วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 447

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 447 เสี่ยวซื่อ

หนิงเสวี่ยตื่นขึ้นแล้ว ทงซินก็ตื่นเช่นกัน แม้ว่านางยังดูอ่อนแอ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีปัญหาอะไร เมื่อเห็นเย่หวูเฉินกลับมา หนิงเสวี่ยก็พลันตะโกนอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ท่านไปที่ไหนมาเหรอ? พี่ทงซินฟื้นแล้ว”

“อื้ม! นางตื่นขึ้นมาตอนที่เจ้ายังหลับอยู่” เย่หวูเฉินเดินไปอยู่ข้างเตียง จับปลายจมูกของหนิงเสวี่ยเบาๆ จากนั้นกล่าวกับทงซินอย่างอ่อนโยน “เด็กดื้อ เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องอื่น เข้าใจไหม?”

ทงซินพยักหน้าบาง ขยับร่างพิงเขาอย่างเกียจคร้าน นางคุ้นเคยกับการกุมกริชคมกล้าไว้ในมือ เป็นสิ่งป้องกันมั่นคงของนาง นางไม่อาจอดคิดได้ว่าหากนางไร้พลัง นางจะปกป้องเขาได้อย่างไร แล้วใครจะคอยปกป้องเขา

“มังกร.... ท่านพ่อ ทำไมถึงมีกลิ่นอายมังกรอยู่ในนี้?” เสี่ยวโม่ปรากฎตัวที่ด้านหลังของเย่หวูเฉินอย่างเงียบงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ เพียงไม่ช้า สายตานางก็ตกไปที่ผ้าคาดเอวของเย่หวูเฉิน ตรงนั้นมีหัวเล็กๆโผล่ออกมา มันมองสิ่งแวดล้อมแปลกๆด้วยความสงสัย มังกรน้อยไม่ได้สงบนิ่งเหมือนกับเต่าดำน้อย แม้มันจะถูกเย่หวูเฉินจับซุกอยู่ในเสื้อ แต่มันยังคงโผล่หัวออกมา มองสอดส่องบริเวณโดยรอบและผู้คน ทุกอย่างล้วนแปลกใหม่และทำให้มันสงสัย

“ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ของพวกเราสิ” เย่หวูเฉินนำเต่าดำน้อยและมังกรน้อยออกมา วางพวกมันลงบนพื้น การปรากฎตัวของพวกมันดึงดูดความสนใจของสาวน้อยทั้งสามทันที หนิงเสวี่ยและเสี่ยวโม่ย่อกายลง มองสำรวจพวกมันขณะสอบถามด้วยความสงสัย

“ท่านพี่ ท่านจับเต่าน้อยตัวนี้มาเหรอ? แต่ว่า ตัวมันดูแปลกๆอยู่บ้างนะ” หนิงเสวี่ยอยากยื่นมือออกสัมผัสเต่าดำน้อย ทว่าหลังจากหดมือกลับอยู่หลายครั้งนางก็ไม่กล้า เวลานี้เต่าดำน้อยดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา สภาพของมันเซื่องซึมและอยากพักผ่อน มันเพิ่งผ่านการต่อสู้กับอสูรมังกรม่วง แม้ว่ามันเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ยากเย็น แต่มันสิ้นเปลืองพลังไม่ใช่น้อย ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนคือการพักผ่อน ตรงกันข้ามกับอีกตัว แววตาของมังกรน้อยมีชีวิตชีวากว่าหลายเท่า คู่ดวงตาเล็กๆกลิ้งมองสิ่งนั้นที สิ่งโน้นที ไม่หยุดหย่อน

ความคิดแรกของหนิงเสวี่ยก็คือ เย่หวูเฉินจับเต่าน้อยตัวนี้มาจากริมแม่น้ำ

“มันเรียกว่าเต่าดำน้อย แต่มันไม่ใช่เต่าซะทีเดียว” เย่หวูเฉินอธิบายอย่างเรียบง่าย

“เต่าดำน้อย? ชื่อแปลกจัง ท่านพี่จับมันมาจากที่ไหนเหรอ?” หนิงเสวี่ยถาม

“เจ้านี่.... คนอื่นมอบให้กับข้า” เย่หวูเฉินสามารถตอบได้เพียงเท่านี้

“โอ้.... หมาน้อยตัวนี้คนอื่นก็เอาให้ท่านเหรอ?”

หมาน้อย!?

มังกรน้อยเข่าทรุดลงกับพื้นทันที

“เป็นมังกร” เสี่ยวโม่ขมวดคิ้วกล่าว “และเป็นมังกรสายฟ้า เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน ท่านพ่อ ท่านไปได้มังกรตัวนี้มาจากไหนเหรอ?”

มังกรเป็นสัตว์อสูรที่สูงชั้นที่สุด ไม่ว่าจะในทวีปเทวะ , ทวีปปีศาจ หรือทวีปเทียนเฉิน จากความทรงจำของเสี่ยวโม่ ในโลกที่นางเกิดมามีมังกรปีศาจที่ทรงพลังสูงสุด ทว่าในโลกแห่งนี้ มังกรมีจำนวนอยู่น้อยยิ่ง

“ดินแดนสาบสูญ” เย่หวูเฉินตอบเรียบง่าย

“อื้ม.... ฮี่ ฮี่ เลี้ยงมังกรไว้สักตัวก็ไม่เลวนะ ต่อให้เป็นมังกรที่ไม่เอาไหน แต่อย่างน้อย มันย่อมทรงพลังอย่างมากเมื่อโตขึ้น” เสี่ยวโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงสิ มันชื่ออะไรเหรอ?”

“อสูรมังกรม่วง”

“อสูรมังกรม่วง? ชื่อไม่น่าฟังเลย.... ท่านพี่ พวกเราตั้งชื่อใหม่ให้หมาน้อย.... เอ่อ มังกรตัวนี้กันดีไหม?” หนิงเสวี่ยเงยศีรษะขึ้น แววตาสองข้างเป็นประกายขณะถาม

“อื้ม ถ้างั้นเสวี่ยเอ๋อร์จะตั้งชื่อให้มันว่าไงดี?”

“อืม.... ดวงตาของมันทอประกายสีม่วง ร่างของมันก็เป็นสีม่วงจางๆ ถ้าอย่างนั้นเรียกมันว่าซื่อเอ๋อร์กันดีไหม?” หนิงเสวี่ยถามอย่างตื่นเต้น มังกรน้อยไม่ได้นิ่งงันเหมือนกับเต่าดำ นางยื่นมือสัมผัสมันเบาๆ จากนั้นลูบอย่างคลายใจ

เย่หวูเฉินกำลังจะตอบ “ตกลง” ทว่าทันใดนั้น ในใจเกิดความเจ็บเสียด เขารีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “ซื่อเอ๋อร์ ชื่อนี้.... เสวี่ยเอ๋อร์ เราเรียกมันว่าเสี่ยวซื่อกันดีไหม?”

“เอ๋? แต่ว่าซื่อเอ๋อร์ฟังแล้วเพราะกว่านะ ทำไมถึงไม่เรียกซื่อเอ๋อร์ล่ะ?” หนิงเสวี่ยเงยศีรษะถาม

ทำไม่ถึงไม่เรียกซื่อเอ๋อร์? เย่หวูเฉินไม่รู้ว่าทำไม แต่พลังจิตใจบอกเขาว่าไม่อาจเรียกชื่อนี้ได้ ไม่อย่างนั้นบางที อาจมีเรื่องน่ากลัวอย่างมากเกิดขึ้นได้....

“ป๊ะป๋า อย่าเรียกว่าซื่อเอ๋อร์.... อย่า....”

ไม่เพียงพลังจิตใจเท่านั้น ซือเฉินที่เพิ่งตื่นขึ้นยังแนะนำ นางใช้เสียงอันอ่อนเยาว์ป้องกันไม่ให้มังกรน้อยตัวนี้มีชื่อว่า ‘ซื่อเอ๋อร์’

“เพราะซือเฉินบอกว่า นางไม่ชอบให้เรียกมันว่าซื่อเอ๋อร์ นางชอบชื่อเสี่ยวซื่อ พวกเราเรียกมันว่าเสี่ยวซื่อกันเถอะ ตกลงมั้ย?” เย่หวูเฉินยกซือเฉินเป็นข้ออ้างอธิบายกับหนิงเสวี่ย หนิงเสวี่ยเอาใจซือเฉินเป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินเย่หวูเฉินกล่าวเช่นนี้ นางจึงพยักหน้าและหันร่างไปทางมังกรน้อย “อื้ม! หลังจากนี้ เจ้าเรียกว่าเสี่ยวซื่อ นี่เป็นชื่อที่ซือเฉินมอบให้กับเจ้า”

เย่หวูเฉินเก็บเต่าดำกลับ จากนั้นจับเสี่ยวซื่อวางลงในมือหนิงเสวี่ย “เสี่ยวซื่อเป็นมังกรที่แท้จริง ตอนนี้มันยังเด็กนัก แต่ว่ามันแข็งแกร่งมาก เสวี่ยเอ๋อร์ จากนี้ไปเจ้าอย่าลืมพามันอยู่ข้างกาย มันจะคอยปกป้องเจ้า”

ด้วยความต้องการของเย่หวูเฉิน อสูรมังกรม่วงตัวน้อยที่เรียกว่าเสี่ยวซื่อจึงคอยอยู่ข้างกายหนิงเสวี่ยและทงซินเป็นการชั่วคราว กลายเป็นโล่ป้องกันชั้นสุดท้าย พลังของมันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะผลึกมังกร

....................

....................


ทิศตะวันตกของอาณาจักรเทียนหลง เมืองอวิ๋นหัว

สองอาณาจักรต่างรักษาความสงบต่อเนื่องมาหลายวัน แม้ว่าอาณาจักรต้าฟงต้องการที่จะเข้าจู่โจม ทว่าพวกมันยังไม่ได้ลงมือโจมตีจริงๆ ดูเหมือนพวกมันกำลังมองหาทางลัดที่จะบุกเข้ามาในเมือง การยึดเมืองอวิ๋นหัวและเมืองซีหลู คือการทำลายปราการชั้นแรกของอาณาจักรเทียนหลง

ชูเกอเสี่ยวหยูอยู่ในเมืองอวิ๋นหัวมาแล้วหลายวัน ผู้นำทัพเย่ฮุยมาพบนางอย่างไม่ใส่ใจเพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นไม่มาพบนางอีก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นขุนพลปิงหยุนผู้นี้อยู่ในสายตา ชูเกอเสี่ยวหยูรักษาตำแหน่งขุนพลชั่วคราว นางจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก สถานการณ์ยามนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเหล่าทหารกล้า การยอมรับสตรีย่อมเป็นเรื่องยาก ไหนเลยเขาจะปราถนาเชื่อฟังคำสั่งของสตรี

ยืนอยู่เหนือหอคอยของประตูเมือง ชูเกอเสี่ยวหยูมุ่นคิ้วมองไปยังที่ไกล อาณาจักรต้าฟงตั้งค่ายทัพอยู่ใกล้มาก อยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงห้าลี้ จากที่ไกลๆสามารถมองเห็นริ้วธงปักตัวอักษร ‘ฟง’ ขนาดใหญ่ตั้งอยู่จำนวนมาก

ผ่านไปครู่ใหญ่ นางกลับไปห้องโถงและตะโกน “จิงเหลย จิงหั่ว!”

หัวหน้าสองคนในชุดดำและแดงก้าวเข้ามา ประสานมือตรงอกโค้งคำนับ “ขอรับ”

“อัสนีลั่นสะเทือนฟ้าเหลืออยู่เท่าไหร่?” ชูเกอเสี่ยวหยูเอ่ยถาม จิงเหลยและจิงหั่วมาจากตระกูลฮั่ว พวกเขาทั้งสองเป็นหัวหน้าสูงสุดของกองกำลังพิเศษที่ชื่อ ‘เพลิงอัสนีฟ้า’ ซึ่งแข็งแกร่งสุด แม้ว่าฮั่วเจิ้นเทียนไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่นับว่าเขาได้มอบพลังสูงสุดให้กับเย่หนู่ และเย่หนู่มอบให้กับชูเกอเสี่ยวหยูอีกที

“อัสนีลั่นสะเทือนฟ้าล้ำค่าอย่างมาก ในมือของพวกเราสองคน มีอยู่เพียงร้อยลูก”

“ยอดเยี่ยม เช่นนั้นในคืนนี้....” ชูเกอเสี่ยวหยูพยักหน้า จากนั้นอธิบายกลยุทธ์ของนาง

“ขอรับ!” พวกเขารับคำสั่งและออกไปโดยไม่ลังเล

อาณาจักรต้าฟงมีขวัญกำลังใจอันดีเยี่ยม ขณะที่กองทัพอาณาจักรเทียนหลงอยู่ในความกดดัน การเผชิญหน้ากับกองทัพอาณาจักรต้าฟงในยามนี้ สิ่งแรกที่พึงทำคือหลีกเลี่ยงพวกมันที่กำลังฮึกเหิม การหลีกเลี่ยงเป็นเพียงทางเลือกเดียวในตอนนี้

ตกคืนนั้นเอง ภายใต้ม่านความมืดของยามราตรี เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งในชุดดำได้ออกจากกำแพงเมืองอวิ๋นหัว จากนั้นตรงไปที่ค่ายทัพอาณาจักรต้าฟงอย่างเงียบงัน อย่างไรก็ตาม ยามเฝ้าของอาณาจักรต้าฟงย่อมไม่หละหลวม พวกมันย่อมไม่กล้าตั้งค่ายประชิดโดยไม่ระวังตัว

ขณะที่ยังอยู่ไกลจากค่ายทัพ คนกลุ่มนี้หยุดเท้าลง พยักหน้าให้กัน จากนั้นหยิบธนูที่สะพายบนหลัง นำวัตถุทรงกลมสีดำออกมาจากกระเป๋าผ้า ติดมันลงที่ปลายลูกศร จากนั้นน้าวสายธนู ยิงออกไปหลายทิศทางกระจายกัน โดยไม่รอให้ลูกศรร่วงลงถึงพื้น พวกเขาก็หันร่างกลับไปด้วยความเร็วสูงสุด

ตูม....

ลูกศรนับสิบนำอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าที่ติดอยู่ตรงปลายร่วงลงไปดุจดาวตก หล่นใส่ค่ายทัพอาณาจักรต้าฟงที่อยู่ห่างไกล ทันใดนั้น เสียงระเบิดเลือนลั่นดังตามกันเป็นสาย กระโจมทหารที่อยู่ใกล้ปลิวกระจายทันที กองทัพอาณาจักรต้าฟงตื่นขึ้นจากการหลับไหล เสียงเลือนลั่นทำให้พวกมันคิดว่าศัตรูจู่โจม ต่างลุกขึ้นมาใช้ความเร็วสูงสุดสวมเกราะด้วยความแตกตื่น ทว่าเมื่อออกมานอกกระโจม พวกมันเห็นเพียงฝ่ายตัวเองที่เตรียมพร้อม ขณะที่อีกฝ่างยังคงเงียบสงบ ไม่มีทัพศัตรูใดยกเข้ามา

รอคอยอยู่ครึ่งค่อนคืนด้วยความตื่นตัว ท้องฟ้าเริ่มทอแสงจางๆ กองทัพอาณาจักรต้าฟงกลับไปพักผ่อนอีกครั้ง ทว่าเพิ่งกำลังได้นอนหลับ เสียงสะเทือนหูดับก็ปลุกพวกมันอีกครั้ง พวกมันสวมเกราะและถืออาวุธวิ่งออกมา.... เผชิญหน้ากับความว่างเปล่าอีกครั้ง

ในคืนที่สอง กองทัพอาณาจักรต้าฟงเฝ้าระวังแน่นหนายิ่งขึ้น ประตูเมืองอวิ๋นหัวยังคงปิดแน่นไร้การเคลื่อนไหว ในคืนนี้เอง กองทัพอาณาจักรต้าฟงเพียงกำลังเอนกายนอนพัก พวกมันก็ถูกคุกคามด้วยเสียงระเบิดเลือนลั่นอีกครั้ง คืนที่สามก็เช่นเดียวกัน หลังจากผ่านไปสามวัน ทหารต้าฟงส่วนใหญ่มีขอบตาดำคล้ำ ในวันที่สี่กองทัพอาณาจักรต้าฟงจึงถอยไปตั้งค่ายห่างออกไป 20 ลี้

วันต่อมา เย่ฮุยจัดงานเลี้ยงเพื่อชูเกอเสี่ยวหยูเป็นพิเศษ เขาชื่นชมอัสนีลั่นสะเทือนฟ้าของตระกูลฮั่วไม่ขาดปาก เช่นเดียวกับชื่นชมกลยุทธ์ของชูเกอเสี่ยวหยูอย่างมาก ชูเกอเสี่ยวหยูยังคงรักษามารยาทอันดี ทว่าคิ้วกลับขมวดมุ่นขึ้น

กลายเป็นว่า คำชื่นชมของเย่ฮุยนั้นดุจผู้ที่อยู่เหนือกว่า ถ้อยคำยิ่งมายิ่งไร้ยางอาย สุดท้าย เหลือเพียงกลุ่มทหารมียศของเมืองอวิ๋นหัวที่ดื่มกินด้วยกัน ถ้อยคำยิ่งมายิ่งหยาบคาย ปล่อยนางไว้คนเดียวโดยไม่สนใจ เห็นได้ชัดว่าการที่ชูเกอเสี่ยวหยูเงียบงันมาตลอดหลายวัน ทำให้คนเหล่านี้ไร้ความเกรงกลัว กระทั่งรองขุนพลของเย่ฮุยยังไม่คิดมองนางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

ไม่ต้องรอให้งานเลี้ยงจบลง ชูเกอเสี่ยวหยูก็ยกอ้างขอตัวออกมาทันที กลับมายังที่พักของตัวเอง นางส่ายศีรษะอย่างเงียบงัน กล่าวกับตัวเอง “ไม่แปลกใจเลย แม้ว่าเขาจะใช้แซ่เย่ แต่กลับไม่อาจอยู่ประจำในเมืองเทียนหลง ทั้งยังถูกส่งมาประจำในตะวันตกอันไกลสุด เพราะคอยเหยียดหยามไม่ว่าฝ่ายศัตรูหรือฝ่ายตัวเอง ถึงแม้จะเก่งกล้า สุดท้ายย่อมเป็นได้เพียงบุคคลไม่ได้เรื่อง”

นางมองไปยังที่ห่างไกล เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ดูเหมือนว่า ทุกอย่างคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว”



<<<PREV    .    NEXT>>>