วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 440

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 440 พลังเหนือเทพ , อสูรมังกรม่วง (1)

เมื่อกลับไปถึงบ้าน หนิงเสวี่ยยังคงไม่ตื่นจากการนอนหลับ ตะวันลอยโด่งพ้นฟ้าได้ไม่นาน ทว่าการลงมือเหี้ยมโหดสองครั้งติดของเซียวรั่วกลับทำให้เมืองเทียนหลงแตกตื่น ทหารคุ้มกันเมืองเดินลาดตระเวนไปทั่ว ตรวจตรามองหาร่องรอยของเซียวรั่ว

ที่ด้านข้างหนิงเสวี่ย ทงซินยังคงหลับไหลอยู่ในท่าเดิมไม่เคลื่อนไหว นางนิ่งงันอยู่แบบนี้มาหลายวัน ในมือนางกุมกริชสั้นสีแดง โผล่คมงดงามออกมาเล็กน้อย เย่หวูเฉินแววตาวูบไหวก่อนที่จะเดินไปยังเตียง ค่อยๆแกะมือนาง นำกริชเทพพิโรธออกมา นางสมควรมีชีวิตสุขสงบ เป็นสาวน้อยผู้น่ารัก ไม่ใช่ถูกกำหนดให้เป็นฆาตกรกระหายเลือดเช่นนี้

อาวุธคู่กายถูกนำออกห่างจากตัว นิ้วอันหนักอึ้งของทงซินขยับไหวทันที การเคลื่อนไหวอันเล็กน้อยนี้กระตุกหัวใจของเย่หวูเฉินให้สั่นกระเพื่อม เขารีบนั่งลงบนเตียง วางมือประคองบนร่างของทงซิน “ทงซิน?”

คู่ดวงตาที่ปิดมายาวนานค่อยๆเปิดขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาทมิฬดุจราตรี สายตาที่คุ้นเคยนี้ จับจ้องมองกันและกัน

เย่หวูเฉินฉีกยิ้ม ความกังวลสลายหายวับไปในพริบตา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ทงซิน เจ้าตื่นแล้ว.... ในที่สุดข้าก็กอดเจ้าได้เสียที” สายตาที่มองนางดูคล้ายพร่ามัว เขาดึงนางขึ้นมากอดในอ้อมอก “หากยังเหนื่อยอยู่ เจ้าก็พักผ่อนต่อเถอะ.... ทุกอย่างสงบลงแล้ว คนผู้นั้นตายไปแล้ว มันจะไม่ปรากฎตัวอีก พวกเราปลอดภัยดี ไม่มีใครเป็นอันตราย เจ้าอย่าได้กังวลเลย”

นางไม่ทราบว่าตัวเองสลบไปนานเพียงใด ภาพที่นางจำได้คือช่วงเวลาก่อนที่นางจะสลบ

ดวงตาดำทมิฬกระพริบปริบๆ ทงซินขยับร่างและค่อยๆหลับตาลง ทว่าทันใดนั้น นางก็ลืมตาขึ้นโพลง ใบหน้าฉายความตื่นตระหนกล้ำลึก

ร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจโคจรพลัง.... พลังของนางสลายไปหมดสิ้น

หากไร้พลัง แล้วนางจะปกป้องเขาได้อย่างไร....

เย่หวูเฉินทราบทันทีว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขากอดนางไว้แน่นขึ้น “ทงซิน ยัยเด็กโง่ อย่ากังวลเลย ฟังคำของข้าให้ดี ต่อจากนี้ให้ข้าเป็นคนปกป้องเจ้า ตกลงมั้ย?”

มือเล็กๆวางทาบที่อกเขา ในที่สุด นางผู้ที่ยังอ่อนล้าก็หลับไป

เย่หวูเฉินประคองนางกลับลงสู่เตียง จากนั้นลุกยืนขึ้น เนื่องจากการตื่นขึ้นมาของทงซิน ทำให้อารมณ์อันหวั่นไหวเนื่องจากการปรากฎตัวของเซียวรั่วเริ่มสงบลง หากแต่ท่ามกลางความสงบนี้ เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองกำลังละเลยบางอย่าง

เขาไม่เคยเพิกเฉยต่อความรู้สึกของตน คิ้วเริ่มขมวดมุ่น ค่อยๆนึกไล่ย้อนความทรงจำ ทงซินตื่นขึ้นมาตรงหน้า.... เต่าดำน้อย.... เซียวรั่ว.... ระเบิดสำนักจักรพรรดิเหนือ....

แสงสว่างวาบขึ้นมาในสมอง หลังจากสำนักจักรพรรดิเหนือถูกระเบิด ตัวเขาซึ่งอยู่ที่สำนักมารก็กลับมายังเมืองเทียนหลง ในชั่วพริบตาที่กำลังจากมา เขาได้ยินเสียงบางอย่าง.... เสียงนั้นสร้างความตื่นตะลึงในจิตใจ ทว่าในตอนนั้น เสียงดังกล่าวสำหรับเขาราวกับเสียงคำรามของสัตว์อสูรทั่วไป หากในตอนนี้เมื่อเขานึกถึงมันอีกครั้ง พลังจิตใจก็กระเพื่อมขึ้นปลุกเขาให้ตื่นตัว เขาเรียกเซียงเซียงออกมาทันที “ไปที่อาณาจักรคุยชุย”

เขากลับมายังสำนักมารอีกครั้ง ทว่าในห้องโถงกลับว่างเปล่า หัวใจตื่นตระหนกทันที เวลานี้เอง ประตูถูกกระแทกเปิด เหยียนจื่อซินที่ได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นเย่หวูเฉิน เขารีบกล่าวคำโดยไร้เวลาให้ทักทาย “นายท่าน ท่านมาที่นี่ก็ดีแล้ว.... พวกปู่ พวกเขาไปยังป่าสาบสูญ ระเบิดที่ทำลายสำนักจักรพรรดิเหนือได้ปลุกอสูรเหนือเทพที่กบดานอยู่ในตอนใต้ของดินแดนสาบสูญ มันกำลังมุ่งหน้าทางนี้ หากเมื่อใดที่มันมาถึงที่นี่ ทั่วทั้งเมืองจะต้องถูกทำลายพินาศย่อยยับ ผู้คนบริสุทธิ์จะต้องจบสิ้น”

“ข้ารู้แล้ว” เย่หวูเฉินพุ่งออกไปข้างนอก จากนั้นบินไปทางทิศใต้ด้วยความเร็วสูงสุด ขณะที่เหยียนจื่อซินกล่าวคำ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าหวาดหวั่น.... เป็นกลิ่นอายของสัตว์อสูรซึ่งต่างจากของมนุษย์ แม้ว่ากลิ่นอายนี้จะอยู่ห่างไกลยิ่ง แต่ความเข้มข้นของมันแทบไม่ด้อยไปกว่าของเจวี๋ยเทียน!

เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า หากมันไม่ถูกกระตุ้นมันย่อมไม่ออกมาจากรัง บางทีแรงระเบิดครั้งใหญ่อาจกระตุ้นโทสะมัน ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบมานับไม่รู้กี่ปี ยามใดที่มันโกรธเกรี้ยว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผลลัพธ์ย่อมน่ากลัวถึงขีดสุด สำหรับพวกสัตว์อสูรแล้ว การเหยียบย่ำทำลายชีวิตมนุษย์ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา พวกมันย่อมไม่ปราณีและไร้ความลังเล

เนื่องจากเขาคือคนที่เป็นต้นเหตุ ดังนั้นเขาจึงต้องแก้ไขด้วยตัวเอง แม้ว่าเขาไม่ใช่คนดีนัก แต่เขาจะไม่ยอมให้สิ่งที่ตนเป็นต้นเหตุทำลายผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก

พลังมหาศาลเทียบเคียงได้กับเจวี๋ยเทียน เขาควรจะรับมือมันเช่นไร

“เซียงเซียง.... เจ้ายังเหลือพลังมากพอหรือไม่?” เริ่มจากเคลื่อนย้ายมาอยู่เหนือท้องฟ้าสำนักจักรพรรดิเหนือ จากนั้นกลับไปยังสำนักมาร แล้วกลับไปที่เมืองเทียนหลง จากนั้นเพียงไม่นาน เขาก็กลับมายังสำนักมารอีกครั้ง เคลื่อนย้ายตัดมิติระยะไกลสี่ครั้งติดต่อกัน แม้ว่าเซียงเซียงบรรลุพลังขอบเขตเทวะเช่นเดียวกัน แต่นี่สมควรถึงขีดจำกัดของนางแล้ว

เซียงเซียงรับรู้ถึงความร้อนใจของเย่หวูเฉิน นางไม่ตอบกลับแต่ปรากฎตัวบนไหล่ของเขาโดยตรง ฝ่ามือทั้งสองข้างยื่นออกมา แผ่พุ่งแสงขาวบริสุทธิ์ห่อหุ้มร่างของเย่หวูเฉิน

ติ้ง! เคลื่อนตัดมิติอีกครั้ง เย่หวูเฉินมาถึงชายขอบด้านเหนือของดินแดนสาบสูญ เบื้องหน้าเป็นผืนป่ามืดครึ้ม บริเวณโดยรอบเป็นแผ่นผืนว่างเปล่า มีสองคนอยู่ที่นี่ หัวคิ้วขมวดมุ่นมองไปยังดินแดนสาบสูญที่อยู่ตรงหน้า เสียงคำรามกำลังใกล้เข้ามา แรงกดดันยิ่งมายิ่งหนักหน่วง ผืนดินสั่นสะเทือนเป็นจังหวะ เมื่อเย่หวูเฉินปรากฎกาย พวกเขาพลันรู้ตัวและหันศีรษะมาทันที สีหน้าคลายลงเล็กน้อย

“นายท่าน!”

“ไม่จำเป็นต้องเล่ามากความ!” เย่หวูเฉินยกมือขึ้น เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเหยียนเทียนเว่ย “ข้ารู้ดี ท่านไม่จำเป็นต้องบอกข้าให้ออกไป ในเมื่อหายนะนี้ข้าเป็นคนนำมา ดังนั้น ผู้ที่สมควรขับไล่มันย่อมต้องเป็นข้า”

กระทั่งในระยะไกล ยังสามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงและเกรี้ยวกราดได้อย่างชัดเจน ด้วยแรงกดดันเพียงนี้ แทบไม่ต่างอันใดกับเจวี๋ยเทียนเลย ต่อให้เหยียนเทียนเว่ยร่วมมือกับเหยียนต้วนชาง ยังไม่มีหวังต่อต้าน ดังนั้น การปรากฎตัวของเย่หวูเฉินจึงทำให้หัวใจของพวกเขาปั่นป่วน พวกเขาอาจไม่เสียดายชีวิตของตัวเอง แต่พวกเขาไม่อาจปล่อยให้เย่หวูเฉินเป็นอันตรายได้

“แต่ว่านายท่าน....” เหยียนต้วนชางยังคงคิดกล่าวบางอย่าง

“วางใจเถอะ ข้าเองก็เช่นเดียวกับพวกท่าน ไม่ได้คิดเข้าต่อสู้กับมัน อีกทั้งหากหมดหนทาง ข้ายังสามารถหลบหนีได้ทุกเวลา” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทว่าเขาทราบดี เซียงเซียงเคลื่อนย้ายระยะไกลต่อเนื่องกันมาแล้วห้าครั้ง ยามนี้นางแทบไร้พลัง ในเวลาสั้นๆต่อจากนี้ นางย่อมไม่อาจเคลื่อนพลังตัดมิติได้อีก

เหยียนเทียนเว่ยสีหน้าคลายออกช้าๆ เขากล่าว “นายท่านพูดได้ถูกต้อง พวกเรามาที่นี่ไม่ได้หวังต่อสู้กับมัน มิเช่นนั้นล้วนไม่ต่างจากแส่หาที่ตาย อสูรตนนี้อาศัยอยู่ในดินแดนสาบสูญไม่เคยจากไปไหน ไม่เคยเป็นศัตรูกับมนุษย์ แม้ว่ามันตกใจจากแรงระเบิด แต่ความโกรธของมันนับว่าค่อนข้างแปลก อสูรเหนือเทพมีความฉลาดเหนือมนุษย์ธรรมดา หากไต่ถามถึงเหตุผล บางทีอาจโน้มน้าวให้มันกลับไปได้ แต่หากไม่....”

แต่หากไม่ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องเสี่ยงชีวิตใช้พลังของตนเข้าหยุดมัน เมื่อใดที่อสูรเหนือเทพโกรธเกรี้ยวต่อมนุษย์ ภัยพิบัติที่มันสร้างขึ้นย่อมอยู่เหนือจินตนาการ เปรียบเทียบกับสงครามแล้ว นี่นับว่าน่ากลัวกว่าหลายเท่า

“กงลั่วล่ะ?” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม

“เขากับคนอื่นๆไปที่ประตูเมือง หากทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน พวกเขาจะหาวิธีสร้างความโกลาหลในเมือง ทำให้ผู้คนอพยพออกไปก่อน” เหยียนต้วนชางกล่าวตอบ

“อืม” เย่หวูเฉินพยักหน้า สายตาเคลื่อนออกด้านข้าง เขากล่าวเสียงทะมึน “มันมาแล้ว ถอยออกไปก่อน ระวังตัวด้วย!”

เหยียนเทียนเว่ยและเหยีนต้วนชางรู้สึกถึงแรงกดดันที่ใกล้มาถึง พวกเขาควรเรียกอำนาจนี้ว่าพลังไร้ต้านในทวีปเทียนเฉิน แม้ว่ามันไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเขา หากยังคงทำให้พวกเขาอึดอัดจนแทบไม่อาจหายใจ พวกเขาลอยร่างขึ้นและล่าถอย ร่อนลงบนพื้นห่างออกไปหลายสิบเมตร ขณะที่เท้าแตะลงถึงพื้นดิน สีหน้าของพวกเขาก็กลับกลายชะงักค้าง เพราะสิ่งที่เห็นพวกเขาเห็นนั้น คือเงาขนาดมหึมา

ตูม!

ตูม!

ตูม!

ต้นไม้ในดินแดนสาบสูญล้วนเก่าแก่ ต้นโบราณที่สูงนับร้อยเมตรนั้นหาได้ไม่ยากนัก ทว่าเงามหึมานี้ สูงเกินกว่าต้นไม้สูงสุดที่พวกเขาเคยเห็น มันมาถึงในที่สุด ทุกครั้งที่มันย่ำเท้าลง แผ่นดินจะสั่นสะเทือนเลือนลั่นเหมือนฟ้าฟาด เสียงคำรามที่กู่ก้องออกจากปากมัน ทำให้ผืนดินยิ่งสะเทือนรุนแรงขึ้น รอยแตกเริ่มลามออกจนมองเห็น เส้นทางที่มันเดินผ่าน ย่อมเกิดเสียงต้นไม้ล้มกราวระเนระนาด ประสานเข้ากับเสียงคำรามของมัน

ตูม!

ตูม!

ต้นไม้มหึมาปลิวขึ้นฟ้าราวกับเศษฟางข้าว ด้วยพลังไร้ต้านแผ่นดินเริ่มแตกลามมาถึงเท้าของพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นภาพอสูรเหนือเทพเต็มตา.... เวลานี้เอง เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางขยับเท้าถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัว

นี่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุด ที่พวกเขาเคยพบเห็นในชีวิต!

ความสูงของมันมากกว่าร้อยเมตร ขนาดมหึมาจนผู้คนต้องตะลึงลาน ลำคอค่อนข้างเพรียวบางเมื่อเทียบกับร่างขนาดยักษ์ มันลากหางอันยาวเหยียด ร่างกายหยาบกร้านสะท้อนแสงสีม่วงงดงาม หัวของมันชูขึ้นสูงเหนืออากาศกว่าร้อยเมตร ขนาดหัวได้สัดส่วนพอเหมาะกับขนาดตัว ความเกรี้ยวกราดที่ฉายออกทางดวงตาทั้งสองข้างทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นเยือก ปากขนาดใหญ่อ้าคำรามสะเทือนลั่นและหุบลง เผยให้เห็นคมเขี้ยวอันน่าหวั่นกลัว

“นี่.... นี่มัน....” ไม่เพียงมันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุด ที่เหยียนเทียนเว่ยกับเหยียนต้วนชางได้ประสบ แต่มันยังเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเจอ

“มันคือมังกร” เย่หวูเฉินมุ่นคิ้วตอบ ยามที่มังกรตัวนี้ปรากฎกาย เขาเองก็ตะลึงไม่ต่างกัน กลับกลายเป็นว่ามันคือมังกร พลังแห่ง ‘เนตรวิญญาณ’ ที่มังกรเพลิงฟ้ามอบให้แก่เขากำลังทำงาน มันบอกว่ามังกรตัวนี้คือ ‘อสูรมังกรม่วง’ ดำรงอยู่มานับแต่ยุคโบราณ เหมือนเช่นที่เหยียนเทียนเว่ยเคยกล่าวไว้ มันดำรงอยู่มาตั้งแต่ก่อนที่มนุษยชาติจะรุ่งเรือง ในเวลานั้น ทวีปเทียนเฉินคือดินแดนของสัตว์อสูร และมันคือราชันของสัตว์อสูรทั้งปวงตั้งแต่เวลานั้น

ขนาดของมันพอเปรียบเทียบได้กับมังกรเพลิงฟ้า ทว่าพลังของมันเหนือล้ำไปห่างไกล มังกรเพลิงฟ้ามีพลังเหนือเทพขั้นต้น ทว่าอสูรมังกรม่วงทรงอำนาจเช่นเดียวกับเจวี๋ยเทียน มันบรรลุขอบเขตพลังเหนือเทพขั้นสูงสุด แม้มันเป็นเผ่าพันธุ์มังกรเฉกเช่นมังกรเพลิงฟ้า ทว่ามันทั้งสองไม่ใช่มังกรชนิดเดียวกัน มังกรเพลิงฟ้าเป็นมังกรสวรรค์ห้ากรงเล็บทองคำเหมือนในตำราของหัวเซี่ย ซึ่งเขารู้จักดี ทว่าอสูรมังกรม่วงตนนี้ คือมังกรยักษ์ในตำนานตะวันตก.... ลักษณะจึงต่างกันอย่างมาก มันไม่มีปีกทั้งสองข้าง การที่มันเดินลากมาเป็นทาง แสดงให้เห็นว่ามันไม่อาจบินได้

“มังกร? พลังน่ากลัวยิ่งนัก” เหยียนเทียนเว่ยไม่เคยเห็นมังกรมาก่อน แรงกดดันที่เขาสัมผัสได้ในยามนี้ บ่งบอกว่านี่คือของจริง เป็นแรงกดดันหนักหน่วงสูงสุดที่เขาเคยเผชิญในชีวิต



<<<PREV    .    NEXT>>>