วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 442

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 442 ทลายสวรรค์แดนฟ้า!

“พวกท่านรีบหนีออกไปก่อน” เย่หวูเฉินกุมกระบี่ตัดดารา กล่าวอย่างจริงจัง ในเมื่อยังไม่รู้เหตุผลที่อสูรมังกรม่วงเดือดดาล เช่นนั้นก็ต้องชะลอฝีเท้าของมันให้ได้มากที่สุด ไม่อาจปล่อยให้มันหลุดไปยังเขตแดนของมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นเมื่อใดที่หายนะเกิดขึ้น เขาคงต้องรู้สึกผิดไปจนชั่วชีวิต อย่างไรเสีย อสูรมังกรม่วงก็เป็นผลพวงจากระเบิดที่เขาก่อขึ้น

“นายท่าน....ไม่ได้! พวกเราปล่อยให้นายท่านเสี่ยงอันตรายไม่ได้” เมื่อเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางได้ยินคำก็ตื่นตกใจ เย่หวูเฉินบอกให้พวกเขาหนีไปก่อน หมายความว่าเขาไม่อาจส่งพวกเขาออกไปได้ด้วยพลังมิติ แสดงว่าเวลานี้เซียงเซียงพลังเหือดแห้ง ตอนนี้เขาย่อมไม่อาจใช้พลังมิติหนีได้

“นี่คือคำสั่ง!” เย่หวูเฉินยิ่งขมวดมุ่นขึ้น สายตาจับจ้องที่อสูรมังกรม่วงที่กำลังตรงเข้ามา

“นายท่าน.... โปรดอภัยที่พวกเราขัดคำสั่ง.... หากไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้มันกลับไปได้ เช่นนั้นพวกเราก็ต้องหยุดมัน หากพวกเราหนีไปและทิ้งให้นายท่านเป็นอันตราย พวกเราขอขัดคำสั่งเสียดีกว่า” เหยียนต้วนชางก้าวออกมา กล่าวคำจริงจังล้ำลึก

“....พวกเราจะไม่เป็นภาระต่อนายท่าน” เหยียนเทียนเว่ยกล่าวอย่างสงบ สายตามองไปยังเหยียนต้วนชาง ในแววตาวาบประกายดุจเปลวเพลิง

สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เย่หวูเฉินชำเลืองมองด้านหลัง และพบว่าใบหน้าของเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางกำลังฉายความเจ็บปวด ใบหน้าแต่ละจุดบิดเบี้ยว ราวกับมีมือนับไม่ถ้วนดึงอยู่ กระทั่งเส้นผมบนศีรษะยังชูชันขึ้นฟ้า

“พวกท่าน....”

“ร่าง.... สลาย.... เพลิง.... วิญญาณ.... ย่าห์!!”

รัศมีสีแดงพุ่งออกจากร่างทั้งสองคน ยิ่งมายิ่งเข้มข้น สีหน้าที่เจ็บปวดพลันหายไป กลายเป็นความสงบนิ่งถึงขีดสุด มีเพียงเส้นผมที่ยังคงชูชัน พลังเพลิงวิญญาณที่เย่หวูเฉินคุ้นเคยกำลังขยายออกถึงขีดสุด เลยขีดกำจัดที่พวกเขาเคยทำได้มาก่อน

รัศมีสีแดงทั่วร่างกำลังสั่นไหว พลังของพวกเขากระเพื่อมขึ้นเช่นกัน ทุกครั้งที่พลังกระเพื่อม พลังเพลิงวิญญาณจะทวีขึ้นหนึ่งเท่า รัศมีสีแดงยิ่งมายิ่งเข้มข้ม ในที่สุดรัศมีสีแดงก็หยุดสั่นไหว รอบร่างกายของพวกเขาปรากฎเป็นสายฟ้าสีแดงแลบลั่น สายฟ้าแต่ละเส้นทรงพลังน่าหวั่นกลัว คลื่นพลังมหาศาลทำให้เย่หวูเฉินตกตะลึง

เย่หวูเฉินเพิ่งทราบในวันนี้ ว่าในร่างของเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางซ่อนพลังถึงเพียงนี้ไว้.... ทว่า เขาทราบดีว่าการเพิ่มพลังขอบเขตใหญ่ย่อมมีผลกระทบอย่างหนักต่อร่างกาย อย่างน้อยไม่ด้อยไปกว่าพลังที่ถูกใช้ออก เขากังวลถึงผลลัพธ์หลังจากที่สองคนนี้ใช้พลังต้องห้าม

“นี่คือเคล็ดวิชาเพลิงวิญญาณต้องห้าม ร่างสลายเพลิงวิญญาณ มีเพียงพวกเราผู้สืบสายโลหิตตรงของจักรพรรดิเหนือเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ร่างสลายเพลิงวิญญาณจะเผาผลาญพลังเพลิงวิญญาณที่อยู่ในทุกอณูทั่วร่าง ไร้การเก็บสงวนรักษาไว้.... อย่างน้อย มันสามารถเพิ่มพลังได้มากเกินกว่าสองเท่า” เหยียนเทียนเว่ยสีหน้าสงบ กล่าวอธิบายช้าๆ

“นายท่านอย่าได้กังวล แม้ว่าร่างสลายเพลิงวิญญาณจะดึงพลังทั้งหมดออกมาใช้ แต่มันไม่มีอันตรายใดๆต่อร่างกาย เพียงแค่หลังจากนี้อีกสองเดือน พวกเราจะไม่สามารถใช้พลังเพลิงวิญญาณได้ และกลายเป็นคนไร้พลัง.... อย่างไรก็ตาม หากวันนี้สามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย ขอนายท่านได้โปรดลงโทษพวกเราสองพ่อลูก” เหยียนต้วนชางยิ้มกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เย่หวูเฉินกำลังคิดสิ่งใด พวกเขาล้วนเดาได้ถูกต้อง

“โปรดอย่าปล่อยให้พลังต้องห้ามนี้สูญเปล่า.... ด้วยพลังทั้งหมดของพวกเรา นายท่านคือบุคคลผู้ชี้นำชะตา ระหว่างนี้ย่อมหาทางรับมือกับมันได้ พวกเราจะช่วยนายท่านหยุดมันอย่างเต็มกำลัง”

เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางตรงออกไปเบื้องหน้า ในมือปรากฎคันธนูเหล็กสีเทาหยาบๆ สายธนูถูกน้าว ศรปราณสองลูกถูกยิงไปที่อสูรมังกรม่วง....

อสูรมังกรม่วงถูกโจมตีที่ระยะร้อยเมตร พวกเขาเดินหน้าต่อ ศรปราณที่บุรุษสองคนยิงออกไปเล็กมากเมื่อเทียบกับร่างมังกร ทว่าด้วยพลังของมันทำให้อสูรมังกรม่วงต้องระวัง มันเหวี่ยงกรงเล็บด้านขวาเข้าใส่ทันที

ปุ!

เปรี้ยง!

ศรปราณของเหยียนต้วนชางแตกออกเป็นเสี่ยงๆทันที ขณะที่ศรปราณของเหยียนเทียนเว่ยยิงถูกผิวเหนือกรงเล็บและแตกกระจัดกระจาย ราวกับว่ายิงถูกแผ่นโลหะแข็ง เย่หวูเฉินทราบดีว่าร่างของอสูรมังกรม่วงแกร่งกล้ายิ่งกว่าแผ่นโลหะ ร่างของมันมีสีเช่นเดียวกับ “พลอยม่วง” และมีพลังป้องกันแกร่งกล้าเช่นเดียวกัน

มีแผลเล็กน้อยปรากฎที่ขาของอสูรมังกรม่วง ทำให้มันโมโหร้ายคำรามด้วยความเจ็บ ศรปราณของเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางราวกับดาวตก พวกเขายิงออกต่อเนื่องตรงไปที่ร่างมัน ศรปราณจำนวนมากทำให้มันไม่อาจป้องกันได้ทั้งหมด ภายใต้แรงปะทะต่อเนื่อง ในที่สุดมันก็ถอยเท้าก้าวหนึ่ง จากนั้นถอยอีกหนึ่งก้าว....

เหยียนเทียนเว่ยบรรลุพลังขอบเขตเทวะขั้นสูงสุด ตอนนี้พลังเพิ่มทวีขึ้นหลายเท่า พลังของเขายามนี้เทียบเท่าทงซินในสภาพสมบูรณ์ ศรปราณที่ยิงโจมตีทำให้อสูรมังกรม่วงไม่อาจเพิกเฉยได้อีก แต่ไม่ได้แปลว่าเหยียนเทียนเว่ยบรรลุพลังเหนือเทพ พลังเทวะและพลังเหนือเทพถึงแม้ห่างกันเพียงช่วงชั้นเดียว แต่ความแตกต่างนั้นราวแผ่นฟ้ากับผืนโลก ไม่อาจเทียบได้เพียงพลังที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า

เย่หวูเฉินเลิกห้ามปรามพวกเขาในที่สุด แต่หัวคิ้วกลับมุ่นลงอีก แน่นอนว่าอสูรมังกรม่วงถูกโจมตีให้ล่าถอยด้วยพลังเกินคาด สุดท้ายมันหยุดร่างและคำราม พุ่งตรงเข้ามาฝ่าศรปราณอันหนาแน่น เวลานี้เอง มีแสงสีม่วงปรากฎขึ้นที่ผิวของมัน ศรปราณที่ตกกระทบรัศมีสีม่วงพลันแตกสลายกระจายไป

พลังของมันไม่อาจมีสัตว์อสูรตัวใดเทียบได้ กระทั่งขุนเขายังไม่อาจขวางกั้นและถูกทำลายลง เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางหยุดยิงศรปราณ ร่างมหึมาของอสูรมังกรม่วงตรงมาเบื้องหน้า พวกเขายื่นมือออกโคจรพลังเพลิงวิญญาณอย่างรวดเร็ว หมายรับมือการปะทะของมันโดยตรง

การกระทำนี้นับว่าหัวรั้นและโง่เขลา เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางไม่ควรเป็นเช่นนี้ ทว่าเวลานี้เอง เย่หวูเฉินที่อยู่ด้านหลังกระซิบกับพวกเขา “หากเป็นไปได้.... ตีให้มันลอยขึ้นจากพื้น.... สูงเหนือพื้นไม่กี่เมตรก็ยังนับว่าดี”

ร่างมหึมานับร้อยเมตร น้ำหนักมหาศาลเพียงใด อย่าว่าแต่สูงเหนือพื้นไม่กี่เมตรเลย เพียงไม่กี่เซนฯก็ยากดุจปีนป่ายสวรรค์แล้ว เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางยืนนิ่งไร้ความลังเล ในดวงตาของทั้งคู่เป็นประกายอย่างที่ไม่เคยเป็น.... พลังในร่างขยายเพิ่ม แทบถึงจุดที่ระเบิดออก แรงกดดันเบื้องหน้าแทบจะฉีกทำลายโลกทั้งใบ ใต้เท้าที่อสูรมังกรม่วงเหยียบย่ำ ไม่ได้เกิดการแตกร้าวธรรมดา แต่คือการทำลายจนเป็นผุยผง.... พลังทรราชย์ปานใดย่อมจินตนาการได้ แสงสีม่วงยิ่งมายิ่งแรงกล้า ในที่สุดมันกลายเป็นของแข็งดุจพลอยม่วง ป้องกันทุกจุดบนร่างกายมัน

เมื่ออสูรมังกรม่วงพุ่งมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งสอง พวกเขาพลันรู้สึกว่าอากาศถูกบีบอัด พลังทรราชย์ที่มากเกินไปทำลายทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ทำให้พวกเขาแทบสูญเสียสัมผัสรับรู้ทุกอย่าง.... สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ต้องมีพลังเพียงใดย่อมจินตนาการได้ อสูรมังกรม่วงกำลังเดือดดาล ดังนั้นมันจึงไม่เก็บยั้งพลัง ในมุมมองของมัน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนด้อย เพียงนิ้วก้อยเดียวมนุษย์ก็ไม่อาจทานทนแล้ว ทว่าวันนี้ คนทั้งสามกลับทำให้มันตะลึง มันจึงเตรียมฉีกร่างคนเหล่านี้ด้วยพลังอันกราดเกรี้ยว....

มันสงบอารมณ์มานานนับไม่รู้กี่ปี เมื่อโทสะถูกจุดด้วยระเบิดครั้งใหญ่ มันจำเป็นต้องระบายออก เพราะมันสูญเสียสิ่งล้ำค่าสูงสุด มันกำลังคลั่ง ต่อให้ทวีปเทวะเป็นผู้กระตุ้นโทสะมัน มันก็จะตอบโต้โดยไม่มีลังเล

เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางยืนปักหลักบนพื้น ไม่มีถอยหลังต่อหน้าการปะทะของอสูรมังกรม่วง ขณะที่ห่างจากมันราวสิบเมตร พวกเขาก็ปลดปล่อยพลังที่ใกล้หลุดการควบคุม พลังพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทว่าขณะที่ฝ่ามือยื่นกลางอากาศ เท้ามหึมาข้างหนึ่งของมังกรก็ลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาพอดี มันกำลังเหยียบเท้าลงมา....

ตูม

พลังสะเทือนโลก เสียงสายฟ้าลั่นขึ้นสองสายในเวลาเดียวกัน เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางเข้าใจกลยุทธ์อย่างดีทั้งสองพ่อลูก ไม่ต้องมองตาหรือใช้ภาษาใดก็ลงมือได้พรักพร้อม แผนการเดียวกันในเวลาที่ถูกต้อง ระเบิดพลังใส่เท้าของอสูรมังกรม่วง

นอกจากเสียงของสายฟ้า ยังมีเสียงกระดูกแตกหัก.... ซึ่งลอยมาจากเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชาง

แม้นี่เป็นเพียงการย่ำเท้าของอสูรมังกรม่วง ทว่าพลังของมันสามารถเหยียบขุนเขาให้แบนราบ พลังสองสายปะทะใส่มันกลางอากาศ สร้างแรงสะท้อนที่แทบฉีกร่างของพวกเขา.... เกิดเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่บนแผ่นดิน ร่างของพวกเขาจมอยู่ท้ายก้นหลุม

กระดูกแตกหักหลายท่อน ทว่าไม่ได้อันตรายถึงชีวิต และนี่เป็นผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม เมื่อคนทั้งสองตัดสินใจในเวลาเดียวกัน พวกเขาล้วนพร้อมที่จะตาย ด้วยคำสั่งของเจ้านาย และด้วยเกียรติภูมิของสายเลือดจักรพรรดิเหนือ ต่อให้พวกเขาตกตาย ก็ต้องปฏิบัติคำสั่งของเย่หวูเฉินให้สำเร็จ.... เพราะการที่เขาสั่งการหมายถึงเขาพบวิธีแล้ว และวิธีของเขาคือความหวังสูงสุดของพวกเขา ในหัวใจของพวกเขา เย่หวูเฉินคือผู้กำหนดชะตา ไม่มีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้

เท้าข้างหนึ่งของอสูรมังกรม่วงถูกผลักขึ้นโดยเหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชาง มันสูญเสียการทรงตัวและเริ่มล้มลง ร่างที่ใหญ่เกินไปทำให้การล้มต้องใช้เวลา ในระหว่างการล้มนี้ เกิดเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ไม่นับว่าสั้น....

ยากจะหาโอกาสเช่นนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เย่หวูเฉินที่จับจ้องดวงตาในที่สุดก็เคลื่อนไหว ตำแหน่งที่เขาเคลื่อนไปไม่ใช่ข้างที่หงายขึ้นของอสูรมังกรม่วง แต่เป็นด้านที่คว่ำลงของร่าง.... เมื่อมันล้มลงตำแหน่งนั้นจะกดทับลงพื้น

เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางตกใจทันที ร่างกายที่ครองพลังทรราชย์ของอสูรมังกรม่วง หากถูกมันทับลงโดยตรงย่อมบี้แบนแน่!! ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ส่งเสียง แสงสีทองก็เป็นคำตอบให้กับพวกเขา....

สีทองคือสีของกระบี่ตัดดารา เป็นสีที่บ่งบอกถึงพลังพิเศษของมัน นอกจากกระบี่ตัดดาราแล้ว ในโกลาหลแห่งนี้ไม่มีพลังใดเปล่งแสงสีทองได้บริสุทธิ์เช่นนี้อีก อาณาจักรเทพมีสามคนที่ใช้พลังทองคำ แต่ไม่มีใครในพวกมันที่สามารถใช้พลังทองคำได้เทียบเท่ากระบี่ตัดดารา

ทว่าเมื่อแสงสีทองเปล่งรัศมี เหยียนเทียนเว่ยและเหยียนต้วนชางกลับพบว่าแสงนี้เข้มข้นยิ่งกว่า ‘แยกฟ้าผ่าปฐพี’ ที่พวกเขาเคยรู้จัก เมื่อแสงสีทองหยุดขยายตัวออกพวกเขาก็พลันสัมผัสได้.... สายลมหยุดลง ฝุ่นทรายทั่วทิศหยุดลง สุ้มเสียงทั้งหมดสลายไปสิ้น

พวกมันถูกพลังแกร่งกล้าไร้ที่เปรียบ หยุดไว้ทั้งหมด....

“กระบี่ตัดดารา กระบวนท่าที่สอง ทลายสวรรค์แดนฟ้า!!”



<<<PREV    .    NEXT>>>