วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 485

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 485 ศัตรูผู้ไร้เทียมทาน

เขาเคลื่อนแขนขวา โซ่ตรวนผนึกปีศาจที่มัดทงซินไว้ถูกเรียกกลับ ทงซินลุกขึ้นยืน กระชับกริชเทพพิโรธไว้ในมือมั่น นางยืนเคียงข้างเย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ย ทว่ากริชเทพพิโรธที่กุมไว้ในมือกำลังสั่นเทา พลังอันเป็นที่สุดนี้ ทำให้กระทั่งนางยังรู้สึกหวาดกลัว

“ทงซิน.... ใช้พลังธาตุปกป้องเสวี่ยเอ๋อร์ไว้.... ยิ่งมากยิ่งดี.... เซียงเซียง ไปกันเถอะ!”

ทงซินถูกอุ้มขึ้น มิติถูกตัดขาด ทั้งสามคนหายไปจากความมืด เปลี่ยนมายังผืนทะเลทรายสีเหลือง นี่คือโลกทะเลทรายไร้ขอบเขตที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทวีปเทียนเฉิน รวมทั้งเป็นที่อยู่ของมุกเรืองปฐพี

ธาตุทมิฬปกคลุมร่างของหนิงเสวี่ย ป้องกันไว้จากแรงโน้มถ่วง เย่หวูเฉินโล่งใจเล็กน้อย เขาตะโกนลงไปเบื้องล่าง “เต่าดำ ออกมา.... เต่าดำ.... เต่าดำ! ข้าต้องใช้พลังของเจ้า.... เต่าดำ!”

ผ่านไปเนิ่นนาน.... ทะเลทรายยังคงเงียบสนิท

ไร้คำตอบรับใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของมุกเรืองปฐพี หัวใจคนบีบรัดอยู่ในความเงียบงัน

เย่หวูเฉินขบฟันแน่น ความหวังสุดท้ายพลันมลายหายไป เขาทราบว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเต่าดำ ไม่อย่างนั้นมันย่อมไม่เพิกเฉยต่อเสียงเรียกของเขา

สิ่งที่มุกเรืองปฐพีครอบครองอยู่ คือพลังแกร่งกล้าสูงสุดในห้วงโกลาหล เป็นพลังปานใดย่อมจินตนาการได้ เมื่อมันอยู่ในตัวเต่าดำ พลังของเต่าดำย่อมเพิ่มขึ้นอย่างเร็วรุด.... ช่วงเวลาวัยเด็ก 30 ล้านปี กำลังถูกย่นระยะลงเรื่อยๆ....

ช่วงเวลา 30 ล้านปี.... กับช่วงเวลาเพียงครึ่งปี.... ด้วยพลังสุดขั้วของมุกเรืองปฐพี เวลาเติบโตของอสูรศักดิ์สิทธิ์เต่าดำจึงย่นระยะลงหลายสิบล้านเท่า การเปลี่ยนวัยจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ของเต่าดำไม่ได้อาศัยเฉพาะเพียงพลังรั่วไหลของมุกเรืองปฐพีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังที่อยู่ภายใน เวลานี้เต่าดำน้อยปิดการรับรู้ทุกอย่างไว้ มันไม่อาจได้ยินเสียงเรียกของเย่หวูเฉิน หรือต่อให้ได้ยิน มันก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้

บางครั้งโชคชะตาก็โหดร้าย หากเต่าดำสามารถพัฒนาร่างสำเร็จก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เย่หวูเฉินย่อมมีหนทางเอาชนะเย่หมิง

เย่หวูเฉินไร้เวลาให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเต่าดำน้อย เพราะฉับพลันพลังจากที่ห่างไกลได้ย้ายเข้ามาใกล้ หัวใจของเขาดิ่งวูบอีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้าน หันมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหลัง

“ทำให้ข้าต้องแปลกใจจริงๆ ในสถานที่แห่งนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะได้เห็นพลังตัดมิติ.... ผืนทวีปที่เรียกว่าเทียนเฉินแห่งนี้ ดูเหมือนจะมีดีกว่าที่ข้าคิดไว้อยู่บ้าง.... เจ้าคงเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดสินะ?”

แสงทองคำทำให้ตาพร่ามัว ความร้อนลามเลียบนใบหน้า ในรัศมีสีทองมองเห็นเงารางๆของบุรุษร่างใหญ่ เขาสวมใส่อยู่ในเกราะทองคำ ผมพริ้วยาวเป็นสีทอง ใบหน้าสมบูรณ์แบบ ร่างลักษณะและพลังเช่นนี้สมควรมีอยู่ในตำนานเทพนิยายเท่านั้น ทว่าคนผู้นี้กำลังลอยสูงอยู่กลางอากาศ ไม่ว่าผู้ใดที่ได้เห็น คำแรกที่ผุดขึ้นในสมองย่อมเป็นคำว่า....

เทพ!

เซียงเซียงเคลื่อนตัดมิติพันลี้ในพริบตา หายตัวจากทิศตะวันออกมาปรากฎในทิศตะวันตก ทว่าคนผู้นี้กลับตามมาถึงนี่ในทันที.... มันสามารถใช้พลังมิติได้เช่นกัน!

เย่หวูเฉินสูดหายใจยาว เขาพลันสงบลงในเวลานี้ ไม่ว่าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด เขาไม่อาจสูญเสียความสงบได้

“เจ้าเป็นใคร?” เย่หวูเฉินค่อยๆเงยหน้าขึ้น หรี่ตาลงขณะถาม เขาเงยศีรษะเชื่องช้าอย่างมาก แต่ไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจ เนื่องจากถูกแรงกดดันหนักหน่วงทับศีรษะและร่างกายไว้ ทำให้ร่างกายรู้สึกหนักอึ้ง กระทั่งก้าวเท้ายังต้องใช้พลังมหาศาล นี่ไม่ใช่แรงโน้มถ่วงที่เกิดจากพลังธาตุปฐพี แต่เป็นแรงกดดันไร้ตัวตนอันใหญ่ยิ่ง อย่าว่าแต่หลบหนีหรือขัดขืนเลย กระทั่งขยับตัวยังแทบไม่อาจทำได้ ความแตกต่างของพลังช่างมากเกินไป

“เจ้าพาองค์หญิงเฮยเย่กับองค์หญิงไป่เย่หลบหนี ดูเหมือนเจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้ามาจากไหน.... แต่มนุษย์อย่างเจ้าไม่คู่ควรรู้ชื่อของข้า และเจ้าต้องตายในเวลานี้” เสียงของเย่หมิงแฝงความดูถูก สายตาจับจ้องที่แขนสองข้างของเย่หวูเฉิน ในนั้นมีหนิงเสวี่ยกับทงซิน ใบหน้าสมบูรณ์แบบแสดงความโกรธเคืองอย่างล้ำลึก “องค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ผู้ทรงเกียรติ แม้พวกท่านสูญเสียพลังและอายุภายใต้คำสาปแห่งมิติและเวลา แต่ไหนเลยร่างอันสูงส่งของพวกท่านจะถูกสัมผัสโดยมนุษย์ผู้ต่ำต้อย.... ปล่อยมันและกลับไปกับข้า องค์เทพจักรพรรดิย่อมมีหนทางฟื้นฟูสิ่งที่พวกท่านสูญเสีย....”

มีเพียงเย่หวูเฉินเท่านั้นที่เผชิญรับกับแรงกดดัน เพราะเย่หมิงเกรงว่าหนิงเสวี่ยและทงซินจะได้รับบาดเจ็บ สนามพลังที่เย่หมิงปลดปล่อยออกมาเว้นที่พวกนางไว้อย่างจงใจ เมื่อเย่หมิงปรากฎตัวขึ้นที่นี่ สนามแรงโน้มถ่วงได้หายไปอย่างประหลาด ราวกับว่ามันถูกสะกดข่มไว้โดยพลังของเย่หมิง

“ท่านพี่....” หนิงเสวี่ยสัมผัสได้ถึงร่างกายที่เย็นเยียบและแข็งทื่อของเย่หวูเฉิน นางพิงร่างอยู่ข้างเขา ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว.... นางไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะตาย จากถ้อยคำของเย่หวูเฉินตอนที่พาพวกนางไปซ่อน และคำพูดของเย่หมิงในตอนนี้ ทำให้นางเข้าใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะพรากนางไปจากเย่หวูเฉิน.... สำหรับนางแล้ว โลกนี้ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวยิ่งกว่าพรากจากเขา ต่อให้เย่หวูเฉินต้องลงสู่ขุมนรก และนางมีหนทางขึ้นสู่สวรรค์ นางก็ไม่ลังเลที่จะเลือกติดตามเขาไปตลอดกาล

เย่หวูเฉินกอดหนิงเสวี่ยไว้แน่น ปกป้องนางอยู่ในอ้อมกอด กล่าวปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “เสวี่ยเอ๋อร์ อย่ากลัวเลย.... เสวี่ยเอ๋อร์....”

เขาทำได้เพียงปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วเบา ต่อหน้าพลังปานนี้ เขาไม่เคยรู้สึกไร้พลังเท่ายามนี้มาก่อน อีกทั้งไม่เคยโหยหาพลังมากถึงเพียงนี้ พลังล่วงรู้ในจิตใจกระเพื่อม ทำให้เขาแตกตื่น....

วันนี้ เขาจะต้องสูญเสียหนิงเสวี่ย สูญเสียทงซิน....

แต่ว่า ตราบใดที่ยังมีแสงริบหรี่แห่งความหวัง ต่อให้ต้องต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด เขาจะไม่ยอมแพ้และไม่หยุดดิ้นรนจนถึงเฮือกสุดท้าย

“ทงซิน.... อย่าขยับ!” ขณะที่ทงซินตั้งท่าจะพุ่งออกไป เย่หวูเฉินส่งเสียงต่ำหยุดนางไว้ แขนสองข้างของทงซินชะงักทันที แววตาสองข้างสั่นไหว นางถอนสายตาอันเกลียดชังออกจากเย่หมิง เคลื่อนมามองเย่หวูเฉินอย่างนิ่งงัน พิงร่างกายซบเขาอย่างแผ่วเบา

นางรู้ดียิ่งกว่าหนิงเสวี่ยว่าคนผู้นี้น่ากลัวเพียงใด ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งเผชิญหน้ากับเจวี๋ยเทียน นางพุ่งออกไปโดยไม่ลังเล ไม่เคยมีศัตรูใดที่นางยอมแพ้.... นางพิงร่างอยู่ด้านขวาของเย่หวูเฉิน สูดหายใจเอากลิ่นเขาให้มากสุด เพราะนี่อาจเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่นางจะได้อยู่กับเขา....

“เจ้า.... ฝัน.... ไปเถอะ....” ถ้อยคำสงบราบเรียบนี้ คือคำตอบที่เขามอบให้กับเย่หมิง แทนหนิงเสวี่ยและทงซิน

“โอ้? เจ้ามนุษย์ต่ำต้อยไม่รู้ความ เจ้าโง่เง่าถึงขนาดคิดจะหยุดข้าไม่ให้พาองค์หญิงไป่เย่และองค์เฮยเย่กลับไปอย่างนั้นรึ?.... โฮ่”

มือซ้ายวาบแสงโลหิต มือขวาวาบแสงทองคำ คันศรบาปวิบัติปรากฎอยู่ในมือซ้าย กระบี่ตัดดาราปรากฎอยู่ในมือขวา สองศาตราต้องห้ามปรากฎขึ้นพร้อมกัน กลิ่นอายของเย่หมิงปั่นป่วนทันที สีหน้ายังเปลี่ยนไปไม่น้อย

“กระบี่หนานฮวง กับ คันศรเป่ยตี้!?” สองศาสตราที่ข่มขวัญทั่วหล้า ศาตราต้องห้ามซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าศาสตราเทพใดๆในทวีปเทวะ ยิ่งกว่านั้นยังปรากฎพร้อมกันในมือคนผู้เดียว ขนาดเย่หมิงยังต้องตกตะลึง สองศาสตราต้องห้ามปรากฎอยู่ในเพียงตำนานเท่านั้น เขาไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน ทว่าลักษณะและพลังที่แผ่ออกมาล้วนเหนือกว่าศาสตราใดๆที่เขาเคยเห็น ทันทีที่เห็นมัน เขาจึงเอ่ยชื่อออกมาทันที

แต่ความตะลึงนี้คงอยู่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น จากนั้น เย่หมิงกล่าวคำไม่สะทกสะท้านต่อ “ไม่แปลกใจที่พวกขยะลู่เทียนกับเจวี๋ยเทียนตกตายอยู่ที่นี่ ดูเหมือนเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา.... ก็ได้ เพื่อแสดงความเคารพต่อจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง.... เข้ามา โจมตีข้า.... ใช้กระบี่หนานฮวงหรือคันศรเป่ยตี้ก็ได้ จงใช้ออกมาไม่ว่าวิธีการใด โจมตีมาที่ข้า วางใจได้ข้าจะไม่ตอบโต้ แสดงออกมาให้ข้าเห็น ว่าสองศาสตราต้องห้ามที่มีเพียงมนุษย์อย่างเจ้าใช้ได้จะทรงพลังเพียงใด.... คู่ควรพอทำให้ข้าบาดเจ็บหรือไม่....”

เหยียดหยาม.... เหยียดหยามถึงขีดสุด จิตใต้สำนึกของเทพย่อมดูหมิ่นมนุษย์ บางครั้ง การเหยียดหยามโดยไร้พลังเพียงพออาจกลายเป็นเรื่องที่โง่เขลา ทว่าเผชิญหน้ากับมนุษย์แห่งทวีปเทียนเฉิน เย่หมิงคู่ควรอย่างยิ่งที่จะเหยียดหยาม

เย่หวูเฉินให้ทงซินและหนิงเสวี่ยหลบอยู่เบื้องหลัง ศรโลหิตควบกลั่นพาดสายบนคันศร เย่หวูเฉินถือกระบี่ตัดดาราในมือขวาพร้อมกับน้าวสายธนูช้าๆ แววตาสงบจดจ้อง ที่ปลายศรวาบแสงเรืองรอง

เผชิญหน้ากับเย่หมิง ต่อให้มีปัญญาเลิศล้ำเพียงใด เขาย่อมไม่อาจหนีพ้นหายนะครั้งนี้ เพราะนี่คือที่สุดของพลัง ไม่อาจมีสิ่งใดต้านทานได้ ทว่าเย่หมิงกลับมอบโอกาสให้ และมันได้กลายเป็นความหวังสูงสุดที่แทบไม่อาจหาได้อีก

พลังกำลังควบกลั่น อากาศโดยรอบพุ่งทะลักอย่างบ้าคลั่ง เย่หวูเฉินปิดตาลง ในใจปรากฎภาพของเย่หมิง

“โอ้? ศรตามจิตโลหิตดำ?....” เย่หมิงยิ้มอย่างสังเวท คันศรบาปวิบัติมีพลังโจมตีอันแกร่งกล้า ทว่าต้องใช้เวลารวบรวมพลังยาวนาน ช่วงเวลานี้เย่หมิงสามารถจู่โจมได้อย่างอิสระ ทว่าเขายังคงไร้การเคลื่อนไหว ปล่อยให้พลังล็อคตรึงที่ร่างกายตัวเอง มองศรโลหิตทรงพลังด้วยใบหน้าเรียบเฉย คันศรบาปวิบัติคือศาสตราระดับสูงสุด ทว่าการใช้ไม่ได้อาศัยเฉพาะพลังของศาสตราเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์ถึงพลังและจิตใจของผู้ที่ใช้งานด้วย หากยามนี้ผู้ที่ถือคันศรบาปวิบัติเป็นยอดฝีมือระดับเหนือเทพ เขาคงตื่นตระหนกและระวังตัว ไม่กล้าเผชิญหน้ารับมือโดยตรง ทว่าด้วยพลังของเย่หวูเฉิน คันศรบาปวิบัติถูกรีดพลังเพียงหนึ่งในพันเท่านั้น เผชิญหน้ากับพลังเล็กน้อยนี้ เย่หมิงยังต้องกลัวสิ่งใด

ซี่!!

สายธนูถูกปล่อยออก แสงโลหิตแล่นออกจากคันศรบาปวิบัติ ส่งพลังแหวกอากาศจนผู้คนต้องสั่นกลัว ทำลายมิติตลอดเส้นทางที่พุ่งเข้าใส่เย่หมิง

นี่เป็นครั้งที่สามที่เย่หวูเฉินยิงศรตามจิตโลหิตดำ ครั้งแรกเขายิงเจาะอกของเจวี๋ยเทียนจนทะลุ ครั้งที่สองยิงเพื่อหาจิตวิญญาณของมุกเรืองปฐพี และครั้งนี้....

พลังของศรตามจิตโลหิตดำ กระบวนท่าที่สองของคันศรบาปวิบัติ เทียบกับครั้งแรกที่ใช้สังหารเจวี๋ยเทียน มันทรงพลังยิ่งกว่าหลายเท่า ตลอดเส้นทางที่ศรโลหิตพุ่งผ่าน ห้วงมิติรอบๆถูกทำลาย ศรโลหิตนี้ ทรงพลังเพียงพอสังหารผู้ใดก็ตามในทวีปเทียนเฉิน....



<<<PREV    .    NEXT>>>