วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 462

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 462 สมุทรประจิม

“เจ้าสามารถครอบครองวารี , อัคคี และวายุ ชะตาของเจ้าย่อมกำหนดมาให้มิใช่เป็นคนธรรมดา เพราะการจะครอบครองมุกเซียนได้ มิใช่อาศัยพลังและวาสนา หากแต่เป็นลิขิตชะตาที่กำหนดไว้ เมื่อมันคือสิ่งที่สมควรเป็นของเจ้า ต่อให้หลีกหนีก็ไม่มีวันหนีพ้น ชะตาของเจ้ามิได้ถูกกำหมดให้เป็นคนธรรมดา ในเมื่อเจ้าสามารถเข้ามาที่ได้ ย่อมหมายความว่าเจ้าคือจุดหมายปลายทางเพียงหนึ่งเดียวของข้า”

“พูดอีกอย่างก็คือ ท่านปรารถนาให้ข้าพาออกไป และยอมให้ข้ากลืนกินพลังอันเหลือล้นของท่านอย่างนั้นหรือ?” เย่หวูเฉินถาม การพูดคุยกับมุกเรืองปฐพีราวกับไม่ใช่การคุยอยู่กับมุกเซียน หากแต่เป็นชายชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก

“แม้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดใช้วิธีใด แต่ในเมื่อเจ้ากล้ากล่าวว่าสามารถกลืนกินพลังบ้าคลั่งของข้าได้ สามารถครอบครองมุกเซียนทั้งสามไว้ในกาย อย่างไรก็ตาม แม้เจ้ามีวารี , วายุ และอัคคีสามมุกเซียนอยู่กับตัว แต่มิได้หมายถึงว่าข้าจะยอมรับเจ้า.... ก่อนอื่นจงผ่านการทดสอบของข้า เพื่อให้ข้าได้รู้สึกวางใจในตัวเจ้า....”

“ทดสอบ? ทดสอบอันใด?” เย่หวูเฉินมุ่นคิ้วถาม

“ช่วยข้าตามหาของสองสิ่ง บททดสอบสองอันนี้ควรกล่าวว่าเป็นสองสิ่งที่เจ้าต้องทำเสียมากกว่า หากเจ้าสามารถบรรลุได้ เช่นนั้นเจ้าคือบุคคลที่ข้าเคยมองเห็นเมื่อคราวโกลาหลล่มสลาย”

“บอกข้า ว่าสองสิ่งนั้นคืออะไร?” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม

“สิ่งแรก.... ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือได้ต่อสู้อย่างคู่คี่จนเป็นสาเหตุให้โกลาหลล่มสลาย ผลลัพธ์จากอารมณ์ฝ่ายลบที่สะสมเป็นเวลายาวนานทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ปีศาจ’ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะร่วมมือกันขับไล่ปีศาจ แต่ตราบใดที่อารมณ์ด้านลบของทั้งสองยังคงค้างไม่ถูกขจัด ‘ปีศาจ’ ย่อมไม่มีวันหมดสิ้นไป ต่อให้เข่นฆ่าสังหาร เผ่าพันธุ์นี้ย่อมสามารถกลับมาได้อีก..... เมื่ออารมณ์ด้านลบถูกปลดปล่อยออกมา แม้ทั้งสองเป็นเทพสูงสุดแห่งห้วงโกลาหล แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งหายนะทั้งหมดได้ ดังนั้น จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือจึงเลือกความตายในท้ายที่สุด.... ความตายของพวกเขาจะทำให้ ‘ปีศาจ’ ไม่ทรงพลังไปมากกว่านี้ ตราบใดยังมีผู้อื่นที่สามารถเอาชนะมันได้ ย่อมมีหวังทำให้มันหายไปตลอดกาล ก่อนที่ทั้งสองจะทำลายชีวิตตัวเอง พวกเขาได้ลอบร่วมมือกัน เดินทางมายังผืนทวีปแห่งนี้ มอบสายเลือดและความรับผิดชอบให้กับมนุษยชาติสองกลุ่มแยกจากกัน.... จากนั้นจักรพรรดิใต้ได้ตกตายลง ทว่าจักรพรรดิเหนือ.... นางอาศัยพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายที่ใกล้จะหมดลงมุ่งมายังทะเลตะวันตกของทวีปนี้ หว่านเมล็ดธุลีเทาลงในทะเล จากนั้นได้ดับสูญไปจากโลก”

เรื่อราวตำนานอันลึกลับ การต่อสู้ของจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือได้ก่อให้เกิด ‘ปีศาจ’ ทั้งสองได้ลอบร่วมมือกันมอบความรับผิดชอบและสายเลือดให้กับมนุษยชาติในทวีปเทียนเฉิน.... เรื่องเหล่านี้เย่หวูเฉินล้วนทราบมาก่อนจากเศษเสี้ยวความทรงจำของกระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติ แต่เรื่องจักรพรรดิเหนือหว่านเมล็ดธุลีเทาลงในทะเลตะวันตกนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน....

“ท่านต้องการให้ข้าตามหาเมล็ดที่จักรพรรดิเหนือได้หว่านไว้ในทะเลตะวันตกอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่.... เมล็ดนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไป หลายปีที่ผ่านมานี้ มันได้หยั่งราก แตกหน่อ เติบโตมีลำต้นสีเทา มีใบธุลีเทา เริ่มผลิดอกสีเทา จนสุดท้ายได้เกิดผลธุลีเทาลูกหนึ่ง.... เรื่องในอดีตที่จักรพรรดิเหนือมุ่งหน้ามายังทะเลตะวันตกนี้ บางทีทั่วทั้งห้วงโกลาหลคงมีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ เพราะเวลานั้นนอกจากข้า ที่แห่งนี้ล้วนไม่มีชีวิตใดสามารถเข้ามาได้ ระหว่างห้วงเวลาอันนิรันดร์ที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ข้าเฝ้ามองเมล็ดนั้นเติบโตอยู่ห่างๆ ยามนี้เมื่อเจ้าเดินทางมาถึง ผลธุลีเทาลูกนั้นในที่สุดก็สุกงอม มนุษย์เอ๋ย เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญ”

“หนานเอ๋อร์ เมล็ดธุลีเทาที่เติบโตจนออกผลธุลีเทานี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคือสิ่งใด?” เย่หวูเฉินเพ่งสติถามหนานเอ๋อร์ในจิตใจ.... นางดำรงอยู่ในกระบี่ตัดดารา ย่อมมีความสัมพันธ์กับจักรพรรดิใต้ บางทีนางอาจรู้ว่าผลธุลีเทานี้คือสิ่งใด

“เจ้านาย ข้าไม่รู้.... ข้านึกเรื่องที่เกี่ยวกับผลธุลีเทานี้ไม่ออกเลย” หนานเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวตอบ

เย่หวูเฉินไม่ถามนางอีกและกล่าวตอบ “ข้าเข้าใจแล้ว บอกข้าว่ามันอยู่ในทิศไหนของทะเลตะวันตก ข้าจะรีบนำมันกลับมาในเวลาอันสั้นที่สุด”

“ชีวิตนั้นครอบครองพลังแห่งจิตใจที่ตื่นขึ้นได้ยากอย่างยิ่ง จงไปยังที่ใจกลางทะเลตะวันตก แล้วเจ้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของมัน.... ไป ความรู้สึกของข้าได้บอกกับตัวเอง ว่าสิ่งๆนี้เป็นของเจ้า”

จากตำนานที่กล่าวไว้ เมื่อสติปัญญาของใครสักคนเพิ่มพูนจนสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง เขาจะสามารถล่วงรู้ถึงความลี้ลับ.... สติของมุกเรืองปฐพีเกิดขึ้นตั้งแต่ทวีปเทียนเฉินยังไม่ถือกำเนิด ห้วงเวลาอันยาวนานนี้ บางทีอาจทำให้สติปัญญาของมันเพิ่มพูนถึงขั้นล่วงรู้ถึงความลี้ลับได้ เย่หวูเฉินครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ไม่เสียเวลาชักช้าอีก บินรุดไปทางทิศตะวันตกทันที

ชายขอบของทวีปเทียนเฉินคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ มหาทวีปทางด้านตะวันตก เมื่อเลยออกไปจะเป็นทะเลตะวันตก แต่เนื่องจากการดำรงอยู่ของมุกเรืองปฐพี การมาเยือนทะเลตะวันตกนี้ผู้คนทำได้เพียงล่องเรืออ้อมมาจากทางไกลเท่านั้น การเดินทางจากอาณาจักรต้าฟงมุ่งสู่ทะเลตะวันตกโดยตรง บางทีในประวัติศาสตร์อาจมีเพียงเย่หวูเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น

ทวีปเทียนเฉินครึ่งหนึ่งคือผืนน้ำ อีกครึ่งหนึ่งคือแผ่นดิน การไปยังจุดใจกลางทะเลตะวันตกย่อมเป็นระยะทางไกลยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เย่หวูเฉินไร้ความลังเลใจ บินตรงไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆ จนกระทั่งตกเย็น เขาก็พ้นออกจากพายุทรายและมองเห็นผืนทะเลกว้างใหญ่ในท้ายที่สุด

เขาหยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่ หลับตาลงและใช้พลังแห่งจิตใจคอยจับสัมผัส ทว่าผ่านไปนานเขาไม่รู้สึกถึงความแตกต่างใดๆ ดังนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกต่อ....

หนึ่งวันผ่านไป

สองวันผ่านไป

ในวันที่สาม ขณะที่เย่หวูเฉินกำลังหลับตาบินอยู่ ในที่สุดพลังแห่งจิตใจก็กระเพื่อมขึ้น เขารีบเพิ่มความเร็วในการบินทันที รวบรวมสมาธิขยายพลังแห่งจิตใจในระดับสูงสุด สัมผัสถึงแหล่งที่มาของพลังนั้น

ทันใดนั้น เขาหักเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านไปหลายสิบนาทีเขาก็หยุดลงอีกครั้ง กวาดตามองหาตำแหน่ง ลอยตัวอยู่บนฟ้าครู่ใหญ่ จากนั้นเขาพุ่งตัวลงสู่ทะเลราบเรียบ แหวกน้ำทะเลลงไปด้วยความเร็วสูงลิ่ว

เย่หวูเฉินไม่เกรงกลัวต่อน้ำ หลังจากได้ครอบครองมุกจิตวารีที่ทรงพลังธาตุวารี เขาก็สามารถควบคุมน้ำได้อิสระ.... โคจรพลังได้ตามใจนึก น้ำทะเลด้านใต้แยกออกอย่างเชื่อฟัง ร่างของเย่หวูเฉินแม้มุ่งลงสู่ใต้ทะเล หากแต่ไม่มีแรงต้านใดๆแม้แต่น้อย ราวกับดิ่งลงไปในอากาศว่างอย่างนั้น

มุกเรืองปฐพีกล่าวไว้ไม่ผิดพลาด สิ่งนี้ครองพลังแห่งจิตใจที่พิเศษอย่างยิ่ง แตกต่างอย่างมากจากพลังแห่งจิตใจธรรมดา ไม่เพียงแค่พิเศษเท่านั้น แต่ยังทรงพลังสุดขั้ว ตราบใดที่ครองพลังแห่งจิตใจอยู่บ้าง ย่อมสามารถสัมผัสถึงมันได้แม้อยู่ระยะไกล เย่หวูเฉินกำหนดตำแหน่งของมันไว้เบื้องล่าง

จากแผ่นดินด้านตะวันตกจนมาถึงใจกลางทะเลแห่งนี้ ในทวีปเทียนเฉินไม่มีมนุษย์คนใดเดินทางมาถึงได้ ดังนั้นสิ่งมีชีวิตใต้น้ำจึงมากมาย เย่หวูเฉินดิ่งลงมาไม่นานนักก็เจอสิ่งมีชีวิตทั้งกลุ่มใหญ่และกลุ่มเล็ก ทว่าทะเลตะวันตกนั้นลึกอย่างยิ่ง เย่หวูเฉินใช้ความเร็วถึงเพียงนี้ดิ่งลงไปเนิ่นนานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงก้นสมุทร ต้นกำเนิดของพลังแห่งจิตใจยิ่งมายิ่งใกล้ขึ้น หากยังคงเหลือระยะทางอีกไกลลิ่ว

ที่ใต้ทะเล นอกจากมีแรงต้านของน้ำแล้วยังมีแรงดันของน้ำด้วยเช่นกัน ยิ่งลึกลงไปในทะเลเท่าใด แรงดันของน้ำยิ่งสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้เมื่อยิ่งดำดิ่งลงไป สิ่งมีชีวิตในน้ำจึงยิ่งมายิ่งเบาบาง สำหรับสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำทะเลลึกที่มีแรงกดดันหนักหน่วงนี้ได้ แน่นอนพวกมันย่อมไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา ใต้ทะเลยิ่งมายิ่งปรากฎสัตว์อสูรแกร่งกล้า

ผ่านไปอีกหลายนาที ต้นกำเนิดของพลังแห่งจิตใจใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในเส้นสายตาของเย่หวูเฉินพลันมองเห็นแสงสว่างรำไร.... มันเป็นแสงสีเทาเรืองสว่างเป็นจุดเล็กๆ ในโลกอันมืดมิดที่มองไม่สิ่งใด แสงรำไรสีเทานี้ปรากฎให้เป็นอย่างเด่นชัด

แสงสีเทานี้ เป็นต้นกำเนิดของพลังแห่งจิตใจอันประหลาดนั้น!

ปรากฎว่ามัน.... มีสีเทาจริงๆ!....

เย่หวูเฉินดิ่งร่างลงไปยังแสงนั้นด้วยความเร็ว เปิดดวงตาเต็มที่มองเห็นทุกอย่างใต้ทะเลมืดมิดได้ชัดเจน สายตาจับจ้องอยู่ที่ต้นกำเนิดแสงสีเทานั้น

เป็นต้นพืชจริงๆ หากไม่นับสีของมันแล้ว มันก็แทบไม่ต่างจากต้นพืชธรรมดาทั่วไป ต้นของมันสูงราว 30 เซนฯ ใบรีเป็นรูปไข่ ที่ปลายยอดมีผลไม้ธรรมดาห้อยอยู่ลูกหนึ่ง ผลของมันเล็กมาก มีขนาดเพียงหัวแม่มือเท่านั้น ลักษณะเป็นทรงกลมประหลาด มีแสงสีเทาเรืองออกมาจางๆจากผลไม้ลูกนี้

ในเมื่อมองเห็นพืชต้นนี้ เย่หวูเฉินย่อมเห็นบริเวณโดยรอบได้ชัดเจน.... สิ่งที่แปลกคือบริเวณโดยรอบมีฝูงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มารวมตัวกัน และเพราะการดำรงอยู่ของพวกมัน ทำให้ก้นทะเลแห่งนี้ว่างเปล่าเป็นแผ่นผืน กระทั่งหินใต้ทะเลยังถูกทำลาย หากกลับมีเพียงต้นธุลีเทานี้เท่านั้นที่ยังคงยืนต้นอยู่

สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สีดำว่ายน้ำตรงเข้ามา เย่หวูเฉินหยุดร่างและจ้องมองมัน สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นี้มีลักษณะเป็นปลา จะว่าคล้ายกับฉลามก็ไม่เชิง ร่างของมันหยุดชะงักเมื่อหัวห่างจากต้นธุลีเทาเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร ราวกับว่ามันกระแทกใส่บางสิ่งเช่นม่านพลังแกร่งกล้า แน่นอนว่าขณะที่หัวของมันกระแทกได้เกิดเสียง ‘ตึง’ ดังสะเทือนไปทั่วพื้นสมุทร เย่หวูเฉินไม่อาจช่วยได้นอกจากเจ็บเสียดแก้วหู เขาดีดร่างออกห่างทันที หัวใจตื่นตะลึง รีบเปิดเนตรวิญญาณตรวจสอบฉลามตัวนั้น.... สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลลึกไหนเลยจะธรรมดาได้

ฉลามปีศาจดำ : ขอบเขตเทวะขั้นสูงสุด อสูรทะเลธาตุทมิฬ ราชันแห่งทะเลตะวันตก นิสัยดุร้ายเกรี้ยวกราด เสพติดความมืดและกระหายเลือด เนื่องจากมันกลัวแสงสว่าง ดังนั้นนอกจากโผล่ขึ้นทะเลเพื่อรับอากาศในบางครั้ง มันจะท่องอยู่ใต้ทะเลลึกอยู่เสมอ คอยล่าสังหารสิ่งมีชีวิตทุกชนิดใต้ท้องทะเล น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง มีชีวิตดำรงมานานกว่า 30,000 ปี

ขอบเขตเทวะขั้นสูงสุด!?

เย่หวูเฉินรู้สึกเย็นวาบเล็กน้อย ข้อความที่เนตรวิญญาณบอกไว้มีคำว่า ‘ราชันแห่งทะเล’ ถ้อยคำง่ายๆนี้แฝงแรงกดดันหนักหน่วง เพราะหมายถึงฉลามปีศาจดำตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลตะวันตก หรืออาจกระทั่งทั่วมหาสมุทรของเทียนเฉิน เหนือขอบเขตเทวะขั้นสูงสุดคือขอบเขตเหนือเทพ สิ่งมีชีวิตปานนี้นอกจากอสูรมังกรม่วงแล้ว ในทวีปเทียนเฉินย่อมไม่มีทางปรากฎอีก สิ่งมีชีวิตที่พลันพบตรงก้นสมุทรกลับกลายเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งสุด ไม่ทราบว่านี่สมควรเป็นวาสนาหรือเคราะห์ร้าย

ไม่แปลกใจเลยที่มันกระแทกแล้วเกิดเสียงเลือนลั่นเช่นนี้ การกระแทกของมันยังทำให้เย่หวูเฉินทราบว่าที่รอบๆต้นธุลีเทามีม่านพลังกั้นอยู่ ยิ่งกว่านั้นยังแข็งแกร่งสุดขั้ว ภายใต้การกระแทกของฉลามปีศาจดำกลับทำให้มันไม่อาจเดินหน้าได้แม้แต่ครึ่งนิ้ว ทว่าการกระแทกนี้ยังได้ปลุกสัตว์อสูรจำนวนมากที่สงบเงียบอยู่ พวกมันส่วนใหญ่สามารถมองเห็นในความมืด เมื่อฉลามปีศาจดำปรากฎในสายตาของพวกมัน พื้นสมุทรก็พลันกลายเป็นโกลาหล สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่รีบเผ่นแนบด้วยความเร็วสูงสุด ไม่กล้ารั้งรออยู่ ฉลามปีศาจดำไม่ได้ไล่ตามสัตว์อสูรขนาดใหญ่ตัวใด มันกลับกระแทกหัวเข้าใส่ม่านพลังไร้ตัวตนอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งผ่านไป ในที่สุดมันก็หมดความอดทน มันหันร่างและพุ่งเข้าหาเย่หวูเฉินอย่างเกรี้ยวกราด

อสูรเทวะขั้นสูงสุด พุ่งตรงเข้าใส่มนุษย์ผู้ทรงปัญญา อยู่มากว่า 30,000 ปี มันโจมตีใส่เย่หวูเฉินย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากมันพลันได้กลิ่นเผ่าพันธุ์ที่ต่างออกไปในทะเลแห่งนี้



<<<PREV    .    NEXT>>>