วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 477

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 477 บ้าคลั่ง (2)

เมื่อวานนี้พวกเขาอาศัยอยู่ในสวนเดียวกัน อีกทั้งยังไม่ได้กลับไปนอนที่ห้อง ตรงกันข้าม พวกเขานอนอยู่ในสวนคอยดูดาว พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน สุขสันต์ในแต่งแต่งของเย่หวูเฉิน เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ จนถึงช่วงแยกกันกระจายตามทวีปเทียนเฉิน เล่าทุกสิ่งที่ได้ประสบอันน่าสนใจ พวกเขาฟังฉู่จิงเทียนเล่าถึงชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายในดินแดนทางเหนือ.... ตลอดค่ำคืนเสียงหัวเราะดังแทบไม่เคยหยุด ทุกคนสุขสำราญร่วมกัน ไม่มีเรื่องใดต้องห่วงกังวล

เมื่อวานนี้เฮยเซียงหัวเราะโง่งมอย่างจริงใจ พวกเขาล้อเลียนเฮยเซียงอย่างสนุกสนาน ทว่าผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน เฮยเซียงต้องจากไปไกลลับ.... คนที่ฆ่าเขากลับกลายเป็นเล่งหยา สหายสนิทผู้เป็นดั่งพี่น้องของเขา.... ความเจ็บปวดในใจจึงสูงทวียิ่งกว่าผู้ใด

ได้ยินเสียงตะโกนของฉู่จิงเทียน ร่างของเล่งหยาพลันหยุดชะงักชั่วขณะ ในช่วงที่ชะงักงัน เขาถูกหมัด ‘เพลิงวิญญาณผลาญเมฆา’ ของเหยียนต้วนชางต่อยใส่ทรวงอก พลังนี้ทำลายได้แม้กระทั่งภูผา ทว่าเมื่อถูกอกของเล่งหยาเขากลับไม่ล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว เหยียนต้วนชางไม่ทันได้ตกใจ แรงสะท้อนได้กระแทกร่างเขาให้ถอยร่นออกมา มีเสียง ‘กร็อบ’ ดังลั่นขึ้น ข้อมือของเขาเคลื่อนทันที ร่างกายสะท้านสะเทือนด้วยแรงสะท้อน

ทว่าหมัดนี้ยังทำให้เล่งหยาฟื้นขึ้นจากอาการสับสนเพราะเสียงตะโกน เขามองเหยียนต้วนชางที่ชะงักร่างลงพื้น กระบี่คร่าสายลมในมือยกขึ้นช้าๆ  พอสูงถึงระดับหน้าผาก เขาก็ตวัดออกไปทันที....

กระบวนท่ารุนแรงที่สุดของเล่งหยา คมกระบี่ปลิดชีวิต หนึ่งเส้นสวรรค์!

ยิ่งต่อสู้กับเล่งหยา เหยียนต้วนชางก็ยิ่งตื่นตะลึง เขาเคยเห็นพลังของเล่งหยามาก่อน ทว่าวันนี้เขาต่างจากเล่งหยาที่เคยรู้จักโดยสิ้นเชิง ทุกขณะแห่งการต่อสู้ ความรู้สึกภายในล้วนอึดอัด จากไอปราณประหลาดและกระบี่คร่าสายลมที่ตวัดวาด ทว่ายามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘หนึ่งเส้นสวรรค์’ ด้วยตัวเอง เขาพลันเข้าใจว่ากระบวนท่าที่เคยสังหารอาวุโสเหยียนเจิ้งแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือนี้น่ากลัวเพียงใด ทันทีที่กระบี่คร่าสายลมตวัดวาด อากาศว่างราวกับกลายเป็นขอบคมบางเฉียบ หนักหน่วงยิ่งกว่าดาบใหญ่ คลื่นอากาศพุ่งเข้ามาเบื้องหน้า ด้วยพลังของเหยียนต้วนชางกลับรู้สึกถึงกลิ่นอายความตายที่เข้ามาใกล้ ก่อนที่สมองจะทันตอบรับ ร่างกายก็โคจรพลังสูงสุดเข้าป้องกัน

ชี่ว์!!!

พลังเพลิงวิญญาณที่กางกั้นถูก ‘หนึ่งเส้นสวรรค์’ ตัดขาดในพริบตา หากสุดท้ายเส้นโลหิตมิได้ตัดถูกร่างของเขา แรงกระแทกทำให้เหยียนต้วนชางปลิวไปข้างหลัง เส้นโลหิตบางๆวับผ่านใบหน้าเฉียดออกที่ขา วินาทีนั้น เหยียนต้วนชางเกือบคิดว่าตัวเองถูกตัดครึ่ง

วิกฤตยังไม่จบลง เล่งหยายกกระบี่คร่าสายลมขึ้นอีกครั้ง แต่แขนเขาไม่ได้ตวัดลง โลกภายในปั่นป่วนฉับพลันด้วยเสียงที่ดังข้างหู

“เคล็ดเทพกระบี่.... เบี่ยงวิถีสวรรค์!”

ด้วยพลังที่บรรจุลงไปในกระบี่ กระบี่ชางหมิงเรืองแสงสีฟ้าแล้วบินลิ่วขึ้นด้านบน เขาตวัดข้อมือ ลำแสงสีฟ้าทำให้ม่านตาโลหิตของเล่งหยาทอแสงเล็กน้อย เขาชะงักการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทว่าในขณะต่อมา กระบี่คร่าสายลมได้ตวัดเป็นแสงโลหิต เหวี่ยงเข้าต้านรับกระบี่ชางหมิง เมื่อสองกระบี่สัมผัสกัน สีหน้าของฉู่จิงเทียนพลันขาวซีด กระชี่ชางหมิงไม่อาจเทียบพลัง มันถูกฟาดกระเด็นปลิวไปไกลลิบ.....

ฉู่จิงเทียนมองกระบี่ชางหมิงปลิวไปไกลลิ่วพร้อมกับหอบเอาอากาศ เขาตะโกนคำดังลั่น “เล่งหยา.... ตื่นได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเจ้า.... เจ้าย่อมไม่ใช่คนแบบนี้.... เจ้าตื่นเร็วเข้า! มัวทำบ้าอะไรอยู่!”

ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!

ศรปราณสามดอกพุ่งแหวกอากาศ กรีดร้องตรงสู่อกของเล่งหยา เล่งหยาตวัดมือขวาเข้ารับธรรมดา เกิดเสียง ‘ปัง ปัง ปัง’ สามครั้ง ศรปราณที่เหยียนต้วนชางยิงมาสลายกลายเป็นผง แม้กระทั่งพลังเพลิงวิญญาณระดับเทวะที่อัดแน่นในศรปราณยังไม่อาจทำอันตรายเล่งหยาได้ เหยียนต้วนชางอยู่ที่ข้างๆร่างชุ่มเลือด ในใจยิ่งมายิ่งคลุมด้วยเมฆทะมึนดำ.... เขาพบว่าเฮยเซียงตายแล้ว

เนตรปีศาจสังหารโลหิต.... มีผลร้ายกาจถึงเพียงนี้?

“อ๊าก!!! ข้าจะฆ่าเจ้า!”

นับจากนี้ จะไม่มีเสียงหัวเราะโง่งมของเฮยเซียงอีก พวกเด็กหนุ่มทั้งหมดพุ่งไปที่เล่งหยาอย่างเกรี้ยวกราด ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งได้ยืนขวางหน้า ฉู่จิงเทียนชี้ปลายกระบี่ที่พึ่งเรียกกลับมาไปที่พวกเขา ใบหน้าสงบ กล่าวคำอย่างหนักแน่น “อย่าเข้ามา.... ผู้ใดก็ห้ามเข้ามา! ปล่อยเขาให้ข้าจัดการ!”

“เจ้านั่นแหละหลีกทางให้ข้า!”

“ปล่อยเขาให้ข้า!!!!”

เสียงคำรามลั่นดุจสายฟ้าทำให้พวกเขาตะลึงงัน ฉู่จิงเทียนในสายตาของพวกเขาคือคนเรียบง่าย ซื่อสัตย์ และเป็นมิตร อีกทั้งลักษณะยังดูโง่งม ไม่มีผู้ใดเคยเห็นด้านนี้ของเขา สีหน้าแววตาและน้ำเสียงปานนี้ ล้วนไม่เคยพบหรือได้ยินจากเขา พวกเขามองฉู่จิงเทียนด้วยสีหน้าซับซ้อนและเจ็บปวด หากพลันฉุกคิดได้ว่าคนที่เจ็บปวดมากที่สุดไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นฉู่จิงเทียน.... เพราะสหายสนิทของเขาได้สังหารเพื่อนพ้อง!

“ปล่อยเขา.... เวลานี้จิตใจของเล่งหยาปั่นป่วน บางทีเขาอาจเรียกสติของเล่งหยาได้” เหยียนต้วนชางสูดหายใจหนัก การตอบสนองเล่งหยาต่อเสียงของฉู่จิงเทียน ล้วนอยู่ในสายตาของเขา

พวกเขาถอยออกมาในที่สุด ยืนอยู่ข้างเฮยเซียงและมองไปที่เล่งหยา แววตาฉายความเกลียดชังอันซับซ้อน

....................

....................

ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลงฮวงเอ๋อร์ออกไปจากตระกูลเย่

เย่หวูเฉินตรงไปที่ห้องของฮั่วฉุ่ยโหรวอย่างเงียบงัน ฮั่วฉุ่ยโหรวหลับอยู่ตรงข้างหนึ่งของเตียงแต่งงาน ใบหน้าเล็กๆประดับด้วยรอยยิ้มบาง เขายังคงมองเห็นร่องรอยลมฝนกระหน่ำเมื่อค่ำคืน รอยยิ้มบางของนางช่างน่าหลงใหล หัวใจของเย่หวูเฉินพลันอ่อนลง เขาค่อยๆนั่งลงที่ข้างเตียง เวลานี้ฮั่วฉุ่ยโหรวลืมตาขึ้น แววตาครึ่งเอียงอาย ครึ่งงมงายมองมายังเขา

“นอนไม่หลับหรือ” เย่หวูเฉินเชื่อว่าเขาไม่ได้เสียงดังทำให้นางตื่น นางลืมตาขึ้นในยามนี้ เห็นได้ชัดว่านางนอนไม่หลับ

“เปลี่ยนที่นอนใหม่.... ข้าเลยตื่นขึ้นก่อน” ฮั่วฉุ่ยโหรวตอบคำตามตรง เทียบกับหลงฮวงเอ๋อร์แล้วนางตื่นเช้ากว่ามาก ตั้งแต่เด็กจนโตนางนอนเฉพาะบนเตียงในห้องของตัวเอง ไม่เคยเปลี่ยนที่ เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่นางนอนบนเตียงอื่นในสถานที่อื่น ความไม่คุ้นชินกับสถานที่และเตียงนอนทำให้นางตื่นขึ้นก่อนเวลา

“เดี๋ยวก็ค่อยๆคุ้นกับมันเอง เกรงว่าหลังจากนั้น เสี่ยวโหรวโหรวของข้าคงนอนขี้เซาอยู่ข้างสามีนางตลอดไป” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว

“อื้ม....” ฮั่วฉุ่ยโหรวก้มศีรษะตอบ ไม่กล้าเงยขึ้นสบตา ระหว่างที่ลืมตัว ผ้าห่มที่คลุมกายได้ลุ่ยลงไปมากกว่าครึ่ง หน้าอกขาวโผล่ออกมาครึ่งใบ มีชั้นในบดบังผิวลื่นไว้ นางทรงเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง  ก่อนหน้าที่เย่หวูเฉินจะเข้ามา นางได้ลอบสวมชุดชั้นในไว้ใต้ผ้าห่มแล้ว

เมื่อหน้าอกของนางโผล่ออกมาเต็มใบ เย่หวูเฉินมองเห็นยอดเม็ดบัวนูนอยู่ใต้ชั้นใน เย่หวูเฉินสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม คว้าเอาอกอ่อนนุ่มของนางไว้ในมือ จากนั้นเค้นคลึงเบาๆ ฮั่วฉุ่ยโหรวนุ่มนวลและน่าหลงใหล เปรียบประดุจสายน้ำ แม้นี่เป็นห้องหอของนาง และมีเพียงเย่หวูเฉินกับนางเพียงสองคน ทว่านางยังคงเอียงอายจนหน้าแดงเรื่อเป็นผืนใหญ่ นางไม่โหดร้ายพอจะปฏิเสธเขา ดังนั้นจึงทำได้เพียงเอียงอาย ร้องขอความเมตตาอย่างน่าสงสารด้วยเสียงแผ่วเบา “สามี อย่าพึ่งเลยนะ.... ตอนนี้.... เช้าแล้ว คนที่อยู่ข้างนอก.... จะได้ยินเข้า”

“สบายใจได้ รับรองไม่มีใครได้ยิน” เย่หวูเฉินปลอบนางอย่างนุ่มนวล มือเชยคางงามของฮั่วฉุ่ยโหรวขึ้น โน้มกายลงไปที่ปาก ฮั่วฉุ่ยโหรวเม้มริมฝีปากบาง คู่ดวงตาม่านน้ำพริ้มลงด้วยความรักใคร่ แก้มบอบบางเรื่อแดงจากการรุกเร้าของเย่หวูเฉิน ความเอียงอายติดตัวนางมาแต่กำเนิด ต่อให้อยู่เพียงลำพังกับเย่หวูเฉินก็ไม่อาจขจัดออก ทว่าความอายที่ปรากฎบนดวงหน้าดุจนางฟ้า สามารถทำให้บุรุษใดๆเลือดลมพลุ่งพล่านได้ในทันที ขณะเดียวกันยังต้องยับยั้งไว้ เพื่อปฏิบัติต่อนางให้นุ่มนวลมากที่สุด

ทว่านางหลับตารอคอยเป็นเวลานาน เย่หวูเฉินกลับไม่จูบถึงริมฝีปาก มือที่เค้นคลึงบนอกยังหยุดลง นางลอบลืมตาขึ้นและพบว่าคิ้วของเขามุ่นลงเล็กน้อย

เขาประคองไหล่ของฮั่วฉุ่ยโหรวให้นอนลง ช่วยดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้ จากนั้นกระซิบที่ข้างหูนาง “รอข้าก่อน ข้าจะออกไปข้างนอกสักพักหนึ่ง”

“อื้ม....”

จุมพิตบนหน้าผาก เย่หวูเฉินออกจากห้องไปเงียบๆ ชั่วขณะที่หันกาย สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้น ใบหน้าฉายแววจริงจัง

ก้าวออกมานอกห้อง ท้องฟ้าสว่างมากแล้ว ในสวนมีเงาเล็กๆร่างหนึ่งยืนมองไปทางทิศราชวัง เมื่อเห็นเย่หวูเฉินเดินออกมา แววตานางก็เป็นประกายเล็กน้อย “ปราณปีศาจ!”

“อืม ข้ารู้แล้ว” เย่หวูเฉินพยักหน้า ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่เล่งหยาเปิดเนตรโลหิต มีใบหน้าปีศาจยิ้มเหยียดอยู่บนฟ้าเหนือร่าง

เหยียนเทียนเว่ยลอยร่วงลงมาจากฟ้า หยุดลงข้างๆเย่หวูเฉินแล้วเร่งกล่าว “นายท่าน เป็นเงาทมิฬเหมือนกับเงาปีศาจในตอนนั้น ที่ข้ากับนายท่านเคยเจอ หากเป็นอย่างที่นายท่านเคยบอก ว่านี่เกิดขึ้นจากพลังของเล่งหยา เช่นนั้น.... หรือว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูน่าหวาดหวั่น?”

“ท่านผู้เฒ่า ท่านอยู่ดูแลที่นี่” เย่หวูเฉินกล่าวจบก็ลิ่วร่างขึ้นฟ้า บินตรงไปที่ราชวังทันที เสี่ยวโม่ตามไปโดยไร้ความลังเล เย่หวูเฉินพลันตระหนักได้ เขารอเสี่ยวโม่มาถึง จากนั้นอุ้มนางและบินไปอย่างรวดเร็ว

เปลือกตาของเหยียนเทียนเว่ยเต้นกระตุกหลายครั้ง รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

.....................

.....................

“เล่งหยา.... เจ้าหน้าน้ำแข็ง! ข้ารู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดเจ้า.... เจ้ากำลังสับสนเพราะอะไรบางอย่าง นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า.... หากเจ้ายังเข้าใจข้า เช่นนั้นก็รีบตื่นขึ้นมาได้แล้ว!” ฉู่จิงเทียนร่างแข็งตึง ฟันสั่นเครือ เขาตะโกนออกไปดังลั่น

ดวงตาโลหิตสับสนอยู่ชั่วขณะ เล่งหยาสะบัดศีรษะหนักหน่วง ทันใดนั้น เขาตะโกนก้องพุ่งเข้าหาฉู่จิงเทียน ทิ้งเงาดำลากยาวเป็นทางตามไว้เบื้องหลัง

“เคล็ดเทพกระบี่ มังกรบินพิโรธร่วง!!”

กระบี่ชางหมิงบินลิ่วออกไป ก่อคลื่นอากาศพุ่งไปที่เล่งหยา เล่งหยาสะบัดมือธรรมดา ฟาดกระบี่ชางหมิงปลิวออกไปโดยตรง จากนั้นเร่งกายไปที่ฉู่จิงเทียน ส่งคมกระบี่แล่นตรงไปที่อก....

ไร้โลหิตสาดกระจาย ปลายกระบี่สีเขียวหยุดที่ตรงอกของฉู่จิงเทียน แววตาของเล่งหยาสั่นไหว กระบี่คร่าสายลมในมือสั่นเทา ไม่อาจเคลื่อนคมกระบี่ไปเบื้องหน้าอีกได้ ซานลู่จื่อและคนอื่นๆใบหน้าถอดสี หัวใจแทบหลุดออกมาด้วยความตระหนก เมื่อเห็นสถานการณ์ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย เหยียนต้วนชางที่เกือบยิงศรปราณจึงพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขายังจำฉู่จิงเทียนได้ ถึงแม้บ้าคลั่งแต่ไม่ได้สูญสิ้นสติทั้งหมด ทว่ายามนี้ พวกเขาไม่อาจเข้าไปใกล้ ต้องให้ฉู่จิงเทียนค่อยๆตะล่อมช้าๆ ไม่อย่างนั้นหากพวกเขาลงมือ เล่งหยาอาจบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้งได้



<<<PREV    .    NEXT>>>