วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 453

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 453 คืบคลานในความมืด

เย่หวูเฉินนั่งซึมอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน ฉับพลันก็ผุดลุกขึ้น แววตาสับสนกลายเป็นเยือกเย็นและแจ่มชัด เขาเปิดหน้าต่าง มองไปทางทิศตะวันตก กระซิบพึมพำในปาก “ก่อนถึงงานแต่งงาน ทุกอย่างจะต้องจบลง”

วันแต่งงานที่หวังเวิ่นชูกำหนดไว้เหลืออีกไม่ถึงหนึ่งเดือน สิ่งที่เขาต้องทำคือทำให้อาณาจักรต้าฟงล่มสลาย....ถูกต้อง ไม่ใช่แค่สู้กลับ แต่ต้องทำให้ล่มสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดินแดนของต้าฟงจะต้องตกอยู่ใต้อาณัติอาณาจักรเทียนหลง.... นี่นับว่าบ้าคลั่ง เวลา 20 กว่าวันหากบอกผู้ใดย่อมไม่มีใครเชื่อ ในขณะเดียวกัน เขาจะไม่ใช้กำลังของสำนักมาร หรือสำนักจักรพรรดิใต้ หรือสำนักจักรพรรดิเหนือเข้าบีบบังคับ แต่จะให้กองทัพแห่งเทียนหลงเป็นผู้ยัดเยียดความปราชัยด้วยตัวเอง

อันที่จริงทุกอย่างเรียบง่ายอย่างมาก

ประตูถูกเปิดออก เสี่ยวโม่กัดชิ้นเค้กหิมะคำหนึ่ง ในมือถือถาด บนนั้นเต็มไปด้วยอาหารหลายชนิด เมื่อเห็นเย่หวูเฉิน นางก็ส่งเสียงร่าเริง “ท่านพ่อ ทานอาหารเช้ากัน”

มุมปากนางมีเศษขนมเค้กติดอยู่ มันตกลงมาดัง ‘แปะ’ บนถาดต่อหน้าเขา เสี่ยวโม่ยิ้มอย่างอับอาย เดินตรงมาที่เย่หวูเฉิน หยิบขนมอบที่นางกัดไปแล้วครึ่งอันยื่นไปที่ปากของเย่หวูเฉิน “ท่านพ่อ กินนี่สิ”

ขนมอบรูปวงกลมแหว่งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวจากรอยเขี้ยวของเสี่ยวโม่ รอยฟันยังคงชัดเจน เย่หวูเฉินยิ้มและกัดขนมที่เสี่ยวโม่ยื่นให้ ค่อยๆเคี้ยวและกลืนอย่างนุ่มนวล เสี่ยวโม่มองดูด้วยสายตาที่เริ่มพร่ามัว นางรู้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านางไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีเขา กระทั่งวันเดียวยังไม่อาจทานทน เพราะในโลกเขาเท่านั้นที่รู้จักนาง เข้าใจนาง ดุว่านาง มอบความรักให้นาง.... ทั้งยังปรารถนาปกป้องนางด้วยชีวิต

เย่หวูเฉินบีบจมูกหนิงเสวี่ยและทงซินเบาๆ ปลุกทั้งสองอย่างอ่อนโยน “เสวี่ยเอ๋อร์ ทงซิน ถึงเวลาตื่นแล้ว ถ้าไม่ลุกขึ้นมาเดี๋ยวอดกินนะ”

ขยับกายเล็กน้อย ทงซินตื่นขึ้นก่อน กระพริบดวงตาดำขลับ หนิงเสวี่ยคราง “อือ” เบาๆ แล้วลุกขึ้นอย่างแมวขี้เซา

“ท่านพี่ สายแล้วเหรอ?” หนิงเสวี่ยขยี้ตา ถามด้วยความงัวเงีย

“อืม ยังไม่สายหรอก มาเถอะ แต่งตัวกันก่อน” เย่หวูเฉินยกร่างของหนิงเสวี่ยขึ้น วางลงบนตัก จัดแจงแต่งกายให้นางอย่างนุ่มนวล หนิงเสวี่ยยังคงไม่ตื่นเต็มที่ ดวงตางัวเงีย ปล่อยให้พี่ชายแต่งตัวให้อย่างเกียจคร้าน

สายตาของทงซินตกอยู่บนถาดอาหารที่อยู่ถัดจากเสี่ยวโม่ นางกลืนน้ำลายเล็กน้อย เย่หวูเฉินพอเห็นก็หัวเราะ “หิวเหรอ.... มาสิ ดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยกิน”

บางทีอาจเป็นเพราะร่างกายของทงซินสูญเสียพลัง ทำให้นางที่แต่เดิมสามารถไม่ดื่มกินกลายเป็นหิวได้ง่าย ทุกวันเหมือนคนธรรมดา กินอาหารสามมื้อต่อวัน หากอดอาหารจะวิงเวียนเพราะความหิว ถ้าไม่นับเรื่องที่นางพูดไม่ได้ ตอนนี้นางเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา สัญชาตญาณกระหายเลือดถูกซ่อนไว้ภายใต้การอบรมของเย่หวูเฉินและวันเวลาที่ผ่านไป

เย่หวูเฉินวางแก้วน้ำลงในมือของทงซิน เพียงเคลื่อนมือออกได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงแตก ‘เพล้ง’ แก้วน้ำแตกเป็นเศษในมือของทงซิน และร่วงกระจายลงบนพื้น

ทงซินอ้าปากเล็กน้อย ใบหน้าตื่นตระหนก เย่หวูเฉินรีบเข้ามาหาทงซินและกุมมือเล็กๆไว้ “เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บมั้ย?”

ทันใดนั้น เย่หวูเฉินต้องสะดุ้งแปลกใจ เพราะฝ่ามือของทงซินยังคงเรียบละมุนเหมือนเช่นเคย ไร้ร่องรอยถูกบาดแม้แต่น้อย

ทงซินส่ายศีรษะ ชูฝ่ามือให้ดู เย่หวูเฉินใช้พลังวายุรวมเศษแก้วขึ้นมาในมือแล้วขว้างออกไปไกล จากนั้นใช้พลังวารีกำจัดน้ำที่หกเลอะเทอะ เขามองทงซินด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความยินดี.... ทำแก้วน้ำแตกโดยไม่เจตนา ทั้งยังไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย.... เห็นได้ชัดว่าพลังของทงซินกำลังฟื้นฟูกลับมาโดยที่นางไม่รู้ตัว

.....................

.....................

อุโมงค์มักถูกใช้ในสงครามเพื่อลอบโจมตี แม้ว่าการใช้นั้นยากยิ่ง แต่หากทำสำเร็จ มันจะเป็นการบุกดุจส่งทหารจากฟ้าสังหารศัตรูผู้ไม่ทันตั้งตัว อุโมงค์ยาวหลายลี้นับเป็นเรื่องปกติ เพราะกระทั่งอุโมงค์ยาวหลายสิบลี้ยังเคยมี แล้วอุโมงค์ยาวร้อยลี้ล่ะ?

เกรงว่าคนธรรมดาคงไม่มีใครนึกถึง และย่อมไม่มีใครเชื่อลง

ที่นี่คือทิศตะวันตกของอาณาจักรเทียนหลง ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเทียนฟงไม่ถึงพันลี้ มีระยะแค่ร้อยลี้เท่านั้น ตอนนี้มีอุโมงค์ปรากฎอยู่ต่อหน้ากองทัพอาณาจักรเทียนหลง มีคนกล่าวว่าอุโมงค์นี้ทอดยาวไปถึงเมืองเทียนฟง.... ผู้คนตกตะลึงเพียงใดย่อมจินตนาการได้

ยังคงมีจดหมายลึกลับส่งให้เย่หนู่ ตราประทับบนจดหมายยังคงเป็นคำว่ามาร ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ข้อความที่สำนักมารส่งให้ไม่เคยผิดพลาด เป็นเหตุผลข้อใหญ่ที่ทำให้พวกเขารบชนะอย่างราบรื่น จากตำแหน่งที่ระบุบนจดหมาย เย่หนู่และเย่เว่ยพบว่ามีปากทางเข้าอุโมงค์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่นี่ ในขณะเดียวกัน ไม่เพียงพวกเขาต้องตะลึงเมื่อพบว่าอุโมงค์นี้ยาวสุดมองไม่เห็นจุดปลาย แต่รอยขุดยังราบเรียบอย่างน่าตกใจ.... มันไม่ใช่รอยขุดจากฝีมือมนุษย์ และสิ่งที่ทำให้พวกเขายากที่จะยอมรับก็คือ อุโมงค์นี้อยู่ไม่ไกลจากค่ายทัพของพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวเลยว่ามีการขุดอุโมงค์ขนาดใหญ่เช่นนี้อยู่ใกล้ๆ

หากนี่เป็นอุโมงค์ที่ตรงสู่เมืองหลวงของต้าฟงจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถกลายเป็นดุจภูติผี ผุดขึ้นยึดเมืองเทียนฟงได้ในทันที แต่หากว่าเป็นกับดัก.... เมื่อกองทัพของพวกตนเหยียบเท้าเข้าไป นี่ย่อมอันตรายอย่างยิ่งที่จะถูกฝัง

จะเชื่อดีหรือไม่?

ด้านหนึ่งพวกเขาอยากลงไปจนแทบไม่อาจอดทน อีกด้านหนึ่งก็กังวลในความเสี่ยงอย่างมาก ในขณะเดียวกัน ต่อให้สำนักมารทรงพลังอย่างมาก พวกเขาจะสามารถขุดอุโมงค์ลึกตะลึงโลกเช่นนี้ได้จริงๆหรือ?

ขณะที่เย่หนู่กับคนอื่นๆกำลังลังเล และส่งคนเข้าไปเพื่อตรวจสอบ ทันใดนั้นก็มีข้อความด่วนมาจากพันลี้

“ขุนพลชราเย่ จักรพรรดินีมีราชโองการ ขุนพลชราเย่โปรดอ่านราชสาส์นนี้ก่อน”

ราชสาส์นถูกส่งให้กับเย่หนู่ เย่หนู่รับมาและเปิดอ่าน หลังจากอ่านข้อความอย่างระวังแววตาก็กระเพื่อม เขากระซิบ “จักรพรรดินีมีราชโองการ ให้โจมตีเมืองเทียนฟงทันที โดยใช้อุโมงค์ที่สำนักมารบอกให้นี้ ก่อนพ้นราตรีต้องยึดเมืองเทียนฟงไว้ให้ได้ พร้อมกับจับตัวจักรพรรดิต้าฟง”

เย่เว่ยได้ยินคำก็รีบกล่าว “ท่านพ่อ จากเมืองเทียนหลงมาจนถึงที่นี่ต้องใช้เวลาหลายวันหลายคืน พวกเราเพิ่งได้รับจดหมายจากสำนักมาร เหตุใดราชโองการของจักรพรรดินีจึงมาถึงอย่างประหลาดเช่นนี้?”

“ข้อความที่เขียนในนี้เป็นลายพระหัตถ์ของจักรพรรดินี ตราประทับก็เป็นของอาณาจักรเทียนหลง สิ่งที่ข้าจะพูดก็คือ....” เย่หนู่ลดเสียงลง “ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดจู่ๆจักรพรรดินีเฟยฮวงถึงขึ้นครองอำนาจได้ และเหตุใดเวลานั้นจักรพรรดินีถึงกล้ากล่าวคำสาบานถึงปานนั้น....”

เย่เว่ยกระซิบ “ท่านพ่อหมายถึง....”

แน่นอนว่า หากสำนักมารเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริงๆ เช่นนั้นก็สามารถอธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ย่อมเป็นเรื่องดีหากได้ผู้สนับสนุนทรงพลังแกร่งกล้ายิ่งกว่าสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใด สำนักมารจึงได้ลอบช่วยเหลือพวกเขา ทว่าเป้าหมายแท้จริงของสำนักมารนั้นคืออะไร?

จะเป็นการเดินเข้าปากเสือหรือไม่ พวกเขาไม่รู้

เย่หนู่ยกมือขึ้นขัด “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพูดถึง จำไว้เพียงว่าพวกเรามีหน้าที่ต้องทำสิ่งใด ทิ้งม้าไว้และส่งทหารทั้งหมดเข้าไปในยามบ่าย ถึงแม้จะน่าอัศจรรย์ แต่นี่ย่อมเป็นอุโมงค์นำไปสู่เมืองเทียนฟงอย่างไม่มีสงสัย เป็นโอกาสทองของอาณาจักรเทียนหลง.... ที่พันปีจะมีสักครั้ง!”

เย่เว่ยพยักหน้าและรีบออกไป ยามเผชิญหน้ากับอาณาจักรต้าฟง อาณาจักรเทียนหลงมักเป็นฝ่ายตั้งรับป้องกันอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากบุกตอบโต้ แต่พลังของกองทัพไม่เพียงพอ หากอุโมงค์นี้เป็นความจริง เช่นนั้นวันที่พวกเขาไม่เคยกล้าฝันถึงก็กำลังใกล้เข้ามา และประวัติศาสตร์เทียนหลงกำลังจะถูกจารึกไว้

เวลานี้ ไม่มีวิธีใดน่าอัศจรรย์เท่ากับวิธีที่สำนักมารหยิบยื่นให้อีกแล้ว

ในยามบ่าย เย่หนู่ทิ้งม้าศึกที่เหลือกว่าครึ่งไว้เบื้องหลัง ตัวเขาพร้อมเย่เว่ย ชูเกอหวูอี้ และชูเกอเสี่ยวหยูนำทหาร 300,000 นาย เดินเท้าถือคบเพลิงนับไม่ถ้วนเข้าไปในอุโมงค์

สงครามย่างกรายสู่เมืองเทียนฟงที่กำลังเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดรู้ตัวเลยว่าภัยคุกคามใหญ่หลวงกำลังคืบคลานมาสู่เมืองเทียนฟง และยิ่งมายิ่งใกล้ขึ้น....

อุโมงค์นี้นำไปสู่เมืองเทียนฟง มีทางออกอยู่ห้าทาง  แยกไปยังทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ ทิศเหนือ และใจกลางเมือง อุโมงค์นี้ไม่ได้ขุดขึ้นโดยสำนักมาร ต่อให้พวกเขาทำได้ก็ไม่ทราบต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปี และไม่มีทางสมบูรณ์แบบได้เช่นนี้ แน่นอนว่านี่เป็นฝีมือของเต่าดำน้อยที่อยู่ในมือของเย่หวูเฉิน มันครองพลังปฐพีสูงสุด เต่าดำน้อยค่อยๆเคลื่อนไหวใช้เวลาราวหนึ่งคืนขุดอุโมงค์นี้จนสำเร็จ ยามอยู่ใต้ดินพลังที่ใช้จะน้อยกว่าพลังที่ฟื้นฟู ดังนั้นหลังจากขุดอุโมงค์นี้เสร็จ เต่าดำน้อยแทบไม่เหน็ดเหนื่อยใดๆ อุโมงค์ได้กลายเป็นอีกหนึ่งของขวัญชิ้นใหญ่ที่เย่หวูเฉินมอบให้กับอาณาจักรต้าฟง

เนื่องจากการมาถึงของเต่าดำน้อย แผนดั้งเดิมของเย่หวูเฉินจึงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กลายเป็นง่ายขึ้นอย่างมาก ความเสี่ยงยังลดลงถึงระดับต่ำสุด เช่นเดียวกับความตายของพวกมัน

ตะวันเคลื่อนคล้อยลงทางทิศตะวันตก ราตรีย่างเยือนเข้ามาอย่างเงียบงัน เมื่อม่านราตรีมาถึง ความเงียบก็มาเยือนพร้อมแสงสว่างที่ดับลง เหล่าทหารที่เคลื่อนมายามราตรีเบาฝีเท้าลง เมฆหมอกเคลื่อนคลุมพระจันทร์ไว้ครึ่งดวง จากนั้นกระจายออกช้าๆ เผยพระจันทร์เต็มดวงแจ้มจ้าท้องนภา ลมราตรีพัดพาความสดชื่น โชยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ

ราตรียิ่งดึกสงัดมากขึ้น เมื่อพระจันทร์ลอยสูงอยู่กลางฟ้า เวลาตีสามกลุ่มทหารได้มาถึง ในมุมรกร้างแห่งหนึ่งในเมืองที่ปกคลุมไปด้วยพงหญ้า จู่ๆพื้นหญ้าก็ยกขึ้นสูงเล็กน้อย เผยดวงตาหลายคู่ที่อยู่ข้างใน พวกเขามองไปรอบทิศ จากนั้นเปิดพื้นหญ้าและค่อยๆออกมา เผยให้เห็นหลุมลึกขนาดสิบเมตร ทหารกลุ่มนี้แต่งกายในชุดเกราะหนัก ในมือถือหอกและดาบ ออกมาจากหลุมอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้เร่งจู่โจมทันที แต่เคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน และจัดทัพรอคอยคำสั่งอย่างเป็นระเบียบ

ไม่เพียงแค่ตำแหน่งนี้ ตามจุดต่างๆของเมืองเทียนฟงทั้งสี่ทิศเริ่มมีทหารกลุ่มใหญ่ออกมา สี่ตำแหน่งในสี่ทิศถูกเลือกอย่างชาญฉลาด ทุกจุดถูกทิ้งร้างไม่ใคร่มีใครสัญจร ทหารประจำเมืองที่ลาดตระเวนกะดึกก็ไม่ผ่านทางเหล่านี้มากนักเช่นกัน และที่ใจกลางเมือง ในท้องพระโรงใหญ่ของจักรพรรดิต้าฟง พื้นกระเบื้องหนาค่อยๆถูกยกขึ้น ทหารกองน้อยได้รุดออกมา องครักษ์ที่คุ้มกันด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็พลันตื่นขึ้นจากความเฉื่อยชาและเร่งรุดเข้ามาดู ทว่าเพียงเปิดประตูเข้ามาก็ถูกปลิดชีพทันทีด้วยความไม่ทันระวังตัว



<<<PREV    .    NEXT>>>