วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 480

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 480 ความสงบครั้งสุดท้าย (1)

“ไม่ถูก! ไม่ใช่แบบนี้.... มาๆ ดูข้าเขียนนะ.... ต้องแบบนี้ถึงจะถูก....” หนิงเสวี่ยจ่อปลายปากกาอยู่บนกระดาษ เขียนตัวอักษรอย่างกระตือรือร้น ทงซินหยิบปากกาขึ้นมาบ้าง มองหนิงเสวี่ยเขียนตัวอักษรอย่างตั้งใจ บนเสื้อผ้าของพวกนางมีน้ำหมึกเลอะอยู่

“อื้ม! เอาละ นี่คือคำว่า ‘เหยา’ คือชื่อตัวสุดท้ายของพี่สาว” หนิงเสวี่ยวางปากกาของตัวเองลง พลางกล่าวอย่างตื่นเต้น นางเขียนได้ดีไร้ที่ติ ลายเส้นเช่นนี้ ทำให้ผู้คนยากจะเชื่อว่านี่เป็นลายมือของเด็กหญิงอายุสิบขวบ

ส่วนทงซิน....

ทงซินกระพริบตาปริบมองที่คำว่า ‘เหยา’ จับจ้องอยู่เป็นเวลานาน ฉับพลันนั้น นางรู้สึกว่าตาลาย ปากกาถือค้างไว้เป็นเวลานานโดยไม่ได้จรดลง สำหรับนางแล้ว การเขียนอักษรยากกว่าการฆ่าคนนับร้อยเท่า

“อืม.... ก็ได้ งั้นพวกเรามาเรียนคิดเลขกันดีกว่า” นางใช้เวลาสามวันสอนทงซินเขียนตัวอักษรห้าตัว ทว่าผ่านไปเพียงวันเดียวทงซินลืมคำที่นางสอนไว้ทั้งหมด ดังนั้นในวันที่สี่ หนิงเสวี่ยจึงยอมแพ้ นางเปิดตำราที่เย่หวูเฉินเขียนไว้ให้ พลิกหน้ากระดาษเปิดไปจนถึง.... หน้าที่ห้า

ในเวลาหนึ่งปี ทงซินเรียนได้เพียงสี่หน้าแรกเท่านั้น

“โอ้.... พี่ทงซินฟังนะ ข้อนี้พวกเราเพิ่งทำมาเมื่อวาน ข้าคำนวณได้แทบทันทีเลย.... มีหินใหญ่อยู่ก้อนหนึ่ง ถูกตัดออกเป็นสามก้อน จากนั้นถูกตัดออกก้อนละสามอีกครั้ง สุดท้ายจะได้หินก้อนเล็กๆทั้งหมดกี่ก้อน?"

ทงซิน “! @#¥%......”

“ข้อนี้เพิ่งทำมาเมื่อวาน เมื่อวานนี้พี่ทงซินก็ตอบได้.... วันนี้ก็ต้องตอบได้แน่” หนิงเสวี่ยยิ้มให้กำลังใจ

ทงซินยื่นนิ้วงามดุจหยกออกมาสามนิ้ว ผิวของนางขาวมาก ทว่าเป็นความขาวที่ต่างจากหนิงเสวี่ย เป็นบางอย่างที่ราวกับน้ำแข็ง เปล่งประกายและกระจ่างใส ส่วนหนิงเสวี่ยขาวดุจหิมะ.... เหมือนกับเสวี่ยเฟยเยี่ยน ที่ขาวเป็นมันดุจน้ำนม ทงซินยื่นนิ้วมือซ้ายออกมาอีกสามนิ้ว จากนั้น....นางพลันโง่งม แววตาดูสับสน ในที่สุดก็มองไปที่หนิงเสวี่ยอย่างน่าสงสาร ส่งสายตาขอความเมตตา

“อือ.... คงไปเล่นที่พี่สาวไม่ได้แล้ว ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืด เดี๋ยวท่านพี่ก็คงกลับมาแล้ว” หนิงเสวี่ยหมดความอดทนในที่สุด นางกล่าวอย่างสลดใจ โชคดียังดีบ้างที่นางเริ่มชินแล้ว หัวใจของทงซินยังบีบรัดด้วยอีกคน ในตอนนั้น เพื่อปกป้องเย่หวูเฉินจากเจวี๋ยเทียน นางได้ใช้พลังในร่างจนเหือดแห้ง พลังของนางไม่มีทางฟื้นฟูได้อีก ทว่าเกิดเรื่องแปลกอย่างมากก็คือ หลังจากที่นางตื่นขึ้น พลังของนางเริ่มฟื้นฟูเองช้าๆ และยิ่งมายิ่งเร็วขึ้น หนึ่งเดือนก่อน นางฟื้นฟูพลังในอดีตกลับคืนมาได้ทั้งหมด มีพลังเทียบเท่ากับตอนที่เรียกว่า ‘สตรีเทพพิโรธ’ เรื่องนี้มักทำให้เย่หวูเฉินประหลาดใจอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีใครสามารถทำอันตรายเย่หวูเฉินได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องจากนางอีก นางอยู่ด้วยกันกับหนิงเสวี่ย หนิงเสวี่ยสอนนางให้เขียนตัวอักษรทุกวัน วันละหลายๆครั้ง ทงซินตั้งใจเรียนมาก ทว่าราวกับนางเกิดมาหัวทึบ นางต้องใช้ความพยายามมากกว่าหนิงเสวี่ยถึงสามเท่าเพื่อเรียนเรื่องเดียวกัน อีกทั้งนางยังลืมง่ายมาก คำที่นางอ่านออกเขียนได้มีอยู่ไม่ถึง 200 คำ ขณะที่หนิงเสวี่ยตอนนี้เริ่มเขียนกลอนและวาดรูปให้พี่ชายนางได้แล้ว

เมื่อใดก็ตามที่ถึงช่วงเวลานี้ เสี่ยวโม่จะเดินออกไปห่างๆ แม้ว่าหัวใจของนางยังคงเป็นเด็กหญิง แต่ความทรงจำและความรู้ไม่ได้สูญเสีย พอเห็นหนิงเสวี่ยกับทงซินหัดเขียนถ้อยคำจึงรู้สึกเบื่อหน่าย อีกทั้งนางยังไม่สนใจเป็นอาจารย์สอนพวกนาง เทียบกับหนิงเสวี่ยและทงซินที่ไร้ความกังวลแล้ว นางมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดและกังวลอีกมาก สิ่งที่เย่หวูเฉินกังวลอยู่ นางล้วนรู้อย่างชัดเจน

ยิ่งกว่านั้น นางยังพบว่าระยะหลังๆ สภาพจิตใจของเย่หวูเฉินเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด สมควรเป็นเพราะว่าเขาสัมผัสถึงบางสิ่ง

และสิ่งที่ทำให้เขามีอาการเช่นนี้ได้ ย่อมไม่ใช่คนของผืนทวีปนี้ หากแต่เป็น....

“ใครก็อย่าหวังทำร้ายเขา” นางพิงอยู่ที่ขอบหน้าต่าง มองไปที่ท้องฟ้าข้างนอก เสี่ยวโม่กำหมัดแน่นพูดกับตัวเองแผ่วเบา แววตาม่านน้ำสาดประกายทะมึนวาบในฉับพลัน

เย่หวูเฉินเข้าไปในห้องของฮั่วฉุ่ยโหรว นางเงยที่กำลังปักผ้าเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสุข นางคุ้นเคยกับการปรากฎตัวกะทันหันของเย่หวูเฉินแล้ว นางไม่ไต่ถามว่าทำไม ไม่ถามว่าเขาไปไหน ไม่ถามว่าไปทำอะไร เมื่อเขากลับมานางมีเพียงความสุขใจเท่านั้น เป็นภรรยาให้เขาได้คลายใจ ตลอดหกเดือนที่แต่งงานกับเย่หวูเฉิน นางยังคงเป็นหญิงสาวที่เอียงอาย แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปมากคือเสน่ห์ของนาง หลังจากผ่านพายุฝนอันเปียกปอนคืนแล้วคืนเล่า แววตาของนางยิ่งน่าลุ่มหลง ทรวงอกยังเริ่มตระหง่านขึ้น

“สามี อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว นี่คือชุดใหม่ที่ข้าปักเย็บเสร็จพอดี ท่านลองสวมดูว่าพอดีมั้ย” ฮั่วฉุ่ยโหรวถอดชุดนอกของเขาออก จากนั้นวางชุดที่เพิ่งตัดเย็บเสร็จทับลงไป ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูที่เย่หวูเฉินตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลนับทศวรรษ

“ชุดที่เสี่ยวโหรวโหรวตัดให้ ไม่เคยไม่พอดีตัว” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาปล่อยให้นางสวมชุดใหม่ให้ ในโลกนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าเขาชอบหรือไม่ชอบสีอะไร และชุดที่นางตัดให้จะพอดีตัวอยู่เสมอ ทุกครั้งที่สวมใส่เขาจะรู้สึกอบอุ่นใจ

ฮั่วฉุ่ยโหรวช่วยเขาสวมชุด จัดแจงเสื้อผ้าให้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ส่วนบนจนถึงส่วนล่าง จากนั้นถอยออกมาหนึ่งก้าว และเผยรอยยิ้มอันงดงาม “อื้ม ดูเหมาะมาก ไม่ว่าสามีใส่ชุดใดย่อมดูดีอยู่เสมอ.... ชุดพวกนี้เปื้อนแล้ว ข้าจะเอาไปซักให้ สามีเปลี่ยนเป็นชุดนี้ก่อนดีไหม?”

“ตกลง” เย่หวูเฉินก้าวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของนาง

ฮั่วฉุ่ยโหรวก้มศีรษะเล็กๆลง ใบหน้าอ่อนละมุนเรื่อสีแดงอ่อนๆ นางกล่าวเสียงแผ่วเบา “สามี วันนี้ข้าค่อนข้างไม่สะดวก คืนนี้คงไม่อาจ.... ปรนนิบัติท่านได้.... คืนนี้ท่านไปหาน้องหญิงฮวงเอ๋อร์เป็นอย่างไร?”

เย่หวูเฉินไม่รับคำหรือปฏิเสธ ความเอียงอายของนางทำให้เขาใจอ่อนลงอย่างมาก เขาก้มลงจูบนางอย่างดูดดื่ม จากนั้นออกจากห้องไป

เมื่อเปิดประตูออกมา สายลมเย็นได้แผ่วพัดใบหน้า เย่หวูเฉินสูดหายใจยาว จากนั้นกล่าวอย่างเงียบงัน “14 ปี”

จนถึงตอนนี้ เขามายังทวีปเทียนเฉินได้ครบ 14 ปีแล้ว

แต่ทว่า เขาหลับไหลอยู่สิบปี หมดสติอยู่อีกสองปี ความทรงจำที่เขามีในที่แห่งนี้ มีอยู่สองปีเท่านั้น

ในช่วงเวลา 14 ปี ชีวิตสามารถเปลี่ยนแปลงได้มาก ‘บ้าน’ ในความทรงจำของเขาสมควรเปลี่ยนไปมากแล้ว ทั้งผู้คนและสิ่งต่างๆ หากเขาค้นพบอดีตของตนเอง เขาจะกลับไปและเผชิญหน้ากับมันอย่างไร

หลังจากพายุทรายคลั่งในอาณาจักรต้าฟงสงบลง อาณาจักรเทียนหลงได้เข้ายึดครองเมืองต่างๆของต้าฟง ในครึ่งปีที่ผ่านมา ดินแดนผืนใหญ่ของอาณาจักรต้าคงค่อยๆรวมอยู่ใต้อาณาจักรเทียนหลง ผู้คนที่แต่เดิมยืนยันขัดขืนไม่ยอมแพ้ เมื่อได้รับเมตตาของจักรพรรดิมารหยุดยั้งหายนะพายุทรายให้ แทบทุกคนจึงยอมศิโรราบ กระทั่งเมื่อผู้นำเมืองใดคิดขัดขืน เขาย่อมถูกผู้คนในเมืองต่อต้าน ดังนั้น การยึดกุมเมืองต่างๆของต้าฟงจึงสะดวกสบายอย่างมาก จนถึงวันนี้ ทุกเมืองของต้าฟงได้ตกอยู่ใต้อาณาจักรเทียนหลงทั้งหมด อาณาจักรเทียนหลงจึงมีพื้นที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าในทันที อาณาจักรคุยชุยและอาณาจักรชางหลานยังกลายเป็นอาณาจักรเล็ก

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้กังวลว่าจะเป็นเป้าหมายต่อไปของอาณาจักรเทียนหลง ตรงกันข้าม พวกเขาสบายใจกว่าครั้งอดีตอย่างมาก

หลังจากเกิดเรื่องไม่คาดฝันเมื่อหกเดือนก่อน เล่งหยาราวกับหายตัวไป ไร้ร่องรอยใดๆ เครือข่ายทั่วโลกของเขาทั้งสำนักมาร สำนักจักรพรรดิเหนือ และสำนักจักรพรรดิใต้ยังไม่อาจค้นพบเบาะแสใดๆ ราวกับว่าเขาหายสาบสูญไปจากโลกนี้ ข่าวของฉู่จิงเทียนถูกส่งรายงานมาเรื่อยๆ เขาไม่ได้กลับไปตอนเหนือเพื่อพบกับฉู่ชางหมิง บางทีอาจเป็นเพราะกระบี่ชางหมิงถูกทำลาย ทำให้เขาไม่มีหน้ากลับไปพบกับปู่ของตนเอง ทว่าระหว่างที่ตามหาเล่งหยา เขามักพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา.... สะพายไว้เบื้องหลังแม้มันจะขาดครึ่ง และเขาไม่เคยใช้กระบี่อีกเลย ยามสู้กับคนหรือสัตว์อสูร เขาจะหยิบสิ่งของที่อยู่ใกล้ๆกาย บางครั้งเป็นกิ่งไม้แห้ง บางครั้งเป็นพู่กัน บางครั้งเป็นม้วนกระดาษ บางครั้งกระทั่งเป็นก้อนกรวด.... หากไม่มีสิ่งใดให้หยิบยืม เขาจะใช้มือและแขนต่างกระบี่เท่านั้น

จากนั้น ค่อยๆไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่อาจใช้เป็นกระบี่

เขาท่องไปในโลกหล้าเป็นเวลาหกเดือน ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใด และเขาไม่เคยร่วมทางกับใคร บางทีเขาอาจชอบความรู้สึกที่ได้อยู่ตามลำพังในโลกแล้ว

ทว่าในครึ่งปีมานี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือเสี่ยวซื่อ เย่หวูเฉินได้แต่มองมันเติบโตจากอสูรระดับห้าไปเป็นอสูรเทวะ.... ระดับห้าพุ่งทะยานสู่ขอบเขตเทวะในเวลาหกเดือน พลังที่เติบโตเร็วรุดนี้ เกรงว่าคงไม่อาจพบเจอได้อีกเป็นครั้งที่สอง สมควรแล้วที่ผลึกมังกรเป็นสมบัติล้ำค่าแม้กระทั่งในทวีปเทวะ พลังของเสี่ยวซื่อแม้จะพุ่งทะยานถึงปานนี้ในเวลาเพียงครึ่งปี ทว่าร่างกายของมันกลับโตขึ้นเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกต ถึงตอนนี้มันยังไม่เคยใช้พลัง ทุกวันมันจะอยู่เป็นเพื่อนกับหนิงเสวี่ยและทงซิน และยังเป็น....ของเล่น อย่างไรก็ตาม อสูรมังกรม่วงตัวน้อยนี้ไม่ได้นับถือตัวเองเลย ทุกวันสุขสำราญสบายใจ ไม่ขัดเคืองใดๆ ยามเห็นผู้คนเข้าใกล้ไม่ว่าจะแปลกหน้า มันไม่เคยแสดงความเป็นศัตรูใดๆแม้แต่น้อย

เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเองทันที แต่หันร่างและกระโดดขึ้นฟ้า ข้ามกำแพงไปยังอีกสวนหนึ่งโดยไร้สุ้มเสียงใดๆ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

จิตสัมผัสแผ่ตรวจสอบทั้งสี่ทิศ จากนั้นมองตรงไปเบื้องหน้า ก้าวตรงไปและเปิดประตูที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่เปิดได้



<<<PREV    .    NEXT>>>