วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 469

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 469 จุดเริ่มต้นของงานสมรสใหญ่

วันที่สี่ก็เช่นเดียวกัน....

“ท่านปู่ ท่านพ่อ วันมะรืนจะเป็นวันมงคลใหญ่ของข้าแล้ว ข้ามารับพวกท่านกลับไป” เย่หวูเฉินมาที่เมืองเทียนฟงเพื่อรับเย่หนู่กับเย่เว่ย หลายวันก่อน หลังจากที่กลับไปยังเมืองเทียนหลงแล้ว เขาได้แวะมาแจ้งพวกเขาไว้ล่วงหน้าครั้งหนึ่ง เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้องพะวงและรีบร้อนกลับไป เนื่องจากเย่หวูเฉินสามารถพาพวกเขาข้ามระยะพันลี้ได้ในพริบตา

เย่หนู่ลูบหนวดเคราพลางหัวเราะร่า พวกเขากำลังจะได้สัมผัสการเคลื่อนตัดมิติพันลี้ด้วยตัวเอง นับเป็นประสบการณ์อันลึกลับ กระทั่งเย่หนู่ยังคล้ายมีอาการตื่นเต้น

เย่หวูเฉินเคลื่อนสายตาไปด้านข้าง “ท่านลุงชูเกอ , เสี่ยวหยู”

“ข้าไม่ไป.... ข้าไม่อยากไปร่วมงานแต่งของท่าน รอจนกว่าท่านจะแต่งงานกับข้าเท่านั้นข้าถึงจะยอมกลับ ไม่อย่างนั้นข้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไป” ชูเกอเสี่ยวหยูออกแรงสั่นศีรษะต่อหน้าเย่หวูเฉิน ขณะเดียวกันก็ลอบบุ้ยปากขึ้นสูง....

“นี่....” ชูเกอหวูอี้ส่ายศีรษะคล้ายจนใจ จากนั้นยิ้มกล่าว “ในเมื่อเสี่ยวหยูไม่อยากกลับไป เช่นนั้นข้าผู้เป็นพ่อก็ควรอยู่ต่อ ตอนนี้ปัญหาพายุทรายเพิ่งสงบลง เป็นเวลาดีสุดที่จะทำให้ผู้คนยอมรับ โอกาสเช่นนี้ไม่ควรพลาด ข้ากับเสี่ยวหยูจะนำทหารเข้ายึดเมืองต่างๆของต้าฟงเอง”

เย่หนู่มองที่ชูเกอเสี่ยวหยู เลิกคิ้วขึ้นและยิ้มกล่าว “ตกลง.... ฮี่ ฮี่ เสี่ยวหยู ปู่เย่ของเจ้าได้ลั่นวาจาไว้แล้ว เจ้าจะต้องเป็นสะใภ้ตระกูลเย่เท่านั้น ไม่มีทางหนีพ้นไปไหนได้ เข้าใจมั้ย?”

“ฮี่.... เข้าใจเจ้าค่ะ” ชูเกอเสี่ยวหยูรับลูกต่อจากเย่หนู่ทันที ‘ปราดตา’ มองเย่หวูเฉินคราหนึ่งแล้วเบือนหน้าออก งานมงคลครั้งใหญ่ของเย่หวูเฉิน หากนางมีความสุขก็คงแปลกแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีหลายคนอยู่ด้วยกันที่นี่ นางคงอยากหยิกทึ้งร่างของเขาให้หนักมือ....

อายุ 20 ปี.... ผ่านวัยที่ต้องแต่งงานมาแล้วช่วงหนึ่ง พอคิดก็อดสงสารตัวเองไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นยังต้องเก็บซ่อนความขมขื่น สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันบ่นพ้อเย่หวูเฉินอยู่ในใจ

วันที่ห้า....

วันที่หก....

ในวันนี้ กล่าวได้ว่าเป็นวันที่เมืองเทียนหลงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เมืองใหญ่แทบระเบิดออกด้วยคลื่นฝูงชน โรงเตี๊ยมไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ล้วนถูกจับจองห้องพักจนเต็ม กระทั่งราคายังพุ่งกระโดดขึ้นสูงหลายเท่า กระนั้นผู้คนยังหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ท้องถนนที่อยู่ใกล้เคียงตระกูลเย่ ผู้คนเนืองแน่นจนแทบหันกายลำบาก

ทั่วโลกหล้าล้วนรับรู้ วันนี้คือวันสมรสใหญ่ของเย่หวูเฉินหรือจักรพรรดิมาร ยิ่งกว่านั้นยังแต่งงานกับสองสตรี.... หนึ่งคือจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรเทียนหลง อีกหนึ่งคือธิดาเพียงคนเดียวของตระกูลฮั่วแห่งอาณาจักรเทียนหลง

หากแต่งกับฮั่วฉุ่ยโหรวเพียงคนเดียวคงไม่นับเป็นอันใดมาก แต่นี่ยังมีจักรพรรดินีที่จะแต่งเข้าตระกูลเย่เช่นเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากจักรพรรดินีเฟยฮวงแต่งงานกับเย่หวูเฉินแล้ว นางจะนับถือตระกูลสามีเป็นใหญ่.... นี่ย่อมหมายถึงว่าในอาณาจักรแห่งนี้ อำนาจของเย่หวูเฉินจะอยู่เหนือจักรพรรดินีแห่งเทียนหลง หากเป็นก่อนหน้านี้ผู้คนจำนวนมากคงไม่อาจเข้าใจ ทว่ายามนี้เย่หวูเฉินมีสถานะเป็นจักรพรรดิมาร ทุกอย่างย่อมกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีผู้ใดคิดว่าเป็นเรื่องไม่สมควร เพราะต่อให้เอาจักรพรรดิแห่งอาณาจักรทั้งสี่มามัดรวมกัน ก็ยังไม่อาจเปรียบเทียบกับเศษเสี้ยวของจักรพรรดิมารได้

ฮั่วเจิ้นเทียนยืนอยู่ปากทางเข้าตระกูลเย่ คอยต้อนรับแขกเหรื่อทุกคนที่เข้ามา ฮั่วเจิ้นเทียนปกติมีอารมณ์ฉุนเฉียวโผงผาง แต่วันนี้ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันขาวแทบทุกซี่ การต้อนรับแขกสมควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายเจ้าบ่าว ทว่าฝ่ายเจ้าบ่าวห้ามแล้วแต่เขายังคงยืนกราน เย่หวูเฉินเปลี่ยนสถานะจากนายน้อยเย่เป็นจักรพรรดิมาร มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขามีความสุขปานใด ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุตระกูลฮั่วอีก ขณะเดียวกันลูกสาวของเขาก็พบบ้านที่สตรีทั่วโลกได้แต่ฝันถึง ในที่สุดชีวิตนี้ของเขาก็วางใจ.... ก่อนหน้านี้ เพราะลูกสาวของเขางมงายอย่างมาก เขาจึงไม่ขัดขวางการแต่งงานของนางกับเย่หวูเฉินผู้มี ‘ร่างกายพิการ’ ในหัวใจไม่อาจปลดวางความกังวลได้ เพราะจากการตรวจอาการของเย่หวูเฉิน ร่างพิการของเขาสมควรอยู่ได้ไม่ถึงสิบปี ระหว่างช่วงเวลานั้น ฮั่วเจิ้นเทียนได้แต่ทอดถอนใจด้วยความกังวลอยู่บ่อยครั้ง หวังว่าสวรรค์จะไม่ทอดทิ้งตระกูลฮั่ว ลูกสาวของเขาช่างงมงาย สมควรมีบ้านอันสมบูรณ์ให้อาศัย

พอเขาได้ยินว่า ‘ร่างพิการ’ ของเย่หวูเฉินเป็นเพียงเรื่องโกหก ไม่เพียงเขาอยากหัวเราะลั่นในทันที แต่ยังเอามือป้องหูทั้งสองข้างเพื่อฟังซ้ำ

วันนี้ฮั่วฉุ่ยโหรวแต่งงานกับเย่หวูเฉินพร้อมกับสตรีอื่น หากไม่ใช่เป็นสตรีผู้นั้น ต่อให้เย่หวูเฉินเป็นจักรพรรดิมาร ฮั่วเจิ้นเทียนก็จะต้องระเบิดโทสะด้วยวิธีเดิมๆ ทว่าอีกฝ่ายคือจักรพรรดินีเฟยฮวง ทำให้เรื่องนี้ต่างไปอย่างสิ้นเชิง.... ด้วยเจตนาอันชัดแจ้งนี้ ราวกับจะบอกว่าวันหน้าในตระกูลเย่ สถานะของฮั่วฉุ่ยโหรวอย่างน้อยจะไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดินีเฟยฮวง และทั้งสองจะไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด

หากแต่ฮั่วเจิ้นเทียนอยู่ต้อนรับที่หน้าประตูตระกูลเย่ได้ไม่นานนัก เขาก็เริ่มพบว่าคนล้นออกมาข้างนอก.... ผู้คนยิ่งมายิ่งมากขึ้น.... จนแทบจะล้นออกไปถึงนอกเมืองเทียนหลง ผู้คนที่มาร่วมงานมงคลใหญ่ครั้งนี้มีมากเกินไป ผู้ที่มาเองโดยไม่มีเทียบเชิญเมื่อเทียบจำนวนกับคนที่ถือเทียบเชิญแล้วไม่ทราบว่ามากกว่ากี่เท่า รอยยิ้มบนใบหน้าฮั่วเจิ้นเทียนเริ่มสั่นกระตุก จนในที่สุดก็สั่นลามไปทั้งร่าง

เขาได้สัมผัสอิทธิพลยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิมารในวันนี้เอง

สุดท้าย ตระกูลเย่ทำได้เพียงให้คนที่ได้รับเทียบเชิญเข้าไปข้างใน ส่วนคนอื่นๆถูกเชิญให้นั่งที่ด้านนอกคฤหาสน์ตระกูลเย่ ดังนั้น กำลังคนของตระกูลเย่จึงไม่เพียงพอ ราชวังจึงส่งขันทีและองครักษ์กลุ่มใหญ่ขนโต๊ะและที่นั่งมาจัดวางเพิ่ม ทุกคนล้วนเหงื่อท่วม เพียงไม่นาน ตั้งแต่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเย่ลามออกไปบนท้องถนนล้วนเต็มไปด้วยผู้คนจนหมดสิ้น....


“ประมุขสำนักจักรพรรดิใต้ฉุ่ยหยุนเทียน พร้อมทั้งประมุขน้อยฉุ่ยอู๋เชว และองค์หญิงฉุ่ยเมิ่งฉาน ได้นำทองคำ 30,000 ชั่ง อัญมณี 30 หีบ ผ้าไหม 9,000 ผืน....”

“ประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือเหยียนเทียนเว่ย พร้อมด้วยประมุขน้อยเหยียนต้วนชาง ได้นำทองคำ 30,000 ชั่ง มรกตสองหีบ....”

“หัวหน้าตระกูลเป่ยหมิง พร้อมด้วยท่านหญิงตระกูลเป่ยหมิง....”

“จักรพรรดิแห่งคุยชุย พร้อมด้วยองค์ชายรัชทายาท....”

“สำนักจักรพรรดิเหนือ อันดับที่ 130 แห่งตระกูลเหยียน....”

“เสนาบดีฝ่ายยุติธรรม ใต้เท้าฉื่อ....”

“เฉียนก่วนก่วน , เฉียนตัวตัว และเฉียนปู่เฉ่า....” [โน๊ต : คนที่รวยที่สุดในทวีป]

“จักรพรรดิแห่งชางหลาน พร้อมด้วยองค์ชายรัชทายาท และพระขนิษฐาแห่งจักรพรรดิ....”

.............

.............

แต่ละนามอันน่ากลัวถูกขานที่ประตูทางเข้า ขันทีน้อยรับเทียบเชิญและเริ่มเสียงสั่นขึ้นทีละน้อย ตั้งแต่เล็กจนโตขุมกำลังที่เคยเห็นรวมกันยังไม่มากเท่าวันนี้ ทว่าคนที่สามารถเข้าไปข้างในมีเพียงคนที่ได้รับเทียบเชิญ หรือไม่ก็คนที่เย่หวูเฉินเชิญมาด้วยตัวเองเท่านั้น เหล่าเจ้าเมือง ผู้นำตระกูล ตระกูลร่ำรวยและมีชื่ออื่นๆนับไม่ถ้วน ล้วนทำได้เพียงนั่งอยู่นอกตระกูลเย่ ตามตำแหน่งที่ขันทีและองครักษ์แห่งราชวังได้จัดให้ และไม่มีผู้ใดกล้าแสดงความขัดเคืองแม้แต่น้อย

“นายหญิง.... นายหญิงเจ้าคะ ที่วางของขวัญเต็มหมดแล้ว” สาวใช้ในชุดแดงคนหนึ่งส่งเสียงกระวนกระวาย

หวังเวิ่นชูกำลังวุ่นวายจนเหงื่อท่วม ของขวัญแสดงความยินดีกองล้นจนกลายเป็นภูเขา ซ้อนกันสูงจนน่ากลัวว่าจะถล่มลง ทว่าของขวัญยังคงถูกขนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งความเร็วในการขนก็ยังไม่ลด.... ทุกห้องว่าง ทุกมุมสวนล้วนถูกวางไว้จนเต็ม แทบไม่เหลือจุดใดให้วางเท้าลงไปได้

“เร็วเข้า.... รีบให้คนไปเปิดสวนด้านหลัง ในนั้นมีเรือนเก่าของตระกูลเย่ รีบขนกองนี้ไปก่อน เร็วๆเข้า.... จริงสิ ของขวัญแสดงความยินดีพวกนี้ได้ลงบันทึกไว้รึยัง?”

“....มีมากเกินไป บันทึกไม่ไหวเจ้าค่ะ”

“ก็ได้.... งั้นไม่ต้องบันทึก รีบขนไปไว้ที่เรือนเก่าเร็วเข้า” หวังเวิ่นชูปาดเหงื่อบนใบหน้า นางทั้งตื่นเต้นและกระวนกระวาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าสวนของตัวเองเล็กเกินไป

ความวุ่นวายไม่รู้จักจบนี้ มิได้เกิดขึ้นเพียงกับพวกนางเท่านั้น เย่เว่ยที่คอยต้อนรับแขกเหรื่อกับฮั่วเจิ้นเทียนยามนี้ขาและเอวเริ่มเคล็ด ปากกล่าวคำจนเริ่มแห้งผาก เหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่ายามต่อสู้เป็นตายในสนามรบ หลายครั้งที่คิดอยากลงไปนอนแผ่พักกับพื้นโดยตรง.... และแม้ว่าเย่หนู่จะไม่ได้ออกมา แต่เหล่าคนที่มาถึงและไม่พบกับเย่หวูเฉิน พวกเขาย่อมทักทายเย่หนู่ก่อนเป็นคนแรก ไม่ทราบตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เขาดื่มชาไปแล้วกี่แก้ว ดื่มจนกระทั่งคอแทบชาแล้ว

ขณะที่ตระกูลเย่กำลังวุ่ยวาย คนผู้เดียวที่กำลังสบายใจเฉิบอยู่คงเป็นเย่หวูเฉิน.... อ่า ต้องรวม ‘น้องสาว’ ของเขาด้วยสองคน บวกกับ ‘ลูกสาว’ อีกหนึ่งคน

“ท่านพี่ พวกนั้นเอะอะกันตั้งแต่เช้า มีเรื่องอะไรกันเหรอ?” หนิงเสวี่ยดึงแขนเสื้อของเย่หวูเฉินและเอ่ยถาม หลังจากแง้มประตูมองดู นางก็เห็นผู้คนอัดแน่นอยู่ในสวนหน้า ทำให้นางไม่ออกไปไหน

เวลานี้ เย่หวูเฉินกำลังอยู่ในชุดเจ้าบ่าวสีแดง ตรงอกประดับด้วยดอกไม้สีแดงดวงใหญ่ นั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบงันและนับเวลา ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในชุดเจ้าบ่าว เสี่ยวลู่ที่แต่งตัวให้แทบไม่อาจละสายตาออกได้กว่าครึ่งค่อนวัน

ทงซินกับเช้าอันน่าเบื่อหน่าย นางถือลูกแก้วเล็กๆในมือเดินมาที่เย่หวูเฉิน นางไม่รู้ว่าอะไรคือการแต่งงาน ไม่รู้โดยสิ้นเชิง ลูกแก้วในมือมีขนาดเพียงหัวแม่มือเท่านั้น นางเล่นมันมาตลอดเช้า กระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่วางลง....

“เปรี๊ยะ” เกิดเสียงลั่นดังขึ้นเล็กน้อย ทงซินไม่อาจควบคุมพลังได้ทำลูกแก้วในมือแตก นางอ้าปากค้างเล็กน้อย ยื่นมือขึ้นตรงหน้าเย่หวูเฉินและแผ่เศษลูกแก้วในมือ แววตามองมาน่าสงสาร เย่หวูเฉินยิ้มบางอย่างเสียไม่ได้ กุมมือลงบนมือน้อยๆของทงซิน พอยกมือขึ้นลูกแก้วก็กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม

ทงซินยิ้มมีอย่างความสุข เล่นลูกแก้วในมือต่อ ความสุขของนางมักเรียบง่ายอยู่เสมอ

“ท่านพี่ การแต่งงานอะไรคือเหรอ?” หนิงเสวี่ยถาม

“การแต่งงาน คือการที่คนสองคนจะได้อยู่ในที่เดียวกันตลอดไป ชั่วชีวิตไม่มีวันแยกจาก” เสี่ยวโม่ตอบราบเรียบ วันนี้สีหน้านางค่อนข้างว่างเปล่า อารมณ์ยังดูคล้ายไม่พอใจอยู่บางส่วน

“อืม....” หนิงเสวี่ยกระพริบตาปริบ ฉับพลันแววตาเป็นประกายวาบ เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ พวกเรามาแต่งงานกันเถอะ ชั่วชีวิตนี้จะได้ไม่แยกจากกัน”

เสี่ยวโม่ “.......”

เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มบาง ลูบเส้นผมขาวละมุนของนาง กล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าต้องโตก่อน”

“ทำไมต้องโตด้วยล่ะ?” หนิงเสวี่ยถามด้วยใบหน้างุนงง บางส่วนดูคล้ายผิดหวังและไม่ได้รับความเป็นธรรม

“ท่านพ่อ นางโตกว่าท่านตั้งเยอะ” เสี่ยวโม่ยื่นหน้าไปที่ข้างหูของเย่หวูเฉิน ส่งเสียงที่มีเพียงเขาและนางเท่านั้นที่ได้ยิน เพิ่มอีกประโยคเข้าไปด้วยสีหน้าประหลาด “....ข้าเองก็แก่กว่าท่านพ่อนะ”

เย่หวูเฉิน “.......”

ประตูที่ปิดไว้นานในที่สุดก็ถูกเปิด ‘โครม’ เข้ามา หวังเวิ่นชูในชุดแดงสดวิ่งเข้ามาด้วยเหงื่อท่วมตัว และพลางส่งเสียง “เฉินเอ๋อร์.... เร็วเข้า ใกล้ถึงเวลาแล้ว โหรวโหรวและฮวงเอ๋อร์สมควรเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว รีบไปรับเจ้าสาวเร็วเข้า....” อย่างไรก็ตามหวังเวิ่นชูชะงักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถามด้วยความลังเล “เจ้าจะไปรับโหรวโหรวก่อน หรือว่าฮวงเอ๋อร์ก่อน?”

บนผืนทวีปแห่งนี้ การแต่งงานหลายครั้งถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่แต่งงานกับสตรีสองคนในเวลาเดียวกันนั้นหาได้ยากยิ่ง และยิ่งหายากที่สุดเมื่อแต่งงานกับคุณหนูตระกูลสูงส่งด้วยสินสอดทองหมั้น อย่าว่าแต่สองคนนี้ไม่ใช่สตรีธรรมดาเลย คนหนึ่งกระทั่งเป็นจักรพรรดินีคนแรกในประวัติศาสตร์แห่งอาณาจักรเทียนหลง

ทั่วหล้านี้คงมีเพียงเย่หวูเฉินคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ และเพราะเป็นเย่หวูเฉิน ผู้คนจึงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้ยากต่อการยอมรับ อีกทั้งจักรพรรดินียังไม่เคยแสดงทีท่าขัดเคืองใดๆแม้แต่น้อย

“ไปรับโหรวโหรวก่อน” เย่หวูเฉินตอบโดยไม่ลังเล เพราะในโลกใบนี้ ฮั่วฉุ่ยโหรวคือสตรีคนแรกที่เขาหมั้นหมายไว้



<<<PREV    .    NEXT>>>