่อแม่ของเฮยเซียง ท่านลุงกับท่านน้าสิบเจ็ด.... จากนั้น ทุกอย่างขอฝากให้ท่านจัดการ”

น้ำเสียงของเย่หวูเฉินแฝงแววอ่อนแออย่างล้ำลึก เขาถอนหายใจยาว ปล่อยหลงฮวงเอ๋อร์ออกจากอก จากนั้นกุมมือของเสี่ยวโม่ พุ่งบินไปยังทิศทางที่เล่งหยาเพิ่งหายไป

เย่หวูเฉินพบความผิดปกติของเล่งหยาเมื่อก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เขายังมักตีความจากถ้อยคำของเสี่ยวโม่ แต่ทว่า เห็นได้ชัดว่าในกายของเล่งหยาซ่อนบางสิ่งที่ร้ายแรงเกินจินตนาการไว้ นั่นไม่ใช่เพียงอาการของสายใยอารมณ์ที่ขาดสะบั้นลง.... มีบางอย่างที่ทรงพลังซ่อนไว้ เป็นดุจระเบิดเวลาที่พร้อมแสดงอำนาจ

“เสี่ยวโม่ เจ้ารู้อะไร?” เย่หวูเฉินบินฝ่าสายลมเย็นและเอ่ยถามอย่างสงบ

“ข้า....” เสี่ยวโม่ลังเล นางไม่ได้กล่าวตอบ

“ข้ารู้มาตลอดว่าเจ้าไม่ต้องการบอกเรื่องนี้กับข้า แต่ตอนนี้ จงบอกข้ามา ข้าไม่ต้องการให้มีเรื่องผิดพลาดใดๆอีก” เย่หวูเฉินมองไปเบื้องหน้า กล่าวอย่างราบเรียบ จากแววตาที่วูบไหวของเสี่ยวโม่ เขารู้ว่านางปิดบังบางสิ่งไว้จากเขา ด้วยความยึดติดของเสี่ยวโม่ต่อตัวเขา นางย่อมมีเหตุผลที่ทำให้ไม่อาจบอกได้ ดังนั้นที่ผ่านมาเขาจึงไม่ฝืนบังคับคาดคั้นจากนาง

ในที่สุดเสี่ยวโม่ก็เลิกปิดบัง นางก้มศีรษะลงกล่าว “ปราณปีศาจของเขา.... คุ้นเคยอย่างมาก.... ตอนแรกยังรู้สึกแปลกแยกอยู่มาก ทว่าต่อมากลับยิ่งคุ้นเคยขึ้นเรื่อยๆ ราวกับ.... ราวกับว่า....”

“ราวกับอะไร” เย่หวูเฉินขมวดคิ้วมุ่น

“ราวกับ.... ราวกับคนที่ถูกเสวี่ยเย่แห่งสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์สังหาร.... พี่ชายของข้า”

เย่หวูเฉิน “!!”

เย่หวูเฉินหยุดอยู่กลางอากาศและมองไปเบื้องหน้า เนื่องจากร่องรอยปราณปีศาจของเล่งหยาได้หายไป ไร้ร่องรอยอย่างสิ้นเชิง เขามองไปรอบๆอย่างจดจ่อ ทุกชีวิตในพื้นที่ ทุกต้นหญ้า ไม่มีสิ่งใดหลุดรอดจากจิตสัมผัส ทว่าเขาไม่อาจพบว่าเล่งหยาอยู่แห่งใด

เสี่ยวโม่ไม่กล่าวคำอีก นางหดร่างอยู่ในอ้อมอกของเย่หวูเฉินอย่างกระวนกระวาย บ่อยครั้งที่ลอบมองสีหน้าของเขา เย่หวูเฉินลอยนิ่งอยู่บนอากาศเป็นเวลานาน จากนั้นหันร่างกลับไปในที่สุด

ความสงบที่เพิ่งได้รับ กลับกลายเป็นปั่นป่วนอีกครั้ง

ทว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของความโกลาหลครั้งใหม่

......................

......................

เฮยเซียงถูกฝังร่างอยู่ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ สถานที่ที่เขาถือกำเนิด ในวันนั้น ทวีปเทียนเฉินไม่มีคนของสำนักมารแม้แต่ผู้เดียว เพราะผู้คนแห่งสำนักมารทั้งหมดได้มารวมกันที่ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณเพื่อส่งเฮยเซียง ทุกผู้คนไม่ว่าเด็กหรือชราเพียงใด ไม่ว่ามีงานสำคัญอยู่ในมือแค่ไหน ต่างล้วนกลับไปที่หุบเหวปลิดวิญญาณในวันนั้นโดยไม่มียกเว้น

เฮยเซียงเป็นคนแรกที่ตกตายหลังออกจากหุบเหวปลิดวิญญาณ

คนหลายร้อยรวมตัวอยู่หน้าหลุมศพของเฮยเซียง บ้างก็อดกลั้นน้ำตาไว้ บ้างร้องไห้สะอึกสะอื้น คนภายนอกย่อมไม่มีทางเข้าใจความผูกพันธ์ของผู้คนในโลกสันโดษแห่งนี้ พ่อแม่ของเฮยเซียงยืนอยู่น้าหลุมศพ แววตาเลื่อนลอยมองไปยังป้ายหลุม พ่อของเขาแทบไม่กล่าวคำตลอดวัน แม่ของเขาร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง พวกเขามีบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น

ผู้คนผลัดกันจุดธูป วันนี้หลงฮวงเอ๋อร์ยังถูกเย่หวูเฉินพาตัวมาด้วย ทั้งสองส่งเฮยเซียงด้วยกัน เฮยเซียงชื่นชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจ พวกเขาอาหารทุกอย่างที่เขาชอบมาเซ่นไหว้ มากมายเป็นกองใหญ่ เขาตายเพื่อหลงฮวงเอ๋อร์ ดังนั้น ไม่ว่าเย่หวูเฉินหรือหลงฮวงเอ๋อร์ พวกเขาย่อมรู้สึกขอบคุณเฮยเซียงไปจนชั่วชีวิต

อย่างไรก็ตาม หลายวันที่ผ่านมา ฉู่จิงเทียนราวกับจู่ๆแก่ขึ้นนับสิบปี คนที่ครั้งหนึ่งเคยร่าเริงไร้ความกังวล ยามนี้ราวกับคนผู้ผ่านลมฝนอันโหดร้ายมามาก ผมเผ้าของเขารุงรัง ใบหน้าเลื่อนลอย ยืนอยู่อย่างเงียบงันที่หลังสุดของกลุ่มคน เมื่อทุกคนกล่าวลาเฮยเซียงแล้ว เขาจึงย่ำเท้าหนักหน่วงก้าวออกมาเบื้องหน้า.... คุกเข่าอย่างรุนแรงลงต่อหน้าหลุมศพของเฮยเซียง

ไม่มีผู้ใดกล่าวคำ ไม่มีใครประคองเขาขึ้น ผู้คนทราบว่าเขากำลังกอบกู้ชื่อเสียงและชดใช้แทนเล่งหยา.... มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้หัวใจของเขารู้สึกดีขึ้น

“ต้าหนิว” ลุงสิบเจ็ด พ่อของเฮยเซียงที่ไม่กล่าวคำมานาน ยามนี้กลับเอ่ยปากออกมา น้ำเสียงแหบพร่าทำให้ผู้คนที่คุ้นเคยเขารู้สึกแปลก แตกต่างจากคนเดิมอยู่ล้ำลึก “ลุกขึ้นเถอะ เล่งหยาเป็นสหายของนายท่าน หากเขาเป็นคนชั่วช้าย่อมไม่อาจเป็นสหายกับนายท่านได้ พวกเราทุกคนรู้ว่าหัวใจของเขาสับสนไม่เป็นตัวเอง ข้าไม่โทษว่าเขา.... ไม่โทษว่าเขาจริงๆ.... เมื่อเขากลับมา พวกเราจะอภัยให้เขา ดังนั้น อย่าได้ลงโทษตัวเองเลย พวกเราไม่ได้กล่าวโทษเขา”

ความแค้นที่สังหารบุตรชาย บิดาผู้โศกเศร้ากลับยอมปล่อยวางได้ แม่ของเฮยเซียงสะอึกสะอื้นตัวโยน พยักหน้าหนักให้กับฉู่จิงเทียน พวกเขาเติบโตขึ้นมาในโลกอันบริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อญาติมิตรของตัวเองด้วยความจริงใจและอดทน ฉู่จิงเทียนลุกขึ้นและหันร่างกลับมา ใบหน้ามีน้ำตาสองสาย เขาคุกเข่าลงอย่างหนักหน่วงต่อหน้าคู่สามีภรรยาสิบเจ็ด ตะโกนคำแผ่วเบา “เฮยเซียงไม่อยู่แล้ว.... และตัวข้าไร้ทั้งพ่อและแม่มาตั้งแต่เด็ก.... จากนี้ต่อไป พวกท่านได้โปรดเป็นพ่อแม่ของข้า ข้าจะดูแลพวกท่านไปจนชั่วชีวิต....”

ไม่ว่าจะเคยเห็นฉู่จิงเทียนหรือไม่ ผู้คนต่างรู้สึกสัมผัสจับใจกับการกระทำของเขาในยามนี้ คนผู้มีร่างใหญ่โต แข็งแรงกำยำ มักหัวเราะร่าเริงอยู่เสมอ อัจฉริยะผู้งมงายในวิถีกระบี่ เขากลับมีจิตใจดีงามถึงปานนี้ เขาทำเพื่อเฮยเซียง เพื่อสหายสนิทของเขา และเพื่อพ่อแม่ของเฮยเซียง....

ด้วยเหตุนี้ เย่หวูเฉินจึงเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเรียกเขาว่า “พี่ใหญ่ฉู่”

คู่ผัวเมียสิบเจ็บแห่งตระกูลเหยียน ถูกกระตุกหัวใจอย่างรุนแรง พวกเขารีบเข้าประคองฉู่จิงเทียนให้ลุกขึ้น แม่ของเฮยเซียงพยักหน้าทั้งน้ำตา “ดี.... ดี.... พวกเรามีลูกชายอีกครั้งแล้ว.... มีลูกชายอีกครั้ง....”

ได้รับการยอมรับจากทั้งสอง ฉู่จิงเทียนจึงโขกคารวะกับพื้นหนักหน่วงสามครั้งทันที ใบปากเปล่งคำเอ่ยหาครั้งแรกในชีวิตอย่างตะกุกตะกัก “ท่านพ่อ.... ท่านแม่....”

ในวันนี้เขามีพ่อแม่แล้ว คู่ผัวเมียสิบเจ็ดแห่งตระกูลเหยียนได้สูญเสียลูกชายอันเป็นที่รัก และได้รับลูกชายอีกคนในวันนี้เช่นกัน พวกเขาซบไหล่ร้องไห้ต่อกัน ไม่ทราบมีคนเท่าใดที่ปาดน้ำตาด้วยความโศกเศร้าให้กับพวกเขา เป็นน้ำตาที่อบอุ่นผสมกับความโศกเศร้า

......................

......................

หลังจากที่เฮยเซียงจากโลกนี้ไปได้เจ็ดวัน

ฉู่จิงเทียนสะพายกระบี่ยาวเข้ามาในตระกูลเย่ ดูจากด้ามและฝักแล้ว นั่นคือกระบี่ชางหมิงที่ขาดครึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ กระบี่เทวะถูกทำลาย แทบไม่มีโอกาสที่จะซ่อมแซมได้อีก

“น้องเย่ ข้าต้องไปแล้ว” วันนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเย่หวูเฉินแล้วไม่มีรอยยิ้ม แม้เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะยิ้มเหมือนทุกครั้งก็ตาม ทว่าหลังจากดึงมุมปากขึ้นหลายครั้ง เขาก็พบว่าตนเองไม่อาจยิ้มได้ น้ำเสียงยังไร้ความร่าเริงเหมือนแต่ก่อน มีแต่ความหดหู่ใจอันล้ำลึก

“ไปไหนเหรอ?” เย่หวูเฉินถาม

“ตามหาเล่งหยา”

“........” เย่หวูเฉินมีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งสำนักจักรพรรดิใต้ สำนักจักรพรรดิเหนือ และสำนักมาร ทั้งหมดมองหาที่อยู่ของเล่งหยาตลอดเวลากันอยู่แล้ว

“ข้าต้องตามหาด้วยตัวเอง.... ต้องหาเขาให้พบ” ฉู่จิงเทียนกล่าว น้ำเสียงของเขาเดียวดายอย่างยิ่ง เย่หวูเฉินได้ยินความแน่วแน่ที่ไม่มีวันเปลี่ยน

“ไป บางทีเล่งหยาอาจกำลังรอท่านอยู่ แต่โปรดจำไว้ว่าให้กลับมาที่นี่บ่อยๆ ให้ข้าได้รู้ว่าท่านยังปลอดภัย” เย่หวูเฉินลอบถอนใจอย่างเงียบงัน บอกกล่าวอย่างอ่อนโยน ความพลิกผันนี้ทำให้ฉู่จิงเทียนกลายเป็นอีกคนในชั่วข้ามคืน การเปลี่ยนคนๆหนึ่งนับเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก.... ไม่เหมือนแผ่นดินและผืนฟ้าที่ยากจะเปลี่ยนแปลง เพราะพวกมันไม่มีสิ่งสำคัญให้พะวง

“อืม.... น้องเย่ ดูแลตัวเองด้วย ข้าจะต้องพาเล่งหยากลับมา เพราะเขากับเจ้าล้วนเหมือนกัน คือเป็นสหายสนิทของข้า” ฉู่จิงเทียนพยักหน้า ไม่รั้งรออีก และหันร่างเตรียมออกไป

“พี่ใหญ่ฉู่” เย่หวูเฉินส่งเสียงหยุดเขา จากนั้นกล่าว “แม้กระบี่ชางหมิงถูกทำลายไปแล้ว แต่วิธีกระบี่อาจไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่จริงๆ นิ้วอาจใช้ต่างกระบี่ เส้นผมอาจใช้ต่างกระบี่ ทุกส่วนของร่าง แม้กระทั่งจิตใจก็อาจใช้ต่างกระบี่ได้....”

“อื้ม!” ฉู่จิงเทียนมองมาเบื้องหลัง ตอบรับหนักแน่นคำหนึ่ง ในที่สุดใบหน้าก็ฉายแววแห่งความสุขออกมาในยามนี้ ทว่าเย่หวูเฉินยังคงไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเขา

ฉู่จิงเทียนคืออัจฉริยะแท้จริงในวิถีกระบี่ เป็นสุดยอดพรสวรรค์อันหายาก เขาจะฝากชื่อไว้ในทวีปเทียนเฉินตลอดกาล กลายเป็นตำนานเทพกระบี่ที่ไม่มีผู้ใดก้าวข้าม หัวใจของเขาเรียกได้ว่าอยู่ใน ‘วิถีกระบี่เทพ’ นับจากนี้ต่อไป เขากำลังเดินสู่เส้นทางแห่งความเป็นที่สุดอย่างแท้จริง

จบเล่มที่แปด.



<<<PREV    .    NEXT>>>