วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 483

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 483 ขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งเทวะ – เย่หมิง (1)

ในอีกโลกหนึ่ง ทวีปเทวะ

วิหารทองคำ บรรยากาศเงียบงัน อากาศของที่นี่ร้อนระอุจนแม้กระทั่งทวยเทพยังยากจะทานทน อากาศบิดผันด้วยความร้อน เมื่อมองด้วยสายตาจะเห็นไอร้อนไหวระยับ

ใจกลางของวิหารมีบุรุษผู้หนึ่งลืมตาขึ้นในยามนี้ เป็นคู่ดวงตาดุจสุริยะ บรรยากาศร้อนขึ้นอย่างบ้าคลั่งในฉับพลัน อุณหภูมิพุ่งทะยานด้วยความเร็วที่น่ากลัว

ถึงเวลาแล้ว

ตึก!

ตึก!

ตึก!

ฝีเท้าสม่ำเสมอก้าวตรงจากประตูวิหารไกลๆจนเข้าใกล้ ไม่มีผู้ใดกล้าทักทาย ทว่ากล้าเดินเข้ามาสบายใจเช่นนี้ ในทวีปเทวะมีอยู่เพียงหยิบมือ

กระแสลมประหลาดแผ่พัดเข้ามา เพียงพริบตาเดียว อากาศร้อนระอุถูกพัดกระจายไปทันที ไร้ร่องรอยไอร้อนอีก เย่หมิงหรี่ตาลง ลุกขึ้นยืนบนพื้นช้าๆ หอกทองคำสองเล่มที่พาดไขว้หลังอยู่สะท้อนแสงสีทองน่าหวั่นกลัว

“เจ้ามาทำอะไร?” เย่หมิงเปิดปากกล่าว ถามคนที่เดินเข้ามาอยู่ตรงหน้า

ไม่ว่าจะมองอย่างไร สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในสมองย่อมเป็นคำว่า “งดงามและบอบบาง” นี่คือสาวน้อยตัวเล็กๆอายุราว 13-14 ปี สวมชุดกระโปรงสีเทาพอดีตัว เผยร่างเล็กอันบอบบางอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเล็กๆงดงามอย่างมาก ผิวพรรณเป็นมันเงา ใสกระจ่างราวกับเห็นถึงกระดูก ใต้กระโปรงเทาเป็นคู่ขาเรียวงามดุจหยกสลัก ล่างสุดเป็นถุงเท้าสั้นๆและรองเท้าคู่งาม ลักษณะของนางดูน่าเอ็นดู ทว่าแววตาที่ฉายทอทำให้ผู้คนต้องหัวใจสั่นไหว มุมปากของนางยกขึ้น ใบหน้าพาดด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไม่ต่างจากปีศาจกระหายเลือด ทำให้ผู้คนที่เห็นรอยยิ้มของนางเป็นคราแรกต้องสั่นกลัวด้วยหัวใจเย็นเยียบ

นางกอดของบางอย่างไว้อยู่ในอก มันมีสีเทาขนาดสูงพอๆกับนาง ความกว้างยังแทบจะเท่ากับตัวนาง มีช่วงโคนหนา และช่วงปลายบาง รวมทั้งมีกลิ่นคาวเลือดฉาบทาอยู่อย่างหนาแน่น.... มันคือเลื่อย เป็นเลื่อยโลหิตที่น่าหวั่นกลัว ฟันเลื่อยอาบย้อมด้วยโลหิต เพียงเห็นมันแค่ปราดตา ผู้คนต้องรู้สึกหนาวสั่น

“ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ เย่หมิง ได้ยินว่าท่านต้องไปสถานที่ที่เรียกว่าทวีปเทียนเฉิน ขอให้โชคดีนะ” เด็กหญิงเงยศีรษะขึ้นมองเขา เผยยิ้มบางอย่างเสียไม่ได้ รอยยิ้มของนางทำให้เย่หมิงเย็นเยือกขึ้นในกาย เขาคือหนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ มีพลังและสถานะเป็นรองเพียงเทพจักรพรรดิ ทว่ายามเผชิญหน้าเทพธิดาที่ดูไม่ต่างจากเด็กหญิงธรรมดา แต่ละครั้งในใจจะสั่นไหวอย่างไม่อาจอดห้าม เสวี่ยเย่คือหนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัวที่สุด คือสตรีตัดโลหิต ภายใต้รูปลักษณ์น่าเอ็นดูได้ปิดซ่อนหัวใจที่น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจไว้ เลื่อยโลหิตเป็นอาวุธเดียวของนาง เลื่อยนี้ไม่ทราบว่าตัดร่างของศัตรูมามากเพียงใด นางสร้างฝันร้ายโลหิตไว้หลายครั้ง ชาหลัวบุตรชายของจักรพรรดิปีศาจชาโหวยังตกตายด้วยคมเลื่อยโลหิตนี้ ไม่ว่าในทวีปเทวะหรือทวีปปีศาจ เมื่อใดได้ยินชื่อเสวี่ยเย่ของนาง ผู้คนจะต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัว

“เจ้าล้อเลียนข้าอย่างนั้นรึ?” เย่หมิงถอยเท้าไปก้าวหนึ่ง เพิ่มระยะห่างจากนาง น้ำเสียงเย็นชาซับซ้อน ด้วยสถานะอย่างเขากลับต้องไปยังทวีปเทียน นี่ถือเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างยิ่งสำหรับเขา

“โย๋ว ท่านคือพี่ชายเย่หมิงแสนดีของข้า ไหนเลยข้าจะล้อเลียนท่านได้ ข้าเพียงอยากจะบอกท่านว่าอย่าลืมเอาของเล่นสนุกๆกลับมาด้วย หากท่านไม่เอาอะไรกลับมาเลยละก็ ข้าจะโกรธท่านมาก” เสวี่ยเย่ฉีกรอยยิ้มกว้างขึ้น น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานอย่างเห็นได้ชัด ทว่าพอได้ยินกลับเย็นเยียบถึงหัวใจ

“เฮอะ!” เย่หมิงแค่นเสียงบาง ทว่าไม่ได้ปฏิเสธ เขาหลีกเลี่ยงไม่ขัดใจดรุณีน้อยผู้นี้ให้มากที่สุด เพราะหากนางได้โกรธสักครั้ง กระทั่งเขายังไม่อาจอดห้ามความผวา

ตึง!

ตึง!

ตึง!!

วิหารกำลังสั่นสะเทือน จินตนาการได้ยากยิ่งว่านี่คือเสียงฝีเท้า ทุกครั้งที่ฝีเท้าย่ำลง ทั้งวิหารจะต้องสั่นสะเทือน หากไม่ใช่เพราะวิหารนี้แตกต่างจากวิหารธรรมดาทั่วไป มันคงถล่มลงหลังจากเท้าย่ำลงพื้นไม่กี่ครั้ง

ต่างจากร่างเล็กๆบอบบางของเสวี่ยเย่โดยสิ้นเชิง ผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นบุรุษร่างกายกำยำมหึมา ความสูงของเขามากกว่าห้าเมตร แขนขาทั้งสี่ใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง เพียงแขนข้างเดียวก็หนากว่าร่างของเสวี่ยเย่หลายเท่า ร่างกายราวกับภูเขาขนาดย่อมๆ ทว่าศีรษะของเขากลับไม่สมส่วนเหมือนคนทั่วไป มันมีขนาดเล็กยิ่งกว่าหมัดของเขา กล้ามเนื้อที่เผยออกมาดำขลับดุจเหล็กกล้า

เชียนจ้ง หนึ่งในสามขุนพลศักดิ์สิทธิ์แห่งทวีปเทวะ เป็นที่รู้จักกันในนามหนึ่งหมัดทลายฟ้า ดุดันดุจเทพคลั่ง!

เชียนจ้งหยุดยืนอย่างมั่นคง วิหารที่สั่นไหวหยุดสั่นสะเทือนในที่สุด เขายื่นศีรษะเล็กๆน่าตลกออกมา เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแน่นทึบ “เย่หมิง ถึงเวลาแล้ว ท่านต้องไปที่ทวีปเทียนเฉินเพื่อนำตัวองค์หญิงไป่เย่และองค์หญิงเฮยเย่กลับมา หากพ้นวันนี้ไป ท่านต้องรออีกหนึ่งปี ถึงจะสามารถเปิดบ่อน้ำแห่งสวรรค์ได้อีกครั้ง”

“เจ้าก็ล้อเลียนข้าอย่างนั้นรึ?” เย่หมิงมุ่นคิ้วลงอีกครั้ง

“เปล่าๆ ข้าเพียงแค่จะเตือนท่าน ลู่เทียนตกตายอาจเป็นอุบัติเหตุ แต่เจวี๋ยเทียนตายด้วยอีกคนย่อมไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา บางทีในทวีปเทียนเฉินอาจไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่พวกเราคิดไว้ ท่านต้องระวังตัวให้ดี องค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่เกี่ยวพันถึงอนาคตของทวีปเทวะ คำนวณจากเวลาแล้ว นี่สมควรถึงเวลาที่สิ่งนั้นเติบโต นำองค์หญิงเฮยเย่กับองค์หญิงไป่เย่กลับมา ปลุกสองเทพลึกลับให้ตื่นขึ้น พวกเราก็ไม่ต้องกลัวชาโหวกระจอกงอกง่อยนั่นอีกแล้ว” เชียนจ้งกล่าวคำ แม้เขาไม่ได้ตั้งใจส่งเสียงดัง ทว่าเสียงของเขาแทบไม่ต่างจากคำราม หากที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาไม่ใช่เย่หมิงกับเสวี่ยเย่แต่เป็นคนธรรมดา เสียงพูดของเขาย่อมให้ผู้คนสลบลงทันที

“ฮิ ฮิ พี่เย่หมิงโปรดระวังตัวด้วย หากท่านพ่ายแพ้กลับมา คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก” เสวี่ยเย่หรี่ตาลง ยื่นลิ้นสีชมพูเล็กๆเลียริมฝีปาก การกระทำนี้สมควรทำให้ผู้คนชะงักงันทันที ด้วยคิดว่ากำลังเห็นปีศาจเลียริมฝีปากที่เปื้อนเลือด

“ฮึ่ม!!”

เย่หมิงแค่นเสียงหนัก ไม่มองทั้งสองคนอีก เขาเดินตรงไปข้างหน้าทันที

บ่อน้ำแห่งสวรรค์ เป็นช่องทางเดียวที่สามารถผ่านไปยังทวีปเทียนเฉิน แต่เทพธรรมดาไม่อาจเข้าไป มีเพียงผู้มีพลังเหนือเทพขึ้นไปเท่านั้นจึงจะผ่านได้ บ่อน้ำแห่งสวรรค์จะเปิดครั้งหนึ่งในทุกๆสามปี ทว่าเย่หมิงมีพลังระดับศักดิ์สิทธิ์ การเปิดใช้บ่อน้ำแห่งสวรรค์จึงใช้เวลาเพียงครั้งละหนึ่งปี

บ่อน้ำแห่งสวรรค์แน่นอนว่าไม่ใช่บ่อน้ำ แต่เป็นประตู

เย่หมิงยืนมือไปที่ประตู รัศมีสีทองสว่างวาบ ประตูเปิดออกทันที

“ทวีปเทียนเฉิน....” เย่หมิงแค่นเสียงบางและเดินเข้าไปอย่างเงียบงัน มุ่งตรงไปที่อีกโลกหนึ่ง

ในเวลาเดียวกัน ที่เมืองเทียนหลงได้มีคนแปลกหน้าผู้หนึ่งมาเยือน นางเป็นสตรีที่มีหน้าตาสะสวยเป็นอย่างมาก

เยว่ซือฉี!

เทียบกับหกเดือนก่อน เห็นได้ชัดว่านางผอมลง ใบหน้างดงามแฝงแววน่าสงสาร หญิงสาวที่เริ่มสนใจเพศตรงข้ามต้องทนตรอมตรมนานกว่าครึ่งปี ทุกวันไม่หิวหาอาหาร มองไปแต่ทางทิศตะวันออกด้วยสายตาเหม่อลอย พ่อแม่ของนางรู้ว่านางคิดสิ่งใด ทว่าพวกเขาทำได้เพียงถอนหายใจยาวเท่านั้น

สุดท้าย พ่อแม่ของนางไม่โหดร้ายพอจะเห็นลูกสาวของตัวเองต้องผ่ายผอมและซีดเซียวลง จึงปล่อยให้นางไปตามหัวใจปรารถนา หากนางโหยหาเขาถึงเพียงนี้ เช่นนั้นนางต้องกล้าหาญสักครั้ง เดินทางมายังเมืองเทียนหลงและยืนอยู่ตรงหน้าเขา

ดังนั้น นางจึงมาที่นี่ ยิ่งกว่านั้นยังมาคนเดียว คุณหนูผู้แทบไม่เคยก้าวเท้าออกจากบ้านได้เดินทางตามหัวใจตัวเองมาจนถึงที่นี่.... นางปฏิเสธพ่อแม่ไม่ให้ติดตามมา ขอเพียงให้คนส่งนางมายังเมืองเทียนหลง จากนั้น นางให้คนที่มาส่งกลับไปยังเมืองเทียนฟง แบบนี้นางจะได้ไม่มีหนทางกลับไปอีก นางเชื่อว่าเมื่อตนเองไร้บ้านให้อาศัย เขาจะมอบที่พักพิงให้กับนาง....

ทุกคนในเมืองเทียนหลงต่างรู้จักที่ตั้งของตระกูลเย่ ดังนั้นนางจึงหาพบอย่างรวดเร็ว นางหยุดยืนอยู่ตรงประตูหน้าของตระกูลเย่ ใบหน้างดงามแดงผ่าว สองมือบีบชุดตัวเองจนแทบขาด นางเชื่อว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันทำเรื่องหาญกล้าแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง นางแทบได้ยินเสียงหัวใจเต้น รู้สึกเลยว่าหัวใจแทบจะเต้นออกจากอก

ขณะที่นางกระวนกระวาย ไม่ทราบจะเข้าไปในตระกูลเย่ด้วยท่าไหน นางพลันพบว่าประตูหน้าของตระกูลเย่กำลังเปิดออก บุรุษที่นางเฝ้าถวิลหามาตลอด และสตรีผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นประดับบนใบหน้าได้เดินออกมาพร้อมกัน แววตาของเยว่ซือฉีกลายเป็นสับสนทันที

ได้พบคนที่ไม่คาดคิดในฉับพลัน เย่หวูเฉินชะงักเล็กน้อย จากนั้นเดินออกมาและถามเพื่อยืนยัน “เจ้าคือลูกสาวของเยว่หานตง.... ซือฉีงั้นเหรอ?”

เยว่ซือฉีมองบุรุษอีกฝ่าย ฉับพลันข้างหูไม่ได้ยินเสียงใดอีก โลกตรงหน้าราวกับพร่ามัวลง นางรู้สึกว่าที่ปลายจมูกเริ่มคล้ายสะอื้น มุมหางตาราวกับเอ่อด้วยน้ำใส ภาพในสายตากลายเป็นพร่ามัวลงเรื่อยๆ

ในที่สุดนางก้มศีรษะลง จากนั้นรวบรวมความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด กล่าวคำอย่างนุ่มนวล “นายน้อยเย่.... ท่านต้องการคนช่วยซักผ้าทำอาหาร.... ช่วยจัดเตรียมผ้าห่มที่นอน.... อีกสักคนไหม?”

“.......” เย่หวูเฉินมองตาค้างอยู่ที่หญิงสาว พูดไม่ออกเป็นเวลาเนิ่นนาน

หวังเวิ่นชูเคลื่อนกายมาที่ข้างๆเยว่ซือฉี กล่าวคำด้วยความสงสัย “แม่หนูคนนี้คือ....”

เย่หวูเฉินหมุนร่างในฉับพลัน พุ่งเข้าไปในประตูหน้าด้วยความเร็วสูงสุด หายไปจากสายตาของเยว่ซือฉี

ราวกับสวรรค์ถล่มลง ความเสียใจครั้งใหญ่ประดังเข้าใส่ โศกเศร้าเจ็บปวดในหัวใจ นางทรุดกายลงกับพื้น สองมือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น

“นี่.... ฮ่าย เฉินเอ๋อร์ เจ้าลูกคนนี้” หวังเวิ่นชูค่อยๆย่อกายอย่างระวัง ประคองไหล่ของหญิงสาวอย่างรักใคร่ เอื้อนเอ่ยปลอบโยนนาง “แม่หนู เจ้าชื่ออะไรหรือ?”

“ข้า.... ข้าเรียกว่าซือฉี” เสียงอ่อนโยนประโลมใจนาง นางสะอื้นเอ่ยชื่อตัวเอง นางทราบว่านี่คือแม่ของเย่หวูเฉิน

“ซือฉี? มาเถอะ ลุกขึ้นก่อน เจ้าต้องเป็นเด็กสาวที่เฉินเอ๋อร์เคยรู้จัก เฉินเอ๋อร์เจ้าลูกคนนี้อย่างอื่นก็ดีอยู่หมด แต่หัวใจชอบแบ่งปันไปทั่ว ไม่เหมือนกับพ่อของเขา” หวังเวิ่นชูกล่าวปลอบพลางหัวเราะ ช่วยประคองเยว่ซือฉีที่เจ็บปวดอย่างไม่เป็นธรรมให้ลุกขึ้น “มาๆ เข้ามาคุยกับป้าข้างในก่อน ป้าจะรับผิดชอบทุกอย่างต่อเจ้าเอง”

“อื้ม.... ขอบคุณ.... ท่านป้า”

เย่หวูเฉินพุ่งเข้าไปในห้องของตัวเอง กอดหนิงเสวี่ยและทงซินที่เล่นกันเสียงดังไว้ในแขนสองข้าง สีหน้าทะมึนน่ากลัว ร่างกายสั่นสะท้านรุนแรงไม่ทราบด้วยเหตุใด เขาหันศีรษะไปทางเสี่ยวโม่ที่สีหน้าตะลึงงัน “บอกพ่อแม่ข้า ข้ามีเรื่องต้องพาหนิงเสวี่ยกับทงซินไปข้างนอกอีกหลายวัน.... หากอีกสิบวันให้หลังข้ายังไม่กลับมา.... ให้พวกเขาคอยคุ้มกันคนในตระกูลข้า!”

โดยไม่รอให้เสี่ยวโม่กล่าวตอบ เย่หวูเฉินพาหนิงเสวี่ยกับทงซินออกไปทันที ไม่ทราบว่ากลุ่มแสงขาวพาพวกเขาไปที่ใด

เสี่ยวโม่ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น เย่หวูเฉินออกไปได้เนิ่นนานนางก็ยังไม่ฟื้นกลับ กระทั่งสติเริ่มคืนกลับมา นางจึงรีบวิ่งออกนอกประตูอย่างรวดเร็ว พุ่งกายขึ้นสู่อากาศ หลับตาลงแผ่จิตสัมผัสออกอย่างเต็มที่ วินาทีถัดมานางต้องสั่นสะท้าน ใบหน้าหิมะกลายเป็นซีดขาวอย่างน่ากลัว

“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์.... แห่งเทวะ” เสี่ยวโม่เปล่งคำออกจากริมฝีปากอันสั่นเทา ร่างกายเย็นเยียบไปทั่วร่าง



<<<PREV    .    NEXT>>>