วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 479

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 479 กังวลใจ

หกเดือนต่อมา

ในโลกแห่งทรายสีเหลือง ผืนทะเลทรายกว้างขวางไร้ขอบเขต นอกจากทรายแล้วที่แห่งนี้ไร้สายลมหรือเสียงใดๆ ที่แห่งนี้ไม่สมควรมีชีวิตอาศัยอยู่ กระทั่งท้องฟ้ายังสะท้อนสีสันแห่งทราย

กลางอากาศเหนือทะเลทรายอันเงียบสงัด เงาดำร่างหนึ่งลอยอยู่ตรงนั้น หากมองใกล้ๆจะพบว่าเป็นบุคคล ดวงตาของเขาปิดอยู่ แขนขาทั้งสี่ปล่อยตามสบาย เงียบงันไร้เสียง ไม่ทราบว่าเขาลอยอยู่ตรงนั้นมานานเพียงใดแล้ว บริเวณโดยรอบนอกจากตัวเขา ไม่อาจพบสิ่งมีชีวิตใดๆ

ท้องฟ้าเริ่มใกล้จะมืดค่ำ เย่หวูเฉินลดแขนและลืมตาขึ้น ประกายสีทองวาบผ่านในแววตา เขาเงยศีรษะมองฟ้า จับจ้องไปยังที่ห่างไกล ธาตุปฐพีลดความเข้มข้นลงแล้ว รวมทั้งระยะรัศมีก็ได้ลดลง

หลายเดือนที่ผ่านมา เขามาที่นี่อยู่บ่อยๆ บางครั้งอยู่นาน บางครั้งอยู่สั้น จิตปราณในที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าที่อื่นนับสิบๆเท่า ในที่นี้พลังหวูเฉินของเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านั้น มุกจิตวารีทำให้พลังหวูเฉินบรรลุถึงขั้นที่ห้า และเกือบทะลวงสู่ขั้นที่หก เมื่อเดือนก่อนเขารู้สึกได้ว่าพลังมาถึงคอขวดของขั้นห้าแล้ว เพียงอีกก้าวเดียวก็จะทะลวงสู่อีกขั้น ในอดีตการทะลวงผ่านพลังหวูเฉินเป็นเรื่องเรียบง่ายอย่างมาก ทว่ายามนี้ จากขั้นห้าขึ้นสู่ขั้นหก คอขวดนี้ผ่านลำบากอย่างยิ่ง พลังของเขาติดค้างตรงนี้ ในเดือนที่ผ่านมาไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ไม่อาจก้าวหน้าได้แม้แต่นิดเดียว

ยิ่งกว่านั้น ความรู้สึกกระเพื่อมไหวที่ขยายขึ้นในใจ....

ในวันนั้น เซียวรั่วได้เอ่ยคำหนึ่งออกมาว่า ‘ราชันโกลาหล’ และยังบอกกับเขาว่าพลังนี้มีอยู่เพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือเขา ส่วนอีกคนคือพ่อของเขา และเขาเป็นราชันโกลาหล.... ราชันโกลาหลคืออะไร? คือราชันสูงสุดแห่งห้วงโกลาหล เป็นตัวตนเช่นเดียวกับจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ กระทั่ง ยังทรงพลังมากกว่าจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ ตอนแรกๆที่เขาตื่นมา พลังหลายสิบสายเคยเกือบจะฆ่าเขา เห็นได้ว่าชัดว่ามันคือพลังของพ่อเขาที่ทิ้งไว้เบื้องหลังเพื่อปกป้อง ครั้งแรกที่ได้พบกับทงซิน ยามที่ทงซินจู่โจมทางจิตใจและถูกพลังสะท้อน หนานเอ๋อร์ตะโกนอย่างตกใจว่าพลังนี้เหนือล้ำยิ่งกว่าจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ....

พลังสูงสุดของเขาคือขั้นที่เจ็ด กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อพลังหวูเฉินบรรลุถึงขั้นที่เจ็ด เขาย่อมมีพลังก้าวข้ามจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ แต่ทว่า.... ยามนี้เขาครองพลังหวูเฉินขั้นที่ห้าอยู่กับตัว เทียบเท่าขอบเขตเทวะขั้นกลาง ทว่าเมื่อเทียบกับพลังของจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือแล้ว ยังคงนับว่าห่างไกลราวเม็ดทรายกับทะเล.... นี่เป็นเรื่องปกติจริงๆหรือ?

หรือว่า พลังหวูเฉินขั้นที่เจ็ดจะยังไม่ใช่ขีดจำกัด....

“เจ้าเก็บเกี่ยวสิ่งใดได้บ้าง” เสียงเงียบงันสะท้อนขึ้นช้าๆ นี่คือเสียงของมุกเรืองปฐพี เย่หวูเฉินท่าทางเหม่อลอย ทำให้มุกเรืองปฐพีส่งเสียงถาม

เย่หวูเฉินเพียงส่ายศีรษะ และกล่าว “ข้าต้องกลับแล้ว”

เต่าดำน้อยยังคงอยู่ที่นี่ หกเดือนที่ผ่านมามันไม่เคยเคลื่อนไหวใดๆ ด้วยมุกเรืองปฐพีที่อยู่ในร่าง พลังของมันย่อมเพิ่มขึ้นขอบเขตใหญ่ เย่หวูเฉินรอคอยวันที่จะได้เห็นมันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้น มันย่อมกลายเป็นผู้ปกปักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดข้างกายเขา

เขาเรียกเซียงเซียงออกมา เพียงชั่วขณะที่กำลังจะจาก เขาพลันเอ่ยปากเปลี่ยนใจ “ไปที่วังสตรีหิมะ”

มิติถูกตัดผ่าน โลกสีเหลืองโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ตรงหน้าเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ ในนั้นมีโฉมสะคราญงามล้ำดุจนางเซียนนอนอยู่ ด้วยองค์ประกอบของน้ำแข็ง ผสานเข้ากับความงามของนาง จึงปรากฎดุจภาพความฝัน ดั่งบทกวีและภาพเขียน

เย่หวูเฉินจ้องมองนางอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน เขาคิดเรื่องของนางอยู่เงียบๆ นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบนาง ได้อยู่กับนางเพียงชั่วเวลาสั้นๆสิบกว่าวัน ในคืนนั้น ใต้แสงจันทร์และการจัดวางของเสวี่ยเฟยเยี่ยน ทั้งสองจึงได้มีสัมพันธ์.... หลังจากนั้นนางได้จากเขาไป ช่วงเวลาเหล่านั้นสั้นอย่างยิ่ง ทว่าเขาจดจำได้ทุกขณะนาทีประดุจสิ่งล้ำค่า

เขาเที่ยวแสวงหาวิธีรักษาชีวิตนาง ไม่ว่าภูเขา พะเนาไพร มหาสมุทร ทุ่งหญ้า แม่น้ำ ทุกสถานที่ที่มีพลังชีวิตรวมตัวกันอยู่ เขาทุ่มเทแสวงหาและพยายาม แต่ทว่า เขาไม่มีทางเข้าใจพลังแห่งชีวิตได้ ทั้งยังไม่อาจควบคุมมัน ในทวีปเทียนเฉินอันกว้างใหญ่ ไม่เคยปรากฎผู้ใดที่สามารถควบคุมพลังชีวิต

เขาโกรธตัวเอง พลังแห่งสามธาตุลิขิตชะตา ที่เขาครองไว้คือพลังจิตใจและพลังมรณะ ทว่ากลับขาดเพียงพลังชีวิตเท่านั้น

“จื่อเมิ่ง.... ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด วันหนึ่งข้าจะต้องทำให้เจ้าลืมตาและกลับมาอยู่ข้างกายข้าให้ได้ ตอนเจ้ายังเด็ก ครอบครัวของเจ้าถูกสังหารล้างบางตระกูล เจ้าตัวลำพังเร่ร่อน เพื่อแก้แค้นจึงเข้าร่วมสำนักจักรพรรดิเหนือ นับตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่เคยมีอิสระอีกเลย เจ้าไปจากข้าในครานั้น สมควรเกลียดชังตัวเองอย่างมาก เจ้าไม่ได้จากไปเพื่อตัวเองแต่เพื่อปกป้องข้า.... จื่อเมิ่ง บุรุษของเจ้ามีพลังปกป้องเจ้าแล้ว หลังจากที่เจ้าลืมตา เจ้าจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียว จะไม่มีผู้ใดตัดสินชะตาของเจ้าได้อีก พวกคนที่ทำลายตระกูลของเจ้าในอดีต ข้าได้ช่วยตามหาพวกมันทั้ง 732 คนแล้ว แม้ข้าไม่ได้แตะต้องพวกมัน แต่พวกมันล้วนถูกควบคุมไว้ทั้งหมด ไม่อาจหนีหรือตกตาย เพราะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่สามารถตัดสินชะตาของพวกมัน.... เจ้าคงอยากเห็นลูกสาวของพวกเรา เจ้าคงไม่รู้แน่ๆว่า ลูกสาวของพวกเราน่ารักเพียงใด น่าอัศจรรย์เพียงใด.... ลูกสาวปานนี้ เป็นของพวกเราเท่านั้น....”

เย่หวูเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน หัวใจอ่อนไหวเศร้าสลด ตอนนี้เขาทำได้เพียงกล่าวคำอย่างเงียบงัน ไม่อาจปลุกนางขึ้นมาได้ ไม่อาจได้ยินเสียงของนางเหมือนเช่นวันนั้น

เย่หวูเฉินมองเหยียนจื่อเมิ่งเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เอ่ยเสียงแผ่ว “เซียงเซียง กลับกันเถอะ....”

เพียงสิ้นเสียงลง ที่หางตาก็พลันมองเห็นประตูน้ำแข็งเปิดออก พร้อมกับเสียงนุ่มนวลลอยเข้ามา “น้องชายน้อย มาที่นี่ไม่บอกกล่าวพี่หญิงสักคำ ตอนนี้ยังจะรีบกลับอีก ไม่กลัวว่าพี่หญิงของเจ้าจะหัวใจสลายเลยหรือ....”

เสวี่ยเฟยเยี่ยนยิ้มแย้มดุจบุปผาอ่อนโยน ยืนอย่างงดงามที่ปากประตูน้ำแข็ง เหนือศีรษะรวบผมไว้เป็นมวย ประดับด้วยอัญมณีสีม่วง หน้าผากมีพลอยม่วงห้อยไว้ ด้านหน้าเป็นเสื้อคอกว้างเผยอกอันขาวอวบอิ่ม ที่ปลายอกทรนงเห็นเป็นยอดชมพูจางๆ ทันทีที่นางปรากฎกายขึ้น กลิ่นหอมราวกับดอกกล้วยไม้ก็โชยอบอวลในห้องน้ำแข็ง

นางได้ยินเสียงเย่หวูเฉินพูดกับเหยียนจื่อเมิ่ง ดังนั้นจึงตรงมาที่นี่ ทว่านางต้องแปลกใจ เมื่อเย่หวูเฉินเผชิญหน้ากับร่างงดงามของนาง เขากลับไม่หายใจติดขัดเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ได้พุ่งเข้ามากดนางไว้กับพื้น แววตาของเขาหม่นมัว ราวกับมีเรื่องกังวลหนักหน่วง

เสวี่ยเฟยเยี่ยนพลันไม่สบายใจตาม นางเยื้องย่างย้ายเอวเข้ามาหาเขา เอวของนางบางมาก ทว่าเส้นสายส่วนโค้งล้วนงดงาม บั้นท้ายกลมกลึงเป็นสองก้อน ทรวงอกอวบอิ่มตั้งทรงทรนง อกมหึมาและบั้นท้ายเข้ารูปกัน นางเดินมาพร้อมผ้าเนื้อบางไหวกระเพื่อม มีหลายส่วนที่ทำให้คนหัวใจเต้น สะโพกย้ายไปซ้ายขวาขณะเดินมา ทำให้คนกลัวว่าเอวบางของนางจะหลุดออก

“น้องเฉิน โลกนี้เจ้าคือบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นจักรพรรดิมารผู้มีอำนาจไร้สิ้นสุด พี่หญิงเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่บุรุษของข้าไม่อาจบรรลุได้” เสวี่ยเฟยเยี่ยนเคลื่อนมาอยู่ข้างกายเขา เคลื่อนนิ้วหยกขึ้นลูบแก้ม นางคิดว่าเขาหดหู่เพราะกล่าวโทษตัวเองที่ไม่อาจช่วยจื่อเมิ่ง

เย่หวูเฉินแววตาเริ่มพร่ามัว เขามองนางและเอ่ยถาม “เฟยเยี่ยน ท่านคิดว่าต้องใช้วิธีใด ถึงจะสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่านับหมื่นเท่าพันเท่า”

ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่านับหมื่นนับพันเท่า?

เสวี่ยเฟยเยี่ยนยิ้มบางอย่างเสียไม่ได้ นางกล่าว “น้องชายทึ่ม เจ้าคิดว่ามดต้องแข็งแกร่งอีกสักเท่าใด หรือต้องฉลาดอีกเพียงใด จึงจะสามารถเอาชนะช้างได้?”

เย่หวูเฉิน “.......”

“ที่เจ้ามีในตอนนี้ ล้วนไม่มีผู้ใดในโลกเทียบได้ กระทั่งต่อให้ฟงเฉาหยางยังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงเจ้าเอ่ยคำเดียวก็สามารถตัดสินความเป็นตายของเขาได้ เจ้าในตอนนี้คือตัวตนที่ยิ่งใหญ่สูงสุด จุดที่เจ้ายืนอยู่นั้น ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยล้วนไม่มีผู้ใดก้าวข้าม ทุกคนยามอยู่ต่อหน้าเจ้าล้วนเป็นได้เพียงมดตัวเล็กๆเท่านั้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะฉลาดเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันเป็นที่สุด เขาย่อมยากที่จะขัดขืนดิ้นรน เจ้าในยามนี้ยังต้องกังวลสิ่งใดอีกหรือ?”

ร่างของเสวี่ยเฟยเยี่ยนแทบจะแนบกับร่างของเย่หวูเฉิน ร่างอ่อนนุ่มไม่ได้ยืนตรง ทว่าเอียงมาเล็กน้อย ทำให้ก้อนนุ่มนิ่มมหึมากลมกลึงแทบจะโผล่ออกมาทั้งหมด ใต้ผ้าผืนบาง เป็นสองก้อนมันลื่นดุจหิมะอยู่ชิดติดกัน แม้สองจุดยอดจะอยู่ใต้ร่มผ้า ทว่ายังคงเห็นเป็นสีชมพูจางๆ เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตามองไล่ลงตามลำคอ.... จากมุมนี้สามารถมองเห็นทะลุได้น่ากลัวยิ่ง

นางมักทำให้เพลิงราคะพุ่งทะยานอยู่บ่อยๆ แต่ละครั้งนางจะให้เย่หวูเฉินระบายกับนางก่อน จากนั้นจึงผลักไปทางเสวี่ยซินกับเสวี่ยอู่ต่อ

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้นางพ่ายแพ้อย่างเห็นได้ชัด.... อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่นางล้มเหลว แววตาของเย่หวูเฉินยังคงหม่นมัว แม้เขามองมายังนาง แต่ไม่ทราบว่าจิตใจล่องลอยไปที่ไหน เสวี่ยเฟยเยี่ยนเอ่ยคำปลอบโยนเขา.... ทว่านางไม่รู้ตัวเลยว่า คำปลอบโยนของนางได้สะกิดส่วนลึกในจิตใจที่เขาไม่ปรารถนาให้สั่นสะเทือน อย่างที่นางกล่าวไว้ ในทวีปเทียนเฉิน เย่หวูเฉินอยู่บนจุดสูงสุดที่ไม่มีใครก้าวข้าม ไม่มีสิ่งใดคุกคามเขาได้อีก ยามเผชิญศัตรูที่แข็งแกร่งกว่านับพันเท่า เล่ห์เหลี่ยมและลูกไม้ใดๆย่อมไร้ความหมาย ถูกทำลายลงสิ้นด้วยการโจมตีเดียว....

นางกล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง....

แต่นางไม่รู้เลยว่า ที่เย่หวูเฉินกังวลอยู่ไม่ใช่ศัตรูในทวีปเทียนเฉิน หากแต่เป็นศัตรูที่มาจากภายนอก

“เฟยเยี่ยน มืดค่ำแล้ว ข้าต้องกลับก่อน” เขาลูบใบหน้านางอย่างอ่อนโยน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากพบหน้าท่านทุกวันจริงๆ แต่ข้ารู้ว่าท่าน รวมทั้งเสวี่ยซินและเสวี่ยอู่ต่างเคยชินกับสถานที่แห่งนี้ รอจนกว่าทุกอย่างสงบลง ข้าจะหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับพวกเรา”

จากนั้น เขาได้หายไปจากวังน้ำแข็ง ทิ้งเสวี่ยเฟยเยี่ยนให้ยืนมองอย่างโง่งมไว้เบื้องหลัง นางคาดเดาถึงเรื่องหนักใจของเขาอย่างเงียบงัน



<<<PREV    .    NEXT>>>