วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 450

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 450 ช่วยเหลือจากภายนอก , สำนักมาร

“เรียบง่ายมาก” ชูเกอเสี่ยวหยูตอบราบเรียบ “เจ้าเห็นเพียงความเคร่งครัดของพวกมัน แต่กลับลืมไปว่าที่พวกมันพร้อมใจกันบุกอาณาจักรเทียนหลงของข้า เป้าหมายของมันคือสิ่งใด”

“อาณาจักรต้าฟงเคร่งครัดในระเบียบมิได้เป็นเพราะพวกมันยึดถือกฎเกณฑ์ยิ่งกว่าพวกเรา แต่เป็นเพราะพวกมันล้วนมาที่นี่เพื่อตัวเองเท่านั้น ขวัญกำลังใจของพวกมันก็เช่นกัน ทหารแห่งเทียนหลงต่อสู้เพื่อขับไล่ศัตรูผู้รุกราน ทำสงครามเพื่ออาณาจักร ส่วนทหารแห่งต้าฟงต่อสู้เพื่อตัวเอง สภาพอากาศของอาณาจักรต้าฟงเลวร้ายอย่างมาก ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยพายุทราย เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วทวีป พวกมันอิจฉาอาณาจักรเทียนหลงที่มีแต่ความสงบ ปรารถนาครอบครองแผ่นดินเทียนหลงเพื่อจะได้พาตนเองและครอบครัวให้พ้นจากความแร้นแค้น ดังนั้น อาณาจักรต้าฟงจึงไม่เคยเกณฑ์ไพร่พลเป็นทหาร คนจำนวนมากล้วนอาสาเป็นทหารด้วยตัวเอง พวกมันต่อสู้เพื่อตัวเอง ต่อสู้เพื่อชีวิตวันหน้า ดังนั้นพวกมันจึงเคร่งครัดในกฎของกองทัพ ไม่ย่อท้อยามอยู่ในสนามรบ....”

“อย่างไรก็ตาม วันนี้กองทัพของพวกเราโยนของมีค่าจำนวนมมากลงสู่พื้น ของเหล่านั้นแม้หาได้ไม่ยากในอาณาจักรเทียนหลง แต่สำหรับพวกมันทั้งชีวิตอาจเพิ่งได้เคยเห็นสิ่งของเสื้อผ้าและเครื่องประดับงดงามเช่นนี้ ชีวิตของพวกมันต่อสู้เพื่ออนาคตตนเองและครอบครัว มีหรือจะยอมปล่อยสิ่งของล่อใจมากมายเช่นนี้หลุดมือไปง่ายๆ ยามที่กองทัพของพวกเราโยนของเหล่านั้นออกไป พวกมันย่อมทำได้เพียงเก็บของ ‘ล้ำค่า’ เหล่านั้นไว้ เพื่อหวังนำกลับไปให้พ่อแม่และลูกเมีย ต่อให้พวกมันรักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ต่อหน้าสิ่งเหล่านั้นย่อมไม่นับเป็นอันใด”

ชูเกอเสี่ยวหยูกล่าวคำจบ ทั่วทั้งห้องโถงพลันกลายเงียนกริบ หากเข็มตกลงคงได้ยินทันที ไม่เพียงต้องเข้าใจยุทธวิธีการรบบนสมรภูมิเท่านั้น บางครั้งยังต้องเข้าใจความปรารถนาของผู้คน เพราะนั่นมักเป็นกุญแจนำไปสู่ชัยชนะหรือพ่ายแพ้

เย่ฮุยถอนหายใจ “ขุนพลปิงหยุน ไม่แปลกใจแล้ว ว่าเหตุใดธิดาเยาว์วัยอย่างเจ้าจึงได้รับความไว้วางใจจากขุนพลชราเย่.... ข้าช่างโง่เขลาจริงๆ มีหรือบุคคลที่ขุนพลชราเย่ไว้ใจมอบความรับผิดหนักหนาจะเป็นเพียงเด็กสาวไม่รู้ความ.... ข้ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากถาม ตอนที่ข้าถูกซุ่มโจมตี ขุนพลปิงหยุนไม่ส่งทัพออกมาโดยทันที แต่รอจนกว่าเตรียมหุบเขาแยกเมฆาจนพร้อมใช่หรือไม่? ขุนพลปิงหยุนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าข้าจะยกทัพออกไป?”

“ไม่เลว....” ชูเกอเสี่ยวหยูกล่าวตอบอย่างองอาจ “ตั้งแต่ข้าเข้ามายังเมืองอวิ๋นหัว เจ้าคงไม่ทันได้สังเกต แม้ว่าข้าจะแนะนำเจ้าในวันนั้น แต่ข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องขัดคำสั่งและนำทัพออกไป อาณาจักรต้าฟงจะต้องซุ่มรออยู่ทางทิศใต้ ดังนั้นข้าจึงส่งหน่วย ‘อัสนีเพลิงฟ้า’ ออกทางประตูทิศเหนือ ให้เตรียมการรออยู่ที่หุบเขาแยกเมฆา พร้อมกับส่งทหารของพวกเราเผาค่ายทัพด้วยอัสนีลั่นสะเทือนฟ้า ไล่ต้อนกองทัพต้าฟงให้ล่าถอยไปยังหุบเขา ข้าได้ยินจากชาวบ้านในเมืองว่าหุบเขาแยกเมฆาเวลานี้เต็มไปด้วยหญ้าแห้ง นั่นนับเป็นจุดวางเพลิงชั้นยอด เย่ฮุย พูดได้ว่าหากไม่ใช่เพราะเจ้านำทัพออกไปโดยพลการ เพื่อหวังสังหารกองทัพต้าฟง ข้าคงต้องลำบากมือเท้ามากกว่านี้”

เย่ฮุยจ้องมองโง่งม ทุกคนในห้องโถงตะลึงงันอยู่กับที่.... แผนการนี้อาศัยความปรารถนาของผู้คน , การจัดวางกับดัก , กลยุทธ์ทางทหาร , ภูมิประเทศ และการแปรขบวนทัพ เมื่อได้ฟังชูเกอเสี่ยวหยูกล่าวสาธยาย ย่อมจินตนาการได้เลยว่าพวกเขาตกตะลึงเพียงใด นี่ต้องใช้ความคิดพิถีพิถันปานใด ต้องมีไหวพริบทางสงครามและการหยั่งรู้ปานใดถึงจะบรรลุได้.... สตรีอัศจรรย์ถึงปานนี้ พวกเขากลับดูถูกเหยียดหยาม พอคิดถึงสิ่งที่กระทำไว้ก่อนหน้า พวกเขาก็ได้แต่ละอายตนเอง

กลายเป็นว่าเย่ฮุยเป็นหมากกระดานตัวหนึ่งโดยที่ไม่รู้ตัว ชูเกอเสี่ยวหยูไม่เพียงวางแผนต่อศัตรู แต่ยังวางแผนกับฝ่ายตนเอง ทำลายกองทัพต้าฟงนับแสน โดยสูญเสียทหารเมืองอวิ๋นหัว 9,000 นาย และทหารของนางอีกเพียง 2,000 นาย หากไม่นับทหารเมืองอวิ๋นหัวที่เย่ฮุยพาออกไปย่อยยับแล้ว จำนวนทหารที่สูญเสียเมื่อเทียบสัดส่วนนับว่าเล็กน้อยอย่างมาก

“ยอดเยี่ยม.... ยอดเยี่ยมนักขุนพลปิงหยุน ความสำเร็จในวันหน้าของเจ้า ย่อมก้าวข้ามชูเกอหวูอี้บิดาเจ้าเป็นแน่.... ข้ายอมรับด้วยความจริงใจ ขอตกตายโดยไร้ความเกลียดชัง”

“ขุนพลปิงหยุน ขุนพลเย่ฮุยแม้ยากที่จะหลีกหนีความผิด แต่เขามีชื่อเสียงเป็นที่เคารพในเมืองอวิ๋นหัวอย่างมาก ไม่ควรที่จะแขวนศีรษะของเขาเหนือประตูเมืองต่อหน้าผู้คน” คนผู้หนึ่งก้าวออกมา กล่าวคำอย่างระมัดระวัง

“ไม่จำเป็น” ผู้ที่กล่าวคำนี้กลับกลายเป็นเย่ฮุย วาจาและท่าทางล้วนไร้ความกลัว “ผลงานของขุนพลปิงหยุนประทับจับใจข้าอย่างมาก หากความตายของข้าสามารถแสดงให้ผู้คนได้เห็นถึงการรักษากฎระเบียบ เชื่อว่าย่อมไม่มีผู้ใดกล้ากระด้างขัดขืนแบบเดียวกันกับข้าอีก ดังนั้น ข้าเต็มใจ!”

ชูเกอเสี่ยวหยูโบกมือ เย่ฮุยถูกจิงเหลยและจิงหั่วลากออกไปข้างนอก นางประหารเย่ฮุยเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง สองเพื่อรักษากฎ สาม.... มาจากความต้องการแก้แค้นอันเห็นแก่ตัว ตั้งแต่เล็กจนโตหากมีใครกล้าล่วงล้ำนาง นางจะหาวิธีทำให้มันรู้สึกแย่ ความดื้อรั้นยืนกรานของหญิงสาวฝังลึกถึงกระดูกดำ ต่อให้นางพยายามอย่างยิ่งเพื่อเป็นกุลสตรี ทว่านางย่อมไม่มีวันทำได้....

วันต่อมา ข่าวใหญ่เรื่องหุบเขาแยกเมฆาได้ส่งไปถึงเมืองซีหลู กองทัพเทียนหลงดีใจเป็นแผ่นผืน เย่หนู่ถือจดหมาย ฉีกยิ้มกว้างขณะกล่าวคำ “ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเลี้ยงดูธิดาที่ยอดเยี่ยม แม้เจ้าจะมีเพียงธิดาคนเดียว แต่ทั้งชีวิตนับว่าเพียงพอแล้ว ฮี่ ฮี่ เฉินเอ๋อร์ของข้าคงไม่คู่ควรกับนางแล้ว”

เมืองซีหลูยามนี้กำลังเผชิญหน้ากองทัพต้าฟงนับล้าน หลายวันมานี้ประจัญหน้ากันอยู่หลายครั้ง แพ้ชนะยังไม่อาจตัดสิน แต่ต่างฝ่ายล้วนไม่มีทางประนีประนอม แรงกดดันที่ท่วมมายังเมืองซีหลูนับวันยิ่งมากขึ้น ข่าวการกวาดล้างกองทัพต้าฟงนับแสนโดยชูเกอเสี่ยวหยูทำให้เขาแปลกใจ และถอนหายใจว่าตัวเองคงชราแล้ว ในที่สุดอาณาจักรเทียนหลงก็ปรากฎอัจริยะยอดขุนพล

ชูเกอหวูอี้ระงับความสุขอย่างยากลำบาก สั่นศีรษะขณะกล่าวตอบ “ขุนพลเย่ยกย่องเกินไปแล้ว ลูกสาวข้าใช้ลูกไม้เอาชนะได้ด้วยความโชคดี.... แต่นายน้อยเย่ครั้งหนึ่งผ่าร่างฟงเฉาหยางด้วยพลังตัวเอง ทำลายล้างกองทัพนับหมื่นเพียงตัวลำพัง จนกระทั่งถึงตอนนี้.... ทั่วหล้ายังมีสตรีใดที่เขาไม่คู่ควร”

เย่หนู่พับจดหมายลง สีหน้าแห่งความสุขพลันหายไปพร้อมกับถอนหายใจ “เย่ฮุยขัดคำสั่งเคลื่อนทัพโดยพลการ ทำให้ถูกซุ่มโจมตีเสียหายสาหัส เขาจึงถูกเสี่ยวหยูสั่งกุดหัวและแขวนไว้เหนือประตูเมือง แสดงต่อหน้าสาธารณชนเป็นเวลาสามวัน”

สีหน้าของเย่เว่ยพลันกลับกลาย ชูเกอหวูอี้สั่นสะท้านทั่วร่าง เขารีบกระแทกเข่าลงพื้น “ลูกสาวข้าดื้อรั้นอวดดี ไม่รู้จักเรื่องหนักเบา ขอร้องขุนพลเย่ได้โปรด.....”

“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ อะไรกัน เรื่องนี้ข้าย่อมเข้าใจ ถือว่าเสี่ยวหยูจัดการได้อย่างเหมาะสมที่สุดแล้ว เจ้าทำอะไร?” เย่หนู่ยิ้มถาม

“แต่ว่า เย่ฮุยอย่างไรก็นับเป็นคนตระกูลเย่ เป็นคนของท่านขุนพล มิใช่กล่าวว่าประหารแล้วจะประหารได้ทันที ต่อให้ต้องประหาร เรื่องนี้ก็ต้องปรึกษาท่านขุนพลก่อน....” ชูเกอหวูอี้กล่าวพร้อมกับผุดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก เขาอาจไม่สนใจตัวเอง แต่เรื่องนี้อาจนำหายนะมาสู่ชูเกอเสี่ยวหยูได้

“บนสมรภูมิไม่มีคำว่าพ่อลูก อย่าห่วงเลย ท่านกังวลเกินไปแล้ว เกรงว่าพ่อของข้าจะดีใจด้วยซ้ำ” เย่เว่ยยิ้มพลางพยุงชูเกอหวูอี้ให้ลุกขึ้น

เย่หนู่หมุนกายลงนั่งแล้วถอนหายใจ “เยว่หานตงมิใช่ตัวตนธรรมดา อาณาจักรต้าฟงยิ่งมีกำลังพลมากกว่าเราหลายเท่า อาณาจักรคุยชุยก็อาจเปลี่ยนฝั่งไปแล้ว อาณาจักรชางหลานย่อมนิ่งเงียบต่อภัยคุกคาม เวลานี้พวกเราเรียกได้ว่าต่อสู้เพียงลำพังแล้ว”

เย่หนู่กล่าวกับพวกเขา แม้ว่าพวกเขามุ่งมั่นเพื่อเอาชนะ แต่ความจริงคือความหวังเอาชนะนั้นเลือนรางอย่างมาก พวกเขาต้องวางแผนเผื่อในกรณีเลวร้ายมากที่สุด

“ทางฝั่งของเมืองอวิ๋นหัวปลอดภัยชั่วคราว ส่งข้อความเรียกเสี่ยวหยูมาที่นี่ แม่หนูนั่นย่อมช่วยพวกเราได้มาก....” เย่หนู่เอ่ยช้าๆ น้ำเสียงบ่งบอกว่าเขาคาดหวังในตัวชูเกอเสี่ยวหยู

ฟุ่บ!

บางอย่างแหวกอากาศพุ่งเข้ามา มีเสียงหนักทึบดังขึ้น ลูกศรสั้นอันหนึ่งปักอยู่บนโต๊ะใกล้ๆมือของเย่หนู่ คนทั้งสามตื่นตัวและตะโกนส่งเสียง “นั่นใคร!”

วิ่งออกมาดูนอกห้อง ภายนอกเงียบสงบ นอกจากทหารธรรมดาที่เฝ้ายาม ก็ไร้เงาผู้อื่นแม้แต่ครึ่งคน เมื่อกลับเข้ามาในห้อง บนลูกศรสั้นๆนั้นมีกระดาษม้วนหนาผูกติดไว้อยู่

ทั้งสามคนมองหน้ากัน หัวคิ้วมุ่นลง คนผู้นี้กลับมีพลังยุทธสูงล้ำ เข้ามาและออกไปโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว “สมควรเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของคนผู้นั้น คิดสังหารพวกเราย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” เย่หนู่กล่าวพร้อมแกะเชือกที่มัดม้วนกระดาษออก

พอคลี่ออกมาปรากฎว่ามันเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ เย่หนู่กวาดตามองแล้วสีหน้าเปลี่ยนทันที.... เย่เว่ยและชูเกอหวูอี้ตรงเข้ามาดูด้วยอีกคน สีหน้าล้วนกลับกลายตามกัน นี่คือแผนที่ ในนั้นบอกรายละเอียดตำแหน่งทัพอาณาจักรต้าฟงในยามนี้ มีกระทั่งแผนการเคลื่อนทัพล่วงหน้าที่บอกด้วยลูกศร รวมถึงการจัดวางค่ายทัพ กระโจมที่พักของเหล่าแม่ทัพถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน ที่น่าตะลึงที่สุดก็คือ แผนที่นี้บอกกระทั่งที่จัดเก็บเสบียงรวมถึงเส้นทางในการลำเลียง

“ของจริงหรือหลอก?”

เป็นคำถามแรกที่ทั้งสามสงสัย หากนี่เป็นความจริง เช่นนั้นอาณาจักรต้าฟงยามนี้ล้วนไม่ต่างจากยืนแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าพวกเขา รู้เขารู้เราการรบย่อมง่ายขึ้นมาก และหากเป็นเรื่องหลอกลวง นี่ย่อมเป็นหลุมพรางที่ล่อลวงให้เข้าไปหา หรืออย่างน้อยก็ชักพาไปในทางที่ผิดได้

พลิกกระดาษกลับดูด้านหลัง ปรากฎว่ามีตราประทับสีเลือดจางๆเป็นคำว่า ‘มาร’

“สำนักมาร!” ทั้งสามคนส่งเสียงออกมาพร้อมกัน

“ดูเหมือนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง” เย่เว่ยกล่าวต่อ “ในช่วงปีที่ผ่านมา ตอนที่ข้ารบกับอาณาจักรต้าฟง ทัพเร็วของต้าฟงมักถูกสำนักมารกวาดล้างอยู่บ่อยครั้ง และในช่วงนั้นข้าได้รับข้อความแบบนี้อยู่บ่อยครั้งเช่นกัน เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้รับชัยชนะอยู่เสมอ”

“ถูกต้อง พวกเรากระทั่งทอดถอนใจอยู่บ่อยครั้ง ไม่อาจพอใจได้เต็มที่กับเกียรติยศและชัยชนะที่ได้รับมา” ชูเกอหวูอี้ยังคงยิ้มกล่าว “หากสำนักมารต้องการช่วยเหลือเรา นี่ย่อมเป็นอาวุธชั้นเลิศ ที่บางทีอาจช่วยให้พวกเราเอาชนะได้ไม่ยาก”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เย่หนู่กล่าว สำหรับเขาแล้ว เขาสนใจการเอาชนะสงครามด้วยพลังของตัวเอง ไม่คิดคาดหวังรับความช่วยเหลือจากผู้ใด นี่คือความทรนงของเขา ทว่าเมื่อเกี่ยวพันถึงความเป็นตายของอาณาจักร เขาย่อมยอมรับการช่วยเหลือจากพลังภายนอก

เมื่อสงครามนี้มีผู้อื่นลอบให้การช่วยเหลือ สงครามจึงเริ่มเปลี่ยนโฉมไปช้าๆ

ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองเทียนชุย อาณาจักรคุยชุย

ไหนเลยการระเบิดครั้งใหญ่ในดินแดนสาบสูญด้านตะวันตกจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในอาณาจักรคุยชุย จากการตรวจสอบของพวกเขา สรุปได้ความว่า.... สถานที่อันเป็นศูนย์กลางสำนักจักรพรรดิเหนือได้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่นานหลังจากที่ข่าวสำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลายกระจายไป ข่าวเรื่องสำนักจักรพรรดิเหนือถูกทำลายก็ได้กระจายออกไปด้วยความเร็วรุด ในข่าวที่เล่าลือกันนั้น มีชื่อของ ‘สำนักมาร’ รวมอยู่ด้วย

ในวันนั้นที่เมืองเทียนชุย จักรพรรดิมารเพียงลำพังเผชิญหน้ากับสามสุดยอดของสำนักจักรพรรดิเหนือ ตอนนั้นเขาพูดกับปากตัวเองว่าสำนักจักรพรรดิใต้ถูกทำลายเพราะฝีมือตน ในวันนั้นไม่เพียงเขาไม่ลดเสียงลง แต่ยังจงใจกล่าวให้ทุกคนได้ยิน ถ้อยคำของจักรพรรดิมารในวันนั้นมีคนมากมายไม่เชื่อถือ ทว่าเวลานี้สำนักจักรพรรดิเหนือถูกทำลายในสภาพเดียวกัน ทั้งยังเกิดขึ้นหลังจากศึกระหว่างจักรพรรดิมารเพียงไม่กี่วัน ผู้คนซึ่งแต่เดิมไม่ได้เชื่อถือ ยามนี้ต่างตัวสั่นด้วยความกลัว

หรือว่าการล่มสลายของสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ จะเป็นฝีมือของสำนักมารจริงๆ?

และนอกจากสำนักมารแล้ว ยังจะมีผู้ใดทรงพลังพอทำลายล้างสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ?

สำนักมาร จักรพรรดิมาร สองคำนี้ หลังจากที่ข่าวสำนักจักรพรรดิเหนือกลายเป็นเถ้าธุลีและหมอกควันได้กระจายไป เมื่อใดที่ผู้คนเอ่ยถึงใบหน้าจะต้องถอดสี สำนักมารปรากฎตัวเพียงประมาณหนึ่งปี ทว่าอิทธิพลอำนาจล้วนอยู่เหนือจินตนาการ ตอนนี้ยังทำลายสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือซึ่งไม่ทราบว่าดำรงมากี่พันปี แม้ว่าเป็นเพียงการทำลายสถานอันเป็นศูนย์กลางของสำนัก แต่ก็เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างจากการล้างบางทั้งสำนัก



<<<PREV    .    NEXT>>>