วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 490

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 490 แยกจาก (2)

หนิงเสวี่ยกอดทงซินไว้ ลอยร่างออกจากม่านแสงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาล ลอยขึ้นไปอยู่ตรงหน้าเย่หมิง ครั้งหนึ่งนางและทงซินเป็นสาวน้อยคอยตามติดเป็นเงาข้างกายเย่หวูเฉิน ตอนนี้เหลือเพียงทงซินที่ยังคงอยู่ในร่างสาวน้อยชุดดำ ส่วนหนิงเสวี่ยได้สยายปีกกว้าง กลายเป็นเทพธิดาปีกขาว

ม่านแสงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาลกำลังสั่นไหว ทว่ายังคงไม่แตกออก นางส่งพลังรักษามันไว้ให้คงอยู่นานมากที่สุด

“องค์หญิงไป่เย่....” เย่หมิงจับจ้องสายตาที่คู่ปีกขาวที่ไม่ได้เห็นมานาน น้ำเสียงที่กล่าวออกมายังแปลกแปร่งอยู่หลายส่วน

“ข้าจะกลับไปกับเจ้า” หนิงเสวี่ยปาดเช็ดน้ำตาออกแล้ว ทว่าไม่อาจซ่อนความโศกเศร้าในแววตา นางมองลงไปเบื้องล่างที่แสงขาวศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถมองทะลุม่านพลังนั้นได้ นางเห็นข้างในอย่างชัดเจน แววตานางสั่นไหวขณะเอ่ยคำแผ่วเบา “แต่เจ้าห้ามทำร้ายผู้ใดในที่นี้ ไม่อย่างนั้น ข้าจะตายต่อหน้าเจ้าทันที!”

สูงศักดิ์และอ่อนโยน ทำให้ผู้คนที่ได้ยินจมจ่อมไปกับน้ำเสียง ทว่าเย่หมิงกลับมุ่นคิ้นลง มันตั้งใจว่าทันทีที่ม่านแสงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาลหายไป มันจะสังหารมนุษย์ที่มอบรสชาติความกลัวตายให้กับมันทันที นี่เป็นการรักษาเกียรติภูมิของมัน ในขณะเดียวกัน จิตใต้สำนึกได้บอกกับมันว่ามนุษย์ผู้นี้ที่ทำให้มันรู้สึกหวั่นกลัว ภายภาคหน้าจะต้องนำหายนะใหญ่หลวงมาสู่มัน

“องค์หญิงไป่เย่ ท่านตกต่ำลง” เย่หมิงกล่าวด้วยคิ้วขมวดมุ่น

“ถูกต้อง ข้าตกต่ำลง ข้าขอยอมตามเขาตกต่ำลงสู่ขุมนรก ดีกว่ากลับสู่ทวีปเทวะที่ไร้ค่าแห่งนั้น” หนิงเสวี่ยมองไปยังเย่หวูเฉินที่ไร้เสียงอยู่เบื้องล่างด้วยแววตาอันงมงาย ไม่ปราดตามองเย่หมิงแม้สักครั้ง ตกต่ำ.... หากนี่เป็นความตกต่ำ เช่นนั้น นางก็ปรารถนาให้ตัวเองตกต่ำตลอดไป และจะไม่มีใครหยุดนางให้ตกต่ำได้

เย่หมิงสงบใจลง จากนั้นส่งน้ำเสียงเย็นชา “ด้วยสถานะอันสูงส่งของท่าน เหตุใดจึงหวั่นไหวต่อมนุษย์ต่ำชั้นผู้นี้ หากเรื่องของท่านทราบถึงองค์เทพจักรพรรดิ นางจะต้องโกรธกริ้วอย่างมาก ท่าน องค์หญิงไป่เย่จะกลายเป็นที่หัวร่อของชาวทวีปเทวะ.... ให้ข้าจัดการมัน เมื่อมันตายแล้ว ท่านจะได้ลืมมันจนหมดสิ้น”

ม่านแสงศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์กาลกำลังอ่อนโทรม ยิ่งมายิ่งอ่อนแอลง เย่หมิงค่อยๆเคลื่อนฝ่ามือขึ้นช้าๆ

“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าในยามนี้ย่อมไม่อาจป้องกันเจ้าให้สังหารเขา.... เจ้าฆ่าเขาได้เลย แต่หากเขาได้รับบาดเจ็บแม้แต่เพียงเล็กน้อย ข้าจะตายต่อหน้าเจ้าทันที.... ตกตายไปพร้อมกับมุกเซียนแห่งชีวิตและแสงสว่างที่อยู่ในร่างข้า!” หนิงเสวี่ยเหลือบตามองเล็กน้อย น้ำเสียงนุ่มนวลดุจสายลม บริสุทธิ์ดุจสายน้ำ

“ท่าน!”

เกิดเสียงดังขึ้นแผ่วเบา ม่านพลังสีขาวบริสุทธิ์ตรงนั้นได้หายไป เผยให้เห็นผืนทรายสีเหลือง เย่หวูเฉินลอยนิ่งงันอยู่เหนือผืนทรายนั้น เขาเผาผลาญพลังชีวิตของตัวเองเพื่อแลกกับการดูดซับพลังธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ราคาที่ต้องจ่ายคือไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนาน แต่เย่หมิงรู้ว่าด้วยองค์หญิงไป่เย่ที่ฟื้นฟูพลังและความทรงจำ พลังแห่งชีวิตที่บริสุทธิ์สูงสุดในห้วงโกลาหลที่อยู่ในตัวนางย่อมสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตของเย่หวูเฉินให้กลับคืนมาในเวลาอันสั้น....

ทำให้เย่หมิงหวาดกลัวต่อความตายได้ ครอบครองกระบี่หนานฮวงและคันศรเป่ยตี้ ได้รับความหลงใหลงมงายจากองค์หญิงไป่เย่....

หากมนุษย์ผู้นี้ไม่ถูกกำจัด ภายภาคหน้าหัวใจของเย่หมิงย่อมไม่อาจปล่อยวางได้!

แต่หากองค์หญิงไป่เย่ทำเหมือนที่นางพูดจริงๆ....

เย่หมิงกำหมัดทั้งสองข้าง สีหน้ากลับกลายอย่างซับซ้อน ในที่สุดมันมองเย่หวูเฉินอีกครั้งและกล่าวกัดฟัน “เฮอะ! คำสั่งขององค์หญิงไป่เย่ ไหนเลยเย่หมิงจะกล้าขัดขืน! มนุษย์ชั้นต่ำมีแต่จะแปดเปื้อนท่าน มีตรงไหนของมันที่ทำให้ท่านหลงใหล!”

“เจ้า เป็นเพียงเทพที่ไร้สิ่งใดนอกจากพลัง สิ่งนี้เจ้าย่อมไม่มีวันเข้าใจ” หนิงเสวี่ยส่ายศีรษะช้าๆอย่างเวทนา นางไม่กล้ามองไปที่เย่หวูเฉิน ไม่อย่างนั้น นางกลัวว่าจะไม่อาจควบคุมตัวเองให้กลับไปอยู่ข้างกายเขา และไม่อาจหักห้ามใจจากเขาไปได้อีก

“.....เฮอะ!” เย่หมิงแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง จากนั้นขยับฝ่ามือสร้างม่านพลังทองคำห่อหุ้มร่างของหนิงเสวี่ยและทงซินไว้อีกครั้ง ร่างสีทองวูบไหว สามบุคคลหายไปจากตรงนั้นทันที ปรากฎขึ้นอีกครั้งที่ท้องฟ้าห่างไกล

เหนือหมู่เมฆบนท้องฟ้าสูงเสียด ตรงจุดนี้นางสามารถมองเห็นผืนทวีปเทียนเฉินได้ทั้งหมด ทว่านางไม่อาจมองเห็นร่างของเย่หวูเฉินได้อีกแล้ว.... เงียบงัน น้ำตาที่ราวกับไม่มีวันเหือดแห้งเอ่อท้นขึ้นอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นบนลำคอขาวหิมะ สะกดน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา กอดทงซินไว้แน่นในอ้อมแขน เผชิญหน้ากับอนาคตของตัวเอง....

ท่านพี่....

อายุของนางมากกว่าเขาหลายเท่า บางทีอาจมากกว่าหลายสิบเท่า แต่นางจะเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ ตลอดไป นางกลัวว่าเขาจะรีบร้อนมุ่งสู่ทวีปเทวะเพื่อตามหานาง นางคิดกระทั่งว่าเขาลืมนางเสียยังดีกว่า ไม่ต้องจดจำนางได้อีก เช่นนั้นแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องดั้นด้นเผชิญพบกับอันตราย อาศัยอยู่ในทวีปเทียนเฉินของเขาอย่างสุขสงบ เคลื่อนลมฝนบนผืนทวีปนี้ได้ตามใจนึก ไม่มีผู้ใดทำร้ายเขาอีก มีผู้คนมากมายที่รักใคร่และใส่ใจเขา.... ให้ทุกความเจ็บปวดและโหยหา ทุกน้ำตาอันทรมาน ถูกแบกรับไว้ที่นางเพียงผู้เดียว

แต่ทว่า นางเลือกตั้งความหวังอันเห็นแก่ตัวบอกให้เขาแข็งแกร่งขึ้น แกร่งกล้าเพียงพอเอาชนะทุกผู้ในทวีปเทวะเพื่อพานางกลับไป และให้ไม่มีใครเอาชนะเขาได้อีก.... เนื่องจาก นางไม่อาจแยกจากเขาได้ เขาเคยบอกว่านางคืออีกครึ่งชีวิตของเขา ทว่าสำหรับนางแล้ว เขาคือทั้งชีวิตของนาง เมื่อไร้เขาอยู่ข้างกาย นางแทบไม่เหลือจิตวิญญาณในร่าง

ท่านพี่ ได้โปรดเชื่อข้า ระหว่างพวกเรานั้น ถูกผูกโยงไว้ด้วยด้ายแห่งโชคชะตาที่ไม่วันตัดขาด....

ไม่มีวัน

ต่อให้ห้วงโกลาหลถูกทำลาย ต่อให้ผืนปฐพีถล่มลง ต่อให้มหาสมุทรเหือดแห้ง พวกเราก็จะไม่มีวันลืมกัน....

ไม่มีวัน

.....................

.....................

พระอาทิตย์สีทองได้หายไปจากท้องฟ้า อากาศแผดเผาได้บรรเทาลง กลิ่นอายมหึมาที่ทำให้ยอดฝีมือทั่วทั้งทวีปสีหน้าซีดขาวได้หายไป ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นพลันคลายลง ทว่าหลังจากนั้น เรื่องนี้ได้กลายเป็นหัวข้อใหญ่ที่ชาวทวีปเทียนเฉินถกเถียงกันด้วยความกลัว ประวัติศาสตร์ได้จารึกเหตุการณ์นี้ไว้เช่นเดียวกัน

เย่หวูเฉินหายตัวไปจากทะเลทราย ปรากฎกายขึ้นอีกครั้งในแสงขาวที่สวนตระกูลเย่ ยามนี้เขาไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ไร้สติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง ผมเผ้ากระเซิงยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่นเต็มไปด้วยรอยเลือด ทำให้ผู้คนในตระกูลเย่ตื่นตระหนกทันที ช่วยกันแบกร่างเขาอย่างเร่งร้อนนำกลับไปที่ห้องของเขา คนของสำนักมารที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลเย่ต่างตกใจแทบสิ้นสติ รีบส่งข้อความไปยังเหยียนเทียนเว่ย และคนอื่นๆที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ด้วยความเร็วสูงสุด ทันใดนั้น หัวหน้าระดับสูงของสำนักมาร , สำนักจักรพรรดิเหนือ และสำนักจักรพรรดิใต้ต่างเร่งรุดตลอดวันคืนมายังตระกูลเย่ ลอบปกป้องเย่หวูเฉินอยู่ลับๆ

เป็นผู้ใดกัน ที่สามารถบีบคั้นเขาได้ถึงเพียงนี้?

หรือจะเป็นตัวตนสีทองน่าหวาดหวั่นที่ปรากฎตัวขึ้นในตอนนั้น?

ลมหายใจและชีพจรของเขามั่นคง สีหน้าเป็นปกติ ทั่วร่างไร้ริ้วรอยบาดแผลใดๆ อวัยวะภายในไม่ได้รับบาดเจ็บ นอกจากเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยเลือดก็ไร้สิ่งผิดปกติใดๆ ทว่าหนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป.... พลังของเขาฟื้นฟูกลับมาจนเต็มเปี่ยม แต่เขายังคงไม่ตื่นขึ้นเหมือนเช่นเคย

7 วัน.... 10 วัน.... 15 วัน.... 30 วัน

เขายังคงไม่ตื่นขึ้น

ยิ่งกว่านั้น หนิงเสวี่ยและทงซินที่ไม่เคยอยู่ห่างจากกายเขา ระหว่างหลายวันที่ผ่านมากลับไม่ปรากฎตัวอีก ราวกับว่าพวกนางได้หายตัวไปแล้ว

ฮั่วฉุ่ยโหรวเต็มไปด้วยความกังวล คอยดูแลเขาแทบตลอดวันคืน มองเขาอย่างเงียบงันที่ข้างเตียง บ่อยครั้งที่ปาดเช็ดน้ำตาเงียบๆ ตระกูลเย่ตั้งแต่สูงยันต่ำถูกเมฆหมอกทะมึนปกคลุมหัวใจเพราะเย่หวูเฉินอีกครั้ง ความสุขจากการตั้งครรภ์ของหวังเวิ่นชูได้เจือจางลงอย่างมาก

นอกจากตระกูลเย่แล้ว ผู้ที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือเสี่ยวโม่ ตั้งแต่วันที่เย่หวูเฉินกลับมา นางก็กลายเป็นเย็นชาถึงขีดสุด นางคอยเฝ้าเย่หวูเฉินและไม่กล่าวคำอีก เพิกเฉยต่อทุกผู้คน รวมถึงพ่อแม่ของเย่หวูเฉิน ตลอดหนึ่งเดือนนางไม่กินไม่ดื่ม มีเพียงสายตาที่มักปั่นป่วนด้วยความเกลียดชัง จิตสังหารแห่งปีศาจยังปลดปล่อยออกมาไม่รู้ตัวบ่อยครั้ง ทำให้เหล่ายอดฝีมือที่ปกป้องอยู่ลับๆต้องผวาหวั่นกลัว

มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย่หวูเฉิน

พวกนางถูกพรากไปจากเย่หวูเฉิน ไม่มีวันหวนกลับมาอีก

หนิงเสวี่ย ทงซิน คือองค์หญิงไป่เย่และองค์เฮยเย่แห่งทวีปเทวะ ในที่สุดพวกนางก็ถูกพาตัวกลับไป ด้วยความรักที่เขามีต่อพวกนาง นางสามารถรับรู้ได้ว่าหัวใจของเขาเจ็บปวดเพียงใด

เขาไม่ได้บาดเจ็บ และต่อให้บาดเจ็บเขาย่อมฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ตื่นขึ้น.... เพราะเขากำลังหลบหนี หากตื่นขึ้นมาเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่สูญเสียหนิงเสวี่ยและทงซิน เผชิญหน้ากับความผิดหวังในตัวเองที่ไม่อาจปกป้องพวกนางได้.... เขาถึงขนาดต้องหลบเลี่ยงเช่นนี้ บ่งบอกได้ว่าหัวใจของเขาเจ็บปวดเพียงใด

ระหว่างหลายวันนี้ ในฐานะภรรยาของเย่หวูเฉิน หลงฮวงเอ๋อร์แทบใช้เวลาตลอดวันคืนอยู่ในตระกูลเย่ เป็นอีกคนที่วิญญาณราวกับถูกพรากไป เรื่องราวในราชสำนักถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง นางกับฮั่วฉุ่ยโหรวอยู่ด้วยกันข้างกายเย่หวูเฉิน ยามเหน็ดเหนื่อยก็หลับอยู่ที่ข้างเตียงของเขา เมื่อตื่นขึ้นก็คอยมองเขาต่อ สิ่งเดียวที่พวกนางปรารถนาคือให้เขาตื่นขึ้นมา

วันนี้ เนื่องจากมีเรื่องสำคัญในราชสำนัก หลงฮวงเอ๋อร์จึงจากไปชั่วคราว ฮั่วฉุ่ยโหรวที่เฝ้าอยู่ตลอดวันคืนไม่อาจฝืนดวงตาได้อีก ดวงตาของนางปิดลงในยามนี้ หลับซบอยู่ข้างเตียงของเย่หวูเฉิน นางหลับลึกด้วยความเหนื่อยล้า เสี่ยวโม่ที่พิงอยู่ตรงหน้าต่างอย่างนิ่งงัน ยามนี้หันร่างและลุกออกจากหน้าต่างในที่สุด ก้าวเท้าอย่างเงียบงันตรงมาอยู่ข้างเตียง มองไปยังใบหน้าอันเงียบสงบของเย่หวูเฉิน

ท่านพ่อ....

เป็นผู้คนของทวีปเทวะอีกแล้ว.... เหตุใดถึงต้องทำลายครอบครัวของพวกเรา ทำร้ายท่านพ่อด้วย....

เจ้าพวก.... บัดซบ!

บัดซบสิ้นดี!

สิ้นดี!

อุณหภูมิโดยรอบพลันดิ่งลง ยอดฝีมือสำนักมารที่ซ่อนอยู่ต่างตะลึงงัน มองมายังเด็กหญิงที่แผ่จิตสังหารอันน่าสะพรึง เด็กหญิงสามคนที่อยู่ข้างกายเย่หวูเฉิน นอกจากหนิงเสวี่ยที่เขาชมชอบมากที่สุดแล้ว ทงซินและเสี่ยวโม่ล้วนไม่ใช่ตัวตนธรรมดา พวกเขาทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว คนหนึ่งคือสตรีเทพพิโรธ ทว่าเด็กหญิงผู้นี้ไม่ทราบว่าเหตุใดจู่ๆถึงได้คอยติดตามเขา ทั้งยังทรงพลังแกร่งกล้าแทบไม่ต่างจากทงซิน

ฉับพลันนั้นจิตสังหารได้คลายออก เสี่ยวโม่หลับตาลงช้าๆ โลกหล้ากลายเป็นเงียบสงบในยามนี้ มือเล็กๆของนางกุมมือเย่หวูเฉินไว้ นางกระซิบอย่างนุ่มนวล “เซียงเซียง.... เจ้าคงต้องการปลุกท่านพ่อเช่นเดียวกับข้าถูกมั้ย? ถ้างั้นเจ้าช่วยข้าหน่วย.... เวลาหนึ่งเดือนคงมากพอแล้ว”

แสงขาววาบออกจากไหล่ของเย่หวูเฉิน ตรงเข้าปกคลุมเย่หวูเฉินและเสี่ยวโม่ไว้อย่างรวดเร็ว



<<<PREV    .    NEXT>>>