วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 466

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 466 ผ่านบททดสอบ

“บอกข้าที ข้าใช้เวลาไปนานแค่ไหน” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม เขาไม่อาจละเลยเรื่องเวลาได้.... เขาได้ขีดเส้นตายให้ตัวเองเป็นเวลาหนึ่งเดือน นี่คือระยะเวลาที่สามารถทำให้ผู้คนในอาณาจักรต้าฟงยอมรับได้ง่ายที่สุด ในขณะเดียวกัน หนึ่งเดือนหลังจากนั้นจะเป็นงานสมรสใหญ่ของเขา เขาต้องชดใช้เวลาสามปีที่หายไปกับฮั่วฉุ่ยโหรว เช่นเดียวกับหลงฮวงเอ๋อร์ด้วยงานแต่งที่สมบูรณ์แบบ

เขาตื่นขึ้นจากการไม่ได้สติ เขารู้สึกรางๆว่าตนเองหมดสติไปนานมาก....

“เจ้าใช้เวลาไปทั้งหมด 21 วัน.... เป็นเวลาที่หมดสติอยู่ 19 วัน!”

มุกเรืองปฐพีให้คำตอบอย่างแม่นยำ

19 วัน!? หัวใจของเย่หวูเฉินพลันคลายออก กลายเป็นว่าเขาสลบไปนานจริงๆ หากยังโชคดีที่ไม่ยังไม่เกินกำหนดเวลาเส้นตาย

“เจ้าสิ่งนี้คืออะไร? ทำไมท่านถึงให้ข้าไปนำมันกลับมา?” เย่หวูเฉินเอ่ยถาม ความรู้สึกที่ถูกพรากความทรงจำไปจากวิญญาณยังคงลอยละล่องอยู่ในใจ ความกลัวที่ไม่เคยประสบนี้ทำให้เขาไม่อาจลืมมันได้

“ข้าไม่รู้.... แต่เหตุเลวร้ายที่เจ้าประสบทำให้ข้ารู้ว่าสิ่งนี้สามารถพรากบางสิ่งออกไปจากจิตวิญญาณ.... ขณะที่เจ้าสัมผัสมัน จิตวิญญาณของเจ้าถูกดึงกระชากด้วยสิ่งนี้.... สมแล้วที่เป็นพืชที่จักรพรรดิเหนือหว่านไว้ ด้วยพลังของเจ้ายังถึงกับไม่อาจต่อต้าน.... หากไม่ใช่เพราะพลังประหลาดในชั่วขณะสุดท้ายปกป้องจิตวิญญาณและสติของเจ้าไว้ เวลานี้เจ้าคงเหลือแต่ร่างที่ไร้สติแล้ว”

พลังประหลาด....

หรือจะเป็นพลังของเซียงเซียง?

หรือว่า....

เย่หวูเฉินพลันเพ่งสมาธิมองดูซือเฉินในห้วงสติ ซือเฉินหลับตาทั้งสองข้างไว้เบาบาง หลับไหลไม่ไหวติง นิ่งงันอย่างมาก เงียบสงบราวกับไร้ตัวตนอยู่ในนั้น

“ซือเฉิน?”

“........”

“ซือเฉิน?”

“........”

เย่หวูเฉินเรียกอยู่หลายครั้งโดยไร้การตอบรับจากซือเฉิน ราวกับว่านางหลับลึกไม่อยากตื่น เย่หวูเฉินพลันเข้าใจทันทีว่าเป็นซือเฉินที่ช่วยเขาไว้อีกครั้ง ด้วยพลังนั้นที่สามารถทำลายคำสาปของคันศรบาปวิบัติและคืนกลับสายตาให้กับเขา.... เขาไม่เคยรู้ว่าพลังของซือเฉินคืออะไร รู้แต่เพียงการหลับไหลคือวิธีพักฟื้นพลังของนางให้กลับคืนมาช้าๆ เพื่อช่วยเขาอีกครั้งนางจึงต้องใช้พลังทั้งหมด ทำให้นางตกสู่ห้วงการหลับไหลอันยาวนาน

หากไม่ได้พลังของซือเฉินช่วยต่อต้านเอาไว้ เขาคงพ่ายแพ้ไปแล้ว

ซือเฉิน.... ในตัวของลูกสาวผู้ลึกลับคนนี้ แท้จริงมีความลับใดซ่อนเอาไว้....

“ทว่าด้วยเหตุนี้ พลังซึ่งช่วยเจ้าไว้จึงได้รับการยอมรับจากมัน มันได้ติดตามเจ้ามาด้วยตัวเอง.... สิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงคือจิ้งจอกมังกรกลับติดตามอยู่ข้างเจ้า.... แม้พลังของมันด้อยกว่าจิ้งจอกมังกรที่ข้าเคยรู้จักอยู่นับล้านเท่า ทว่ามันคือจิ้งจอกมังกรหนึ่งเดียวในโกลาหลนี้อย่างไร้ข้อสงสัย คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะยังมีชีวิตอยู่....”

เย่หวูเฉิน “.......”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องถามข้าเรื่องจิ้งจอกมังกร เพราะเจ้ารู้ในสิ่งที่ข้ารู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมัน หรือเรื่องกระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติ กระทั่งยังรู้มากเสียยิ่งกว่าข้า ไม่นึกเลยว่ามันจะยอมรับเจ้าเป็นนาย และเพื่อช่วยให้ร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้ากลับมาผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน มันจึงใช้เวลาสิบกว่าวันเติมพลังให้เจ้าอย่างต่อเนื่อง....”

เย่หวูเฉิน “.......”

เซียงเซียง.....

“บอกข้าที จักรพรรดิเหนือเป็นสตรีอย่างนั้นหรือ?” เย่หวูเฉินพลันเงยหน้าขึ้นฟ้าและเอ่ยถาม

“....นางคือสตรีจริงๆ ระหว่างจุดเริ่มต้นของโกลาหล ในแดนใต้เต็มไปด้วยพลังหยาง ในแดนเหนือเต็มไปด้วยพลังหยิน จักรพรรดิใต้ถือกำเนิดจากพลังหยาง ส่วนจักรพรรดิเหนือถือกำเนิดจากพลังหยิน ดังนั้นจักรพรรดิใต้จึงเกิดเป็นบุรุษ และจักรพรรดิเหนือจึงเกิดเป็นสตรี” มุกเรืองปฐพีกล่าวตอบ มันไม่ไต่ถามว่าเหตุใดจู่ๆเย่หวูเฉินถึงถามคำถามนี้ เหตุใดจึงคิดว่าจักรพรรดิเหนือเป็นสตรี 

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่ข้าต้องหาเป็นอย่างที่สองคือสิ่งใด?” เย่หวูเฉินผงกหัวและถามอย่างจริงจัง

“เอ๋? เจ้านาย ทำไมท่านถึงรู้ว่าจักรพรรดิเหนือเป็นสตรีล่ะ? ในความทรงจำของข้าไม่มีเรื่องพวกนี้อยู่เลย” มุกเรืองปฐพีไม่ได้ถามคำถามนี้ ดังนั้นหนานเอ๋อร์จึงถามแทนด้วยความสงสัย

“เดาเอา” เย่หวูเฉินตอบส่งๆ

“อู่ว....” คำตอบของเย่หวูเฉินเห็นได้ชัดว่าไม่อยากตอบ หนานเอ๋อร์ได้แต่พ่นเสียงขัดใจ จากนั้นเค้นสมองนึกย้อนไปในอดีต หากไม่อาจจดจำได้เลยว่าจักรพรรดิเหนือเป็นผู้หญิง

“ในเมื่อผลธุลีเทาที่จักรพรรดิเหนือทิ้งไว้ลูกนี้ยอมรับในตัวเจ้า จึงสมควรมีเพียงเจ้าที่สามารถปลดปล่อยพลังดุจเทพของมันได้ ดังนั้นเจ้าจงรับมันไป ส่วนสิ่งของอย่างที่สอง.... อาจจะตามหาได้ง่ายและยากในเวลาเดียวกัน เพราะมันคือสิ่งที่เจ้ากำลังตามหา.... นั่นก็คือ.... ตัวข้าเอง”

“ตัวท่าน?” เย่หวูเฉินประหลาดใจ

“ถูกต้อง.... แม้ข้าครองพลังอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่มีวันเคลื่อนร่างของตัวเองได้ กลิ่นอายของข้าได้ซึมซ่านในทะเลทรายไร้สิ้นสุดแห่งนี้ กระทั่งข้าเองก็ไม่อาจระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้ว่าข้าอยู่ตรงไหน.... หากเจ้าต้องการนำข้าออกไป จงค้นหาข้าในพื้นที่ทะเลทรายรัศมี 300 ลี้นี้”

มุกเรืองปฐพีไม่ได้คิดที่จะก่อปัญหาให้เย่หวูเฉิน แต่อย่างที่มันกล่าว มันคือส่วนหนึ่งของปฐพี และที่นี่ก็เต็มไปด้วยทรายแห่งปฐพีล้วนๆ กลิ่นอายของมันได้หลอมรวมเข้ากับดินแดนแห่งนี้มานับปีไม่ถ้วน ตอนที่เย่หวูเฉินเข้ามาถึงที่นี่ เขายังรู้สึกเช่นเดียวกันว่าดินแดนแห่งนี้ราวกับเป็นรากกำเนิดพลังปฐพีขนาดมหึมา

ค้นหามุกเล็กๆเม็ดหนึ่งในพื้นที่ทะเลทรายรัศมี 300 ลี้ นี่มันต่างอันใดกับการงมเข็มในกองฟาง?

อย่าว่าแต่วันเดียวเลย สิบวัน ร้อยวัน.... สิบปี หรือกระทั่งร้อยปียังแทบไม่อาจเป็นไปได้ ไม่เฉพาะแค่ความกว้างของมันเท่านั้น ระดับความลึกยังต้องน่ากลัวอย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้ว่ามุกเรืองปฐพีจะจมอยู่ที่ก้นลึกสุดอีกด้วย

หัวคิ้วของเย่หวูเฉินขมวดแน่น

“เฮอ เฮอ เฮอ เฮอ.... ข้าปรารถนาออกไปจากดินแดนแห่งนี้มานานแล้ว และข้าไม่ต้องการให้พลังของข้าสร้างหายนะต่อสิ่งมีชีวิตบนผืนทวีปแห่งนี้อีก ทว่าความจริงมักสวนทางกับความปรารถนา หากแม้ชะตาของข้าถูกลิขิตให้เปลี่ยนแปลงเพราะเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมหาข้าจนพบได้.... ไม่ว่าจะใช้เวลาหนึ่งปี , สิบปี....”

“ไม่จำเป็น” หัวคิ้วที่ขมวดชิดของเย่หวูเฉินไม่ทราบว่าคลายออกตั้งแต่ตอนไหน เขาเอ่ยคำแทรกมุกเรืองปฐพี และยิ้มบางอย่างเสียไม่ได้ “หนึ่งปีหรือสิบปีถือว่านานเกินไป.... ข้าไม่อาจรอนานขนาดนั้นได้ ที่ข้าต้องการคือค้นหาท่านในตอนนี้”

“โอ้? เช่นนั้นจงแสดงให้ข้าได้เห็นเป็นบุญตา”

เย่หวูเฉินทะยานร่างขึ้นเหนืออากาศกว่าร้อยเมตร ในสายตาเห็นเพียงแผ่นผืนสีเหลือง ไม่อาจมองเห็นขอบเขต ในมือของเขาวาบแสงสีแดง คันศรโลหิตปรากฎขึ้นในมือ เขาใช้มือซ้ายจับกระชับคันศร มือขวาน้าวสายธนูที่มองไม่เห็น ศรปราณโลหิตก่อร่างชี้ปลายเล็งลงไปที่เบื้องล่าง

“ในเมื่อท่านรู้ว่าในตัวข้ามีกระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติ เช่นนั้นท่านคงรู้ว่าคันศรบาปวิบัติมีกระบวนท่าเฉพาะตัวอย่างที่สองคือ ศรตามจิตโลหิตดำ!” เย่หวูเฉินหรี่ตาลง สายธนูถูกน้าวโก่งจนสุดคัน พลังมหาศาลในมือได้เปลี่ยนสีสันของสวรรค์และปฐพีอย่างรวดเร็ว

“ศรตามจิตโลหิตดำ.... เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”

“ศรตามจิตโลหิตดำ.... ในเมื่อท่านมีสติปัญญา นั่นย่อมหมายความว่าท่านมีจิตวิญญาณ ในโลกนี้ตราบใดที่จิตวิญญาณถูกล็อคตรึงด้วยศรตามจิตโลหิตดำ ท่านย่อมไม่มีวันหนีพ้น เพราะนี่คือพลังและกฎของคันศรบาปวิบัติ กฎข้อนี้.... ต่อให้ท่านเป็นมุกเรืองปฐพีก็ไม่มีทางหนีพ้น!”

“.......”

เย่หวูเฉินหลับตาลง ในห้วงลึกของสติกำลังระลึกถึงเสียงของมุกเรืองปฐพี

วิธีล็อคตรึงจิตวิญญาณนั้นง่ายอย่างมาก.... ภาพที่เห็นสามารถใช้เป็นเป้าหมาย กระทั่งเสียง กลิ่น และรสชาติล้วนเป็นเป้าหมายได้ทั้งหมด.... เวลานี้เย่หวูเฉิน หรือคันศรบาปวิบัติกำลังใช้เสียงของมุกเรืองปฐพีเป็นเป้าในการล็อคตรึงจิตวิญญาณมัน เนื่องจากมุกเรืองปฐพีได้แสดงออกมาเพียงเสียงเท่านั้น

พลังควบกลั่นอย่างบ้าคลั่ง ทะเลทรายที่อยู่ใต้ร่างร่วมร้อยเมตรซึ่งถูกแรงโน้มถ่วงกดทับไว้เริ่มถูกพัดปลิว มวลเมฆบนท้องฟ้าราวกับถูกเป่าออกไปด้วยกระแสลมแรงกล้า บ้างแตกกระจายออก บ้างปลิวออกห่างอย่างรวดเร็ว พลังงานแกร่งกล้าได้ผลักอากาศโดยรอบ รอบๆกายของเย่หวูเฉินในยามนี้คือสูญญากาศขนาดใหญ่

“ศร.... ตาม.... จิต.... โลหิต.... ดำ!!”

กัดฟันยืนหยัดต่อพลังมหาศาลที่ถูกสูบกลืน สายธนูถูกปล่อยจากมือของเย่หวูเฉินในที่สุด ศรโลหิตแหวกอากาศกรีดร้องพุ่งไปยังผืนโลก เย่หวูเฉินหอบหายใจและบินตามศรโลหิตไปด้วยความเร็วสูงสุด

นี่คือครั้งที่สองที่เขาใช้ ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ ครั้งแรกเขาได้ใช้ศรนี้เพื่อสังหารเจวี๋ยเทียน ครั้งนั้นได้รับผลสะท้อนของพลังทำให้สูญเสียการมองเห็น แต่ยามนี้เขามีพลังเพียงพอที่จะยิงศรนี้แล้ว และพลังของมันย่อมเพิ่มพูนขึ้นขอบเขตใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่กระนั้น ศรนี้ก็ยังต่างจากตอนที่ยิงใส่เจวี๋ยเทียน ตอนนั้นเขาใส่พลัง , ความหวัง และความเชื่อทั้งหมดลงไป ‘ศรตามจิตโลหิตดำ’ ที่ยิงออกไปในยามนี้ถูกลดทอนพลังและความเร็วให้เหลือน้อยที่สุด ทว่ามันยังคงเร็วรุดจนแทบหายไปจากสายตาของเย่หวูเฉินในเวลาเพียงไม่ถึงสองวินาที

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... ศรตามจิตโลหิตดำ สมแล้วที่เป็นศรตามจิตโลหิตดำ! ข้ารู้สึกได้เลยว่ากำลังถูกดวงตาอันน่ากลัวจับจ้องอยู่ ดวงตาคู่นี้ เห็นได้เลยว่าไม่ว่าข้าจะซ่อนตัวอยู่แห่งไหน ก็ย่อมไม่มีวันหลีกเลี่ยงไปจากมันได้....”

สิ้นเสียงของมุกเรืองปฐพี ในเส้นสายตาของเย่หวูเฉินก็พลันมองเห็นกลุ่มทรายมหึมาพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้านับร้อยเมตร จากนั้นมีคลื่นเสียงกระแทกตามมา เย่หวูเฉินไร้ความลังเล พุ่งไปยังที่แห่งนั้นด้วยความเร็วสูงสุด

“เซียงเซียง!”

เย่หวูเฉินตะโกนคำเบาบาง เซียงเซียงปรากฎตัวขึ้นบนไหล่ จากนั้นแผ่แสงขาวเข้าครอบคลุม เย่หวูเฉินพลันโผล่ขึ้นที่กลุ่มทรายมหึมา สายตากวาดมองอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตรึงไว้ที่ตำแหน่งหนึ่งในอากาศ

ในอากาศตรงนั้น มุกเม็ดหนึ่งแผ่แสงรัศมีเด่นสะดุดตา มันกำลังลอยถึงจุดสูงสุดของมัน หลังจากชะงักอยู่กลางอากาศชั่วสั้นๆ มันก็เริ่มร่วงตกลงมา

เย่หวูเฉินบินขึ้นไปทันที คว้ามุกเม็ดนั้นไว้ในมือ มันมีขนาดพอๆกับมุกจิตวารี แผ่รัศมีสีน้ำตาลอันเป็นพลังของปฐพี เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บททดสอบที่สองนี้ ข้าผ่านแล้ว”

มุกเรืองปฐพี.... สร้างผืนทะเลทรายนับร้อยๆลี้ ต้นเหตุของพายุทรายที่ปกคลุมพื้นที่หนึ่งในสี่ของทวีปเทียนเฉิน ยิ่งกว่านั้น นี่ยังเกิดจากเพียงพลังที่รั่วไหลออกมา พลังที่แท้จริงของมันย่อมยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ทว่ามุกปานนี้ เย่หวูเฉินกลับไม่รู้สึกถึงความแตกต่างใดๆเมื่อถืออยู่ในมือ เพียงเพราะว่าเขาคือเย่หวูเฉิน หากเป็นคนอื่นย่อมถูกแรงโน้มถ่วงบีบอัดร่างจนแหลก แดนอิทธิพลห่างไกลจากมุกเรืองปฐพีคือพายุทราย แดนอิทธิพลอันใกล้คือแรงโน้มถ่วง G อันน่ากลัว



<<<PREV    .    NEXT>>>