วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 456

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 456 โจมตีจิตใจ

เย่หนู่และเย่เว่ยไร้คำพูดเป็นเวลานาน พวกเขาตกใจและห่วงพะวงถึงเรื่องใหญ่ พวกเขามิได้มุ่งฝึกปรือพลังยุทธ แม้เคยได้ยินถึงพลังแกร่งกล้าของจักรพรรดิมาร แต่ไม่เคยคิดฝันว่าจะทรงพลังได้ถึงขั้นต่อต้านเจตจำนงค์ของสวรรค์ พวกเขาไม่อาจอดคิดได้ว่าบุคคลปานนี้ แม้สามารถนำความสงบแท้จริงมาสู่อาณาจักร แต่การช่วยเหลืออาณาจักรเทียนหลงกำจัดอาณาจักรต้าฟงย่อมมีเหตุผลบางอย่าง.... หากวันใดคนผู้นี้หวังเอื้อมมือมายังอาณาจักรเทียนหลง พวกเขาจะเอาอะไรไปต่อต้าน

ความกังวลนี้ดุจหินหนัก ถ่วงไว้จนยากจะสูดหายใจ แม้ว่าอาณาจักรต้าฟงจะแกร่งกล้า แต่เผชิญหน้าจักรพรรดิมารศัตรูปานนี้ พวกมันจะต่อต้านด้วยวิธีไหน? เกรงว่าทัพหนึ่งล้านจะกลายเป็นเพียงฝูงมดต่อหน้าจักรพรรดิมาร

“ในอดีต ครั้งหนึ่งฉู่ชางหมิงใช้เงากระบี่ท่วมฟ้าขับไล่พวกเจ้าด้วยข่ายเทพกระบี่ จักรพรรดิผู้นี้จะไม่ข่มขู่พวกเจ้า แต่จะให้เวลาพวกเจ้าสิบนาที พวกเจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งตาย สองคุกเข่าลง!”

“ไม่จำเป็น!” เยว่หานตงตื่นตระหนกในคราแรก หากต่อมาแสดงทีท่าไร้ความกลัว “พวกเราต้าฟงยอมตายในการรบเท่านั้น ไม่มีวันยอมจำนน! เจ้าอย่าได้คิดฝัน! พวกเราเหล่าทหารยอมตายเพราะได้ต่อสู้ ไม่ยอมอยู่โดยเป็นทาส!”

“กล่าวได้ดี ทหารยอมตายเพราะได้ต่อสู้ ไม่ยอมอยู่โดยเป็นทาส แม่ทัพเยว่กล้าหาญคู่ควรกับการยกย่องจริงๆ ในเมื่อเจ้าเลือกเช่นนั้น จักรพรรดิผู้นี้ย่อมสงเคราะห์เจ้า แต่ว่า ทางเลือกของเจ้าเหตุใดจึงแทนคนอื่นนับล้านที่อยู่ด้านหลัง เจ้าคู่ควรอันใดถึงตัดสินความเป็นตายของคนเหล่านั้น วุ่นวายกับทางเลือกของผู้อื่น”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เยว่หานตงหัวเราะลั่น “บุตรแห่งต้าฟงล้วนจิตใจมั่นคงไม่ยอมแพ้ ในเมื่อเข้าร่วมกับกองทัพ ย่อมปลงใจว่าสักวันย่อมร่วงหล่นลง ไม่เพียงเฉพาะข้าเยว่หานตงเท่านั้น เหล่าทหารทั้งหลายแห่งต้าฟง ล้วนไม่มีผู้ใดหวั่นเกรงกับคำว่า ‘ตาย’ ”

“เฮ! เฮ!”

ถ้อยคำห้าวหาญของเยว่หานตงถูกขานรับอย่างเต็มที่ด้วยเลือดลมที่พลุ่งพล่าน ผู้คนนับล้านส่งเสียงสะเทือนกึกก้องแผ่นดิน ภายใต้อิทธิพลของแม่ทัพและเพื่อนร่วมรบ ความตายพลันกลายเป็นสิ่งไม่น่ากลัว น้ำแข็งเย็นเชียบทุกแห่งหนลดความน่าประหวั่น ผู้คนเชิดหน้าขึ้น จับจ้องมองตรง เปล่งเสียงตะโกนบ่งแสดงถึงจิตวิญญาณ

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า......” จักรพรรดิมารส่งเสียงหัวเราะลั่น ดังกว่าเยว่หานตงหลายเท่า รอยยิ้มแสดงความเหยียดหยันอย่างไม่ปิดบัง จักรพรรดิมารทอดตาลง กล่าวคำแสดงความดูถูก “ตกตายในสนามรบ.... ต่อหน้าจักรพรรดิผู้นี้อย่าพูดเรื่องรบให้ข้าหัวร่อ พวกเจ้าเป็นได้เพียงมดแมลงให้เราจักรพรรดิเหยียบย่ำอยู่ฝ่ายเดียว นักรบแห่งอาณาจักรผู้ต่อต้านศัตรูปกป้องจนตัวตายเท่านั้นถึงจะคู่ควรเรียกว่าผู้กล้า พวกเจ้ากลับยอมตายอย่างไร้ประโยชน์ ยอมมีศพไม่ครบถ้วน ตายโดยไร้ความหมาย ตายโดยไม่ได้อะไร ตายโดยเป็นได้เพียงหินรองเท้าให้จักรพรรดิผู้นี้ ตายเพียงให้ผู้คนสมเพช ขุนพลเยว่ ‘ตายในสนามรบ’ ของเจ้าช่างทำให้จักรพรรดิผู้นี้ขบขันยิ่งนัก”

“.....เจ้า!” เยว่หานตงชะงักทื่อตัวสั่น ระหว่างเดือดดาลไม่มีคำใดจะสวนกลับ ความตายที่จักรพรรดิมารกล่าวเป็นหมัดยาวที่ไม่อาจตอบโต้ ทหารแห่งต้าฟงทั้งหมด กองทัพนับล้านที่เพิ่งฮึกเฮิมกลับถูกอุดปากด้วยถ้อยคำของจักรพรรดิมาร

ใช่แล้ว ตายในมือจักรพรรดิมารเป็นได้เพียงตายเปล่า หาใช่การตายในสนามรบเพราะได้สู้ หลังตายไปแล้วผู้คนจะจำเพียงว่าพวกมันตายเพราะขัดขืนจักรพรรดิมาร คนจำนวนมากคงทำได้เพียงอนาถและสมเพช กระทั่งเย้ยหยันในความไม่ประมาณตัว ประดุจโยนเศษฟางเพื่อหวังต่อต้านพายุ

“เหล่าทหารแห่งต้าฟง เราจักรพรรดิขอถามพวกเจ้า.... เหตุใดพวกเจ้าถึงเข้าร่วมสงคราม?” จักรพรรดิมารเอ่ยปากเคร่งขรึม น้ำเสียงกระจายชัดดังทั่ว ทหารต้าฟงนับล้านล้วนได้ยินชัดเจน ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเสียงนี้ดังสะท้อนอยู่ในหู

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตอบจักรพรรดิผู้นี้ เพราะคนทั่วหล้าล้วนทราบกันดี อาณาจักรต้าฟงมีชีวิตแร้นแค้นเพราะเผชิญพายุทรายตลอดปี สภาพแวดล้อมเลวร้าย ผืนดินแตกระแหง ประสบความทุกข์ยากเหนือคำใดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า คนชราตายจากโลกก่อนอายุครบ 70 ปี เด็กน้อยยังตายในยามเยาว์ได้โดยง่าย....”

นอกจากเสียงของจักรพรรดิมารแล้ว ผู้คนนับล้านล้วนเงียบกริบ เงียบจนกระทั่งได้ยินแม้เสียงเข็มตก กองทัพต้าฟงนับล้านแหงนมองจักรพรรดิมารทุกผู้คน ล้วนตกอยู่ในภวังค์อันพร่าเลือน จักรพรรดิมารสะกิดสิ่งที่ฝังอยู่ในใจของพวกมันทุกตัวคน บ่งกล่าวความทุกข์ยากที่ประสบจากรุ่นสู่รุ่น

“ในขณะที่อาณาจักรเทียนหลง ดินแดนทางตะวันออกของพวกเจ้า ผู้คนกลับอยู่ดีมีความสุข บ้านเมืองสวยงามและร่ำรวย ทุกคนมีอาหารและเสื้อผ้าอันอุดม พวกเจ้าได้แต่มองตาอย่างอิจฉา.... ปรารถนาว่าวันหนึ่งตนเองกับครอบครัวและลูกหลาน จะสามารถมีชีวิตแบบนั้นได้บ้าง กองทัพต้าฟงไม่เคยเกณฑ์ทหารและไพร่พล เพราะพวกเจ้าสมัครใจร่วมทัพด้วยตนเอง ปรารถนาเข้ายึดครองอาณาจักรเทียนหลงในสักวัน”

“ในสายตาผู้คนอาณาจักรเทียนหลง และในสายตาผู้คนทั้งโลกหล้า พวกเจ้าคือกลุ่มโจรที่กระหายปล้นชิง แต่พวกเจ้ายินดีแบกรับชื่อเสียงแห่งโจร ดีกว่าเสียใจและถอยหลัง เพราะพวกเจ้าต้องทำ เพื่อครอบครัวของตนเอง เพื่อความหวังของเหล่าลูกหลานในวันหน้า....”

น้ำเสียงของจักรพรรดิมารสงบเรียบดุจน้ำกระจ่าง ไหลซึมเข้าสู่โสตผู้คนช้าๆ รินไหลสู่หัวใจทหารต้าฟง คำกล่าวของจักรพรรดิมารล้วนเป็นความปรารถนาสูงสุดในหัวใจ..... ผู้คนแห่งต้าฟงเจ็บปวดทรมานมามากนัก ไม่อยากให้ทายาทของตนต้องทนทุกข์ทรมานไม่จบสิ้น ดังนั้น พวกมันจึงลาจากพ่อแม่และลูกเมีย เดินทางจากบ้านเกิดไปห่างไกล สู้รบยอมตายเพื่อช่วงชิงดินแดนของผู้อื่นเป็นของตน.....

กระทั่งเย่หนู่ยังถอนหายใจยาว การรุกรานของต้าฟงเป็นความผิดหรือ? ถูกต้อง นั่นนับว่าเป็นความผิด.... แต่ผู้ผิดที่แท้จริง คือพายุทรายที่ม้วนพัดดินแดนส่วนใหญ่ของอาณาจักรต้าฟงอย่างบ้าคลั่ง พวกมันจึงต้องดิ้นรนหาทางเพื่ออนาคต

“ฟงเลี่ย จักรพรรดิแห่งต้าฟงอาจหวังพิชิตโลกด้วยความทะยาน แต่พวกเจ้าต่อสู้เพื่อครอบครัวและลูกหลาน หากวันนี้พวกเจ้าตายในมือเราจักรพรรดิ แล้วพวกเจ้าจะได้อะไร? ชื่อเสียง? เกียรติยศ? น่าหัวร่อ.... สิ่งใดที่พวกเจ้าสูญเสีย? พวกเจ้าสูญเสียชีวิต ตายทั้งที่สามารถไม่ตายได้ พวกเจ้าเข้าร่วมกองทัพเพราะอะไร? มิใช่ต่อสู้เพื่อครอบครัวหรอกหรือ? หากพวกเจ้าตายครอบครัวจะเป็นอย่างไร.... พวกเจ้าคิดไม่ออกกันเลยรึ? ถ้าอย่างนั้น จักรพรรดิผู้นี้จะแจกแจงให้ฟังทีละข้อ.... พ่อแม่ผมขาวของพวกเจ้าต้องส่งศพคนหัวดำ ในวัยชราย่อมไม่เหลือผู้ใดให้พึ่งพิง ทุกข์โศกจนกว่าจะถึงวันตาย ภรรยาของพวกเจ้าบางคนย่อมกลายเป็นภรรยาของคนอื่น ลูกๆของพวกเจ้าย่อมถูกกลั่นแกล้งในครอบครัวใหม่ กระทั่งถูกขับไล่หรือทอดทิ้ง ส่วนคนที่เหลือย่อมกลายเป็นม่ายทั้งชีวิต ลูกเมียของพวกเจ้าจะถูกรังแก ไม่มีใครคอยดูแลปกป้อง.... นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องแลก.... พวกเจ้ายังอยากตายจริงๆอยู่รึ?”

ไม่ว่ายุคสมัยใดของสงคราม การโน้มน้าวชักจูงมักอาศัยพ่อแม่ลูกเมียเป็นสิ่งแรก และไม่ว่ายุคสมัยใด เรื่องเหล่านี้มักได้ผลมากที่สุด คนผู้หนึ่งอาจไม่กลัวความตายของตัวเอง แต่สิ่งกังวลสูงสุดที่ไม่อาจตัดได้ย่อมมักเป็นเรื่องครอบครัว จักรพรรดิมารแจกแจงทีละข้อ แต่ละคำล้วนกระทบถึงส่วนลึกในหัวใจ แรงกระทบที่ก่อขึ้นย่อมขยายหลายเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย

เย่หวูเฉินกลัวตายเช่นเดียวกัน หากที่เขากลัวมิใช่การสูญสิ้นชีวิต แต่กลัวว่าหลังจากที่เขาตายไปแล้ว คนจำนวนมากจะต้องทุกข์ระทม เสียใจตรอมตรมเพราะเขา หลายคนจะเดียวดาย เขาเชื่อว่าในโลกนี้ ผู้ที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจที่สุดคือคนที่ฆ่าตัวตาย พวกเขาตายเพื่อแสวงหาความสุขในชีวิตใหม่ ไม่สนใจความเจ็บปวดของคนที่คอยห่วงใยอยู่เบื้องหลัง

ฝูงชนเริ่มออกอาการกระสับกระส่ายเป็นพักๆ ในความเงียบไม่ทราบทหารต้าฟงจำนวนเท่าใดที่เริ่มตัวสั่น พวกมันเริ่มกลัวอย่างฉับพลัน กลัวว่าหากตัวเองตายในวันนี้จริงๆ ครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังจะถูกทิ้งให้เดียวดาย.... เหตุผลตายเปล่าทั้งหมดที่พูดถึง ไม่เฉพาะเพียงทหารของต้าฟงเท่านั้น เหล่าทหารคุยชุย เหล่าทหารชางหลาน ทุกผู้คนล้วนหวั่นไหวจับใจ

เยว่หานตงกวาดตามองกองทัพที่กระสับกระส่าย ได้แต่ถอนหายใจยาวเยือก จักรพรรดิมารโจมตีจิตใจโดยไร้ทางต้าน ยกเหตุผลความตายที่เปล่าประโยชน์ กระทั่งเยว่หานตงยังคิดถึงลูกสาวที่ไม่ได้ข่าวคราว หากว่านางยังมีชีวิต ผู้ใดจะช่วยเหลือนาง.... ต่อให้นางกลับบ้านอย่างปลอดภัย นางจะเหลือใครให้พึ่งพิงในชีวิตนี้

“เราจักรพรรดิหวังสังหารพวกเจ้าล้วนเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แทบไม่ต้องสิ้นเปลืองลมหายใจมาก ทว่าอย่างไร เราจักรพรรดิมิได้เหี้ยมโหดพอที่จะทนเห็นครอบครัวจำนวนมากต้องโศกเศร้าระทม จักรพรรดิผู้นี้ขอเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับพวกเจ้า.... หากนี่เป็นความอดทนสุดท้ายของเราจักรพรรดิแล้ว” จักรพรรดิมารหยุดเสียงลง เปล่งเสียงทุ้มต่ำชัดเจนขณะกล่าว “ความทุกข์ทรมานของพวกเจ้า สาเหตุเป็นเพราะพายุทรายที่โหมพัดอาณาจักรต้าฟงอย่างบ้าคลั่ง วันนี้ ตราบใดที่พวกเจ้าคุกเข่าสาบานภักดีต่ออาณาจักรเทียนหลง ยอมศิโรราบยกอาณาจักรต้าฟงให้เป็นของอาณาจักรเทียนหลง ยอมรับจักรพรรดินีเฟยฮวงผู้ครองอาณาจักรเทียนหลงให้เป็นราชัน เช่นนั้น ในเวลาหนึ่งเดือน เราจักรพรรดิจะหยุดยั้งพายุทราย! หากพวกเจ้าไม่ยอมรับ ดินแดนแห่งนี้จะเป็นฝังศพของพวกเจ้า สำนักมารของข้าจะช่วยเหลืออาณาจักรเทียนหลงล้างบางอาณาจักรต้าฟงของพวกเจ้า ในเวลาครึ่งปี แผ่นดินต้าฟงทั้งหมดจะกลายเป็นดินแดนของเทียนหลง ข้าให้เวลาพวกเจ้าห้านาที พวกเจ้าเลือกมาหนึ่งข้อ!”

ในเวลาหนึ่งเดือน หยุดยั้งปัญหาพายุทราย!?

กองทัพต้าฟงราวกับได้ยินเรื่องราวในเทพนิยายปรัมปรา

จักรพรรดิมารทรงพลังแกร่งกล้า แข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกมันจินตนาการไว้นับร้อยเท่าพันเท่า ทว่าคนผู้นี้ ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด.... แต่พายุทรายปกคลุมแทบทั้งอาณาจักร กินพื้นที่ถึงหนึ่งในสี่ของทวีปเทียนเฉิน ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่มนุษยชาติเริ่มบันทึกประวัติศาตร์ ก็มีกล่าวถึงพายุทรายแล้ว หมายความว่ามันดำรงอยู่มาตั้งแต่ตอนนั้น เป็นพลังธรรมชาติที่อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์!

แต่ถ้าหากเขาทำได้จริงๆล่ะ?

หากปัญหาพายุทรายถูกแก้ พวกมันย่อมได้รับชีวิตอันมั่นคง ต่อให้แม้จะยังยากจน ก็สามารถอาศัยสองมือตนทำงานสร้างชีวิต.... เช่นนั้นยังต้องมีสงครามอันใดอีก? นี่คือสิ่งที่พวกมันพร้อมสละเลือดเนื้อต่อสู้เพื่อช่วงชิงไม่ใช่หรือ? หากมีชีวิตสงบมั่นคงแล้ว ผู้ใดจะปรารถนาอาบเลือดในสงครามอีก? ผู้ใดจะอยากเห็นเพลิงสงครามเผาไหม้? หากยอมศิโรราบต่ออาณาจักรเทียนหลง.... แล้วได้อนาคตเช่นนั้นตอบแทน ลูกหลานของพวกมันก็ไม่ต้องลำบากยากแค้นอีก แค่เปลี่ยนชื่อของอาณาจักรและเปลี่ยนจักรพรรดิ มีอะไรที่ต้องลังเล สำหรับพวกมันใครจะขึ้นครองอำนาจ อาณาจักรจะเป็นชื่อต้าฟงหรือเทียนหลง จักรพรรดิจะเป็นใครสำคัญด้วยหรือ?

ไม่สำคัญ ไม่สำคัญเลยจริงๆ พวกมันไม่ได้ภักดีเข้าลึกถึงกระดูก ผู้ที่ภักดีและทรงเกียรติคือเหล่าผู้กล้าตระกูลดังซึ่งหาญกล้ายิ่งกว่าชีวิต พวกมันเป็นเพียงคนธรรมดา แสวงหาชีวิตอันสุขสงบ พวกมันส่วนใหญ่กระทั่งฝันว่าตัวเองได้เกิดเป็นชาวเทียนหลง ปรารถนาว่าวันหนึ่งจะได้เยือนยังดินแดนเทียนหลง ก่อตั้งครอบครัวอยู่บนผืนแผ่นดินแห่งนั้น

กองทัพต้าฟงกลายเป็นอื้ออึงอลม่าน ถ้อยคำของจักรพรรดิมารทำให้ทุกผู้คนแตกตื่น สิ่งที่พวกมันสนใจคือถ้อยคำเหล่านี้ของจักรพรรดิมารเป็นความจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำหลอกลวงต่อหน้ากองทัพนับล้าน และหากเป็นความจริง.... เช่นนั้นคนผู้หนึ่งสามารถควบคุมธรรมชาติยิ่งใหญ่ได้ปานนี้ เขาจะยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ? พลังแกร่งกล้าปานใดที่เขาครองไว้!?

สีหน้าของเยว่หานตงแปรเปลี่ยนด้วยเช่นกัน มันชี้นิ้วไปที่จักรพรรดิมารและแหกปากคำราม “จักรพรรดิมาร.... เจ้าอย่าได้พูดจาพล่อยๆ พายุทรายในอาณาจักรต้าฟงของข้ามิใช่สิ่งใดที่มนุษย์จะควบคุมได้ เจ้าคุยโตโอ้อวดถึงเพียงนี้ ไม่กลัวว่าจะต้องพลิกลิ้นอย่างนั้นรึ!”

“เห!” จักรพรรดิมารยิ้มบาง “งั้นนี่เป็นอย่างไร จักรพรรดิผู้นี้ขอสาบานในนามของจักรพรรดิมาร?”

“ในนามของจักรพรรดิมาร.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า น่าหัวร่อ จักรพรรดิมารอย่างเจ้ามีนามแค่เพียงความโหดเหี้ยมและสังหาร ไม่คู่ควรให้พวกเราเชื่อถือ!” เยว่หานตงกล่าวคำไม่ยอมอ่อนข้อ

จักรพรรดิมารกลายเป็นเงียบงัน คู่ดวงตาสาดประกายโหดเหี้ยมในฉับพลัน จากสองรูบนหน้ากาก มองตั้งฉากไปยังเยว่หานตง ความเงียบของจักรพรรดิมารทำให้ทั้งโลกพลันกลายเป็นเงียบงัน ผู้คนกลั้นหายใจ หันศีรษะมองเยว่หานตงอย่างตระหนก คำพูดของเยว่หานตงกระตุ้นโทสะของจักรพรรดิมารอย่างเห็นได้ชัด.... จากคำที่เล่าลือกัน ตราบใดที่กล้าล่วงล้ำจักรพรรดิมาร ความตายอันน่าสยดสยองย่อมหวังได้.... อย่างน้อยคือตายในสภาพศพไม่ครบถ้วน

เยว่หานตงไม่เกรงกลัว จ้องมองจักรพรรดิมารพร้อมแค่นเสียงออกมุมปาก แววตาของจักรพรรดิมารพลันเปลี่ยนไป ไร้แววเย็นเยียบเหมือนเช่นเคย จักรพรรดิมารหลับตาลงครู่หนึ่ง จากนั้นลืมตาขึ้นช้าๆ สายตามองตรงเบื้องหน้า กล่าวคำช้าๆชัดเจน “ข้า ในนามของตระกูลเย่แห่งอาณาจักรเทียนหลง!!”

สิ้นเสียงจบลง จักรพรรดิมารเหวี่ยงมือขึ้นกลางอากาศ ผ้าคลุมสีเงิน , ชุดสีเงิน รวมทั้งหน้ากากเงิน ทั้งหมดปลิวไปตามการเหวี่ยงวาด ร่วงลงจากฟ้าตกลงสู่ผืนดิน

เขาปลดชุดจักรพรรดิมารออกต่อหน้าผู้คนนับล้าน



<<<PREV    .    NEXT>>>