วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 459

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 459 จุดหมายของเสี่ยวหยู

“เพียงแค่ยึดครองดินแดนของต้าฟง ข้าไม่ควรสังหารจักรพรรดิแห่งต้าฟงที่ล่มสลาย แต่เนื่องจากบุญคุณความแค้นส่วนตัว ดังนั้นเจ้ากับบิดาฟงเลี่ยจึงต้องตาย” เพียงเพราะหนิงเสวี่ยเจ็บปวดในช่วงสองปีที่เขาสลบไม่ได้สติ เขาถึงกับทำให้ตระกูลฟงไปเยือนยังนรก

เย่หวูเฉินหันกายกลับและกล่าว “ฟงหลิง เจ้ามิได้ถือเป็นคนเลวร้ายอันใด บางส่วนข้ายังชื่นชมเจ้าอยู่บ้าง ดังนั้น เพื่อให้เจ้าได้ตายอย่างมีเกียรติ.... เจ้า จงลงมือด้วยตัวเอง”

มือสะบัดไปด้านหลัง ขวดเล็กๆปลิวไปตกที่เท้าของฟงหลิง จากนั้น เย่หวูเฉินเดินออกไปโดยไม่หันกลับมา ไม่ปรารถนาเสียเวลามองร่างของฟงหลิง.... สิ่งที่อยู่ในขวดใบเล็กๆ คือผงผนึกหัวใจที่สามารถสังหารให้สิ้นลมโดยไร้ความเจ็บปวด

ฟงหลิงหยิบขวดใบเล็กๆขึ้นมา ดึงฝาจุกออก เงยศีรษะเทลงในปากโดยไม่ลังเล จากนั้นโยนขวดทิ้งออกไปไกล ปิดดวงตาสองข้าง ทอดร่างนั่งอย่างสงบบนเก้าอี้ รอให้ชีวิตจากไปอย่างเงียบงัน แม้ว่าเขาคือองค์รัชทายาทแห่งต้าฟง แต่ชีวิตนี้กลับไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่ออาณาจักร ตรงกันข้าม.... จุดจบของอาณาจักรต้าฟงในวันนี้ ต้นเหตุแท้จริงล้วนเกิดขึ้นเพราะเขา กล่าวได้ว่า เขาคือคนที่ทำให้อาณาจักรต้าฟงล่มสลาย ต่อให้เย่หวูเฉินไม่บังคับให้ฆ่าตัวตาย เขาก็ไม่มีหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อ

หากตอนนั้นเขาไม่ได้ไปที่ตระกูลเย่ และไม่ได้เห็นเย่ฉุ่ยเหยา โลกนี้คงไม่มีตัวตนอย่างสำนักมาร หรือตัวตนอย่างจักรพรรดิมารเกิดขึ้น อาณาจักรต้าฟงก็คงยังเป็นอาณาจักรต้าฟง

นี่คือ.... สตรีมนต์มารอันแท้จริง!

เหนือท้องพระโรงหลักของเมืองเทียนฟง ขุนนางนับร้อยคุกเข่าถวายบังคมต่อหน้าจักรพรรดิองค์ใหม่.... หลังจากวันนี้ อาณาจักรต้าฟงจะไม่ใช่อาณาจักรต้าฟงอีกต่อไป และชะตาของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนไปนักเพราะเรื่องนี้ เพราะความมั่นคงในช่วงสั้นๆของเมืองเทียนฟง จำเป็นต้องพึ่งพาอดีตขุนนางต้าฟงเหล่านี้ ด้วยอิทธิพลอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า ทำให้พวกเขาเกรงกลัวต่อความตาย ดังนั้นจึงไม่มีใครต่อต้าน ยิ่งกว่านั้นยังระมัดระวัง พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ล่วงเกินจักรพรรดิองค์ใหม่.... อาณาจักรต้าฟงย่อมไม่มีวันกลับคืน เพราะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านจักรพรรดิมาร นี่ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาทำได้เพียงแสดงความกระตือรือร้นต่อหน้าจักรพรรดิองค์ใหม่ คนส่วนมากย่อมไม่อาจละทิ้งชีวิตและอนาคตของตัวเอง ขณะที่พวกแข็งข้อยอมหักไม่ยอมงอล้วนถูกลากไปจองจำ ถูกลงโทษไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก

ตะวันลับฟ้าทางทิศตะวันตก ในที่สุดสายลมได้โชยพัดเปลี่ยนเมืองเทียนฟงให้กลับคืนสู่ความสงบ หลงฮวงเอ๋อร์ , เย่หนู่ , เย่เว่ย และคนอื่นในที่สุดก็มีเวลาว่าง เริ่มต้นเดินชมภายในราชวังของเทียนฟง.... อาณาจักรเทียนฟงไม่มีอยู่อีก หากเมืองเทียนฟงยังคงเรียกว่าเมืองเทียนฟง ที่นี่จะกลายเป็นวังประทับชั่วคราวของจักรพรรดิเทียนหลง หลงฮวงเอ๋อร์ไม่ได้คิดทำลายที่นี่ทิ้ง

“ฝ่าบาท ไม่ทราบท่านมาถึงเมืองเทียนฟงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าเฉินเอ๋อร์.... พาท่านมาที่นี่” เย่หนู่มีโอกาสสอบถามในที่สุด เขาเดินตามหลังขณะเอ่ยถามหลงฮวงเอ๋อร์ บางเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป ทว่าเมื่อคำนึงถึงสถานะจักรพรรดิมาร ทุกอย่างก็พลันกลายเป็นไม่น่าแปลกอีก หากไม่ใช่เป็นเพราะเขามีประสบการณ์ผ่านพายุคลื่นลมมามาก เกรงว่าตอนนี้เขาคงยังสงสัยว่ากำลังอยู่ในความฝัน

หลงฮวงเอ๋อร์มักแสดงความเคารพสูงสุดต่อเย่หนู่อยู่เสมอ นอกจากเพื่อเป็นการเคารพต่อขุนนางระดับสูงสุดแห่งราชสำนักแล้ว แน่นอนว่าข้อสองย่อมเป็นเพราะเขาคือปู่ของเย่หวูเฉิน นางเผยรอยยิ้มงดงามและกล่าวนุ่มนวล “ที่จริงข้าเองก็เพิ่งรู้ในวันนี้ว่าเขาคือจักรพรรดิมาร ในตอนเช้าข้ายังคงอยู่ในเมืองเทียนหลง เขาได้มาพบข้าและบอกเรื่องที่ต้องกระทำเร่งด่วน จากนั้น ข้าก็ปรากฎตัวขึ้นฉับพลันในเมืองเทียนฟง.....”

ต่อหน้าเย่หนู่และเย่เว่ย น้ำเสียงของนางไม่เพียงไม่แฝงอำนาจ หรือใช้คำว่า ‘หนึ่งเดียวผู้นี้’ แทนตนสตรีผู้เป็นราชัน นางยังใช้คำว่า ‘ข้า’ แทนตัวเอง นางได้ขึ้นครองบัลลังก์เพราะเย่หวูเฉิน ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวของเขา นางจึงหวังว่าตนเองจะเป็นดุจคนในครอบครัวของเขา ไม่ใช่เป็นดั่งจักรพรรดินี

ปรากฎตัวขึ้นฉับพลัน....

ถ้อยคำทั้งสี่นี้ ต่อให้จักรพรรดินีพูดด้วยตัวเองก่อนหน้า พวกเขาย่อมนึกว่านี่เป็นเพียงเรื่องในนิทานปรัมปรา ทว่าเวลานี้ยังไงพวกเขาก็ต้องเชื่อ มิฉะนั้นจะหาเหตุผลใดอธิบายการปรากฎตัวขึ้นฉับพลันในเมืองเทียฟงของหลงฮวงเอ๋อร์ ได้ยินว่าจักรพรรดิมารเองก็สามารถปรากฎตัวฉับพลันได้เหมือนกันมิใช่หรือ?

เคลื่อนย้ายพันลี้ในพริบตา เรื่องเหลือเชื่อปานนี้กลับกลายเป็นว่ามีอยู่จริง.... ทั้งยังเกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุด

“.....ถ้างั้นหากพวกเราอยากกลับบ้าน พวกเราก็กลับกันได้ทันทีเลยสิ?” ชูเกอเสี่ยวหยูกล่าวพลางหัวเราะ ทว่าเมื่อมองหลงฮวงเอ๋อร์ผู้สูงส่งเกินเปรียบ นางพลันสลดลงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อนางทราบว่าจักรพรรดิมารคือเย่หวูเฉิน เป็นความรู้สึกน้อยใจที่ต่ำต้อยกว่า นางพาตัวเองปีนขึ้นสูงสู่ฟ้า เพื่อหวังให้ตัวเองควรค่ากับคำสาบานที่ลั่นวาจาไว้ในปีนั้น วันนี้นางได้รู้จักอีกหนึ่งสถานะของเขา.... เป็นสถานะอันน่ากลัว บางทีอาจมีเพียงสตรีที่พิเศษสูงล้ำอย่างจักรพรรดินีที่คู่ควรกับเขา ส่วนนาง.... มิได้มีรูปโฉมอันอัศจรรย์ มิได้มีพรสวรรค์อันตะลึงฟ้า.... ระยะห่างระหว่างเขากับนาง ช่างไกลกันเกินจะอาจเอื้อม

“เสี่ยวหยู ถ้าหากอยากกลับบ้าน ให้ข้าส่งเจ้ากลับตอนนี้เป็นอย่างไร?”

นี่มิใช่เสียงของคนในกลุ่ม หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น ทุกคนในกลุ่มก็พลันหยุดเท้าลง ค่อยๆหันร่างมองไปทางด้านหลัง.....

ไม่ทราบว่าเย่หวูเฉินยืนอยู่ที่เบื้องหลังตั้งแต่คราใด เขายืนอยู่อย่างภาคภูมิ สวมในชุดขาวตัดข่มหิมะ นุ่มนวลและสง่างาม รอยยิ้มดุจสายลมชะโลมใจ นี่มิใช่จักรพรรดิมารหากแต่เป็นเย่หวูเฉินที่พวกเขาคุ้นเคย

“ท่าน....” ชูเกอเสี่ยวหยูตกตะลึงไม่ทันตั้งตัว ดวงตาจับจ้องกลมโตเป็นไข่ห่าน

“เฉินเอ๋อร์” เย่หนู่ยิ้มบางอย่างเสียมิได้ รอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความหมาย ไร้ความตื่นเต้นใดๆ ไร้การชื่นชมหรือตำหนิ มีเพียงความพอใจอันเรียบง่าย.... จักรพรรดิมารในตำนานไม่ใช่คนดีบริสุทธิ์ ไม่ใช่คนเลวร้ายโดยส่วนเดียว เลื่องลือนามในด้านโหดเหี้ยมและสังหาร ไร้ผู้ใดสงสัย.... ในสายตาคนธรรมดาจักรพรรดิมารกระทำเรื่องที่ดีบ้าง กระทำเรื่องที่ชั่วช้าบ้าง หากในสายตาของเย่หนู่กำลังบอกว่าไม่ว่าเขากระทำสิ่งใด ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือโลกตะลึง เขากลายเป็นจักรพรรดิมารได้ ล้วนเป็นความพอใจยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว ต่อให้เย่หนู่หมดลมหายใจในตอนนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจแล้ว

เย่เว่ยพยักหน้าให้เล็กน้อย ไม่กล่าวคำใดๆเช่นเดียวกัน คำพูดนับหมื่นพันล้วนแสดงออกทางแววตา ครั้งสุดท้ายที่เย่เว่ยเห็นเขาคือก่อนการเดินทางมายังตะวันตก ยามนั้นเย่หวูเฉินยังคงนอนอยู่บนเตียง ร่างกายพิการเป็นที่รู้กันทั่ว ไม่คิดว่าได้เขาพบอีกครั้งจะกลายเป็นดุจความฝัน ไม่ว่าโลกนี้จะชื่นชมเขาอย่างไร ล้วนไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าเขาคือบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้า ทรงเกียรติภูมิสูงสุดในประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนเฉิน นามนี้จะถูกจารึกไว้ตลอดกาล และเป็นนามแห่งตระกูลเย่

“พี่หวูเฉิน!” หลงฮวงเอ๋อร์เอ่ยกระซิบ เร่งก้าวเท้าเข้าหา พอตัวใกล้จะถึงก็หยุดเท้าชะงักงัน เพราะพลันนึกถึงสถานะของตัวเองได้ นางยืนกระอักกระอ่วนขวยเขินอยู่ตรงนั้น.... เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว “ฮวงเอ๋อร์ ไม่อยากเรียกหาข้าว่าสามีเหมือนก่อนหน้านี้แล้วหรือ?”

หลงฮวงเอ๋อร์ก้มศีรษะเล็กๆลง ใบหน้าแดงผ่าวด้วยความอาย แผ่ความงดงามเกินธรรมดา ยามนี้นางในฐานะจักรพรรดินีกำลังเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “สามี”

“ต้องอย่างนี้สิ” เย่หวูเฉินกุมมือนาง เขาไม่เคยมองนางในฐานะจักรพรรดินี หรือปล่อยให้นางสวมบทจักรพรรดินีนานนัก เขาทำให้นางเป็นฮวงเอ๋อร์ของตัวเอง กุมมือหลงฮวงเอ๋อร์แล้วเดินมาอยู่ต่อหน้าเย่หนู่และเย่เว่ย จากนั้นยิ้มกล่าว “ต้นเดือนหน้า ข้ากับฮวงเอ๋อร์และโหรวโหรวจะมีงานมงคลสมรสใหญ่ด้วยกัน หวังว่าท่านปู่และท่านพ่อจะสามารถกลับบ้านได้ในเร็ววัน”

หวังเวิ่นชูได้ส่งคนเดินทางพันลี้นำข้อความไปมอบให้เย่หนู่และเย่เว่ย ทว่าด้วยเวลาอันสั้นๆ ข้อความของหวังเวิ่นชูย่อมเดินทางมายังไม่ถึง.... ขณะแรกที่เย่หนู่และเย่เว่ยได้ยินคำ ทั้งสองจ้องค้างอย่างงุนงง ทว่าหลงฮวงเอ๋อร์บิดตัวด้วยความดีใจและเขินอาย ไม่กล้าสบตาอาวุโสสองคนที่อยู่ตรงหน้า

“นี่มัน.... ดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง....” เย่เว่ยกล่าวอย่างลังเล ความหมายของเย่หวูเฉินชัดเจนว่าเขาจะแต่งงานกับฮั่วฉุ่ยโหรวและจักรพรรดินีหลงฮวงเอ๋อร์ในวันเดียวกัน สตรีหลายคนตบแต่งกับบุรุษคนเดียวในวันเดียวกันไม่ใช่เรื่องประหลาดอันใด ทว่าหนึ่งในสองสตรีนี้เป็นถึงจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรเทียนหลง!

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ประเสริฐ! ประเสริฐ!” เย่หนู่กลับหัวเราะลั่น “เฉินเอ๋อร์ เจ้าช่างทำให้ปู่แปลกใจและยินดีจริงๆ งานมงคลสมรสใหญ่ของเจ้ากับจักรพรรดินี.... โอ้? ไม่สิ ต้องเป็นงานมงคลสมรสใหญ่ของเจ้ากับฮวงเอ๋อร์ พวกเรากำลังจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”

ใบหน้าของเย่เว่ยคลายออกทันที กลายเป็นรอยยิ้มและไม่กล่าวคำใดอีก.... เขาพลันฉุกคิดได้ว่าทั่วหล้านี้ยังมีกฎใดที่สามารถตีตรวนเย่หวูเฉิน ตอนนี้เขากลายเป็นบุคคลผู้เปลี่ยนกฎเกณฑ์แห่งทวีปเทียนเฉินได้ตามอำเภอใจ ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดย่อมไม่มีผู้ใดอาจหาญหรือมีพลังต่อต้าน

“แต่ว่า” เย่หนู่กล่าวเสียงหนัก ชำเลืองตาไปทางชูเกอเสี่ยวหยูที่กำลังคล้ายสลดหดหู่ ดวงตาชราหรี่ลงและกล่าว “ที่จริงปู่ของเจ้าตกลงเรื่องแต่งงานไว้แล้ว เสี่ยวหยูมานี่ มาอยู่ข้างปู่นี่มา”

ชูเกอเสี่ยวหยูเดินมาอยู่ข้างๆเย่หนู่ คราแรกก้มศีรษะลงด้วยความอาย จากนั้นฉับพลันเงยหน้าขึ้นด้วยหัวใจหนักแน่น เผชิญหน้ามองเย่หวูเฉินด้วยใบหน้าทรนง ราวกับส่งคำท้าในที

“เสี่ยวหยูถึงวัยที่ควรแต่งงานแล้ว ครึ่งชีวิตของข้าอยู่บนหลังม้ากับการรบ ชั่วชีวิตไม่เคยยกย่องผู้ใดเหมือนเด็กสาวคนนี้ เด็กสาวปานนี้ถือว่าไม่ด้อยกว่าสตรีใด เสี่ยวหยูยังงมงายในตัวเจ้าอย่างล้ำลึก ดังนั้นด้วยเหตุนี้ ข้าจึงขอรับผิดชอบ ให้เจ้าตบแต่งเสี่ยวหยูเข้าตระกูลเย่ในปีหน้า”

เสี่ยวหยูยื่นริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยในมุมที่เย่หนู่มองเห็นไม่ถนัด หมัดน้อยๆยังลอบชูให้เย่หวูเฉิน คล้ายกับจะกล่าวว่า : ดูสิๆ ดูว่าท่านจะกล้าไม่แต่งงานกับข้าอีกหรือไม่ ต่อให้ท่านเป็นจักรพรรดิมาร ก็อย่าหวังว่าจะขัดขืนคำสั่งของปู่

ชูเกอเสี่ยวหยูอย่างไรก็คือชูเกอเสี่ยวหยู เย่หวูเฉินยิ้มตอบ กล่าวคำอย่างรวดเร็ว “คำสั่งของท่านปู่ ข้าขอน้อมยอมรับและทำตาม” เขายังคงยิ้มกล่าว “แต่ต่อให้ไม่มีคำสั่งของท่านปู่ ข้าก็จะต้องตบแต่งเสี่ยวหยูเข้าสู่ตระกูล”

ใบหน้าของชูเกอเสี่ยวหยูพลันชะงักค้าง มองดูเขากล่าวอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวหยู ในอดีตเจ้าเคยกล่าวว่าจะต้องทำให้ข้าขอเจ้าแต่งงาน.... เจ้าชนะแล้ว ตอนนี้ เจ้าอยากแต่งงานกับข้าเย่หวูเฉินหรือไม่....”

ชูเกอหวูอี้ไม่กล่าวคำใดเพียงเงยหน้าขึ้น สูดหายใจเข้ายาว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงใจ ชีวิตต่อจากนี้ของเสี่ยวหยู พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอีก อีกทั้ง ชูเกอเสี่ยวหยูแห่งตระกูลชูเกอได้แต่งงานกับจักรพรรดิมาร ยังจะมีผู้ใดกล้ายั่วยุตระกูลชูเกอของพวกเขาอีก

ชูเกอเสี่ยวหยู หญิงสาวที่เพิ่งบุ้ยปากใส่เย่หวูเฉิน ยามนี้ยกสองมือขึ้นปิดปาก กลับตัวหันหลังให้ หัวไหล่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง เสียงสะอื้นบ่งบอกถึงความอัดอั้นของหญิงสาวผู้ยืนกรานและไม่มีวันยอมแพ้ ทว่ายามนี้กลับมีเสียงน้ำตาหล่นร่วงลงพื้นอย่างต่อเนื่องจากนาง

เย่หนู่พยักหน้า ยิ้ม ‘เฮ่อเฮ่อ’ และตบไหล่ของชูเกอเสี่ยวหยู จุดหมายของนางแลกมาด้วยหัวใจ , ความหลงใหล , ยืนกราน และความทุ่มเท เมื่อเย่หนู่เห็นนางไม่อาจยับยั้งความปิติยินดี ในที่สุดเขาก็ปลดวางห่วงกังวลสุดท้ายลง



<<<PREV    .    NEXT>>>