วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 468

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 468 พายุทรายสงบลง

เย่หวูเฉินเดินทางไปทิศตะวันตกของอาณาจักรต้าฟงผ่านไปแล้ว 20 กว่าวัน ทว่าเขาสลบไปถึง 19 วัน ทำให้เมื่อกลับมายังเมืองเทียนหลงจึงรู้สึกเหมือนผ่านไปแค่ 2-3 วันเท่านั้น

เขาไม่ได้กลับไปที่ตระกูลเย่ในทันที แต่ปรากฎตัวขึ้นในเมืองก่อน เรียกชุดที่ไม่เด่นสะดุดตาออกจากแหวนเทพกระบี่มาสวมใส่ จากนั้นค่อยๆเดินตรงไปที่ตระกูลเย่ บางครั้งเขาจำเป็นต้องได้ยินเสียงของผู้คนด้วยตัวเอง

อย่างที่คาดไว้ ตลอดเส้นทางมีแต่เรื่องของเขา หลังจากตัวตนแท้จริงของจักรพรรดิมารถูกเผยออกมา อาณาจักรเทียนหลงก็สั่นสะเทือนเพราะตัวเขา เมืองเทียนหลงตื่นเต้นเพราะเรื่องนี้เป็นเวลานาน แม้ว่าจะผ่านมาแล้ว 20 กว่าวัน หากเสียงยังคงไม่ลดลง

“ฮ่าย ใกล้จะครบเดือนหนึ่งแล้ว ไม่ทราบว่าทางฝั่งอาณาจักรต้าฟงเป็นยังไงบ้าง”

“พายุทรายยังไม่สงบลง แต่พวกมันจะทำอันใดต่อจักรพรรดิมารได้.... ตลอดหลายปีมานี้ อาณาจักรต้าฟงทะเยอทะยานหวังรุกรานอาณาจักรเทียนหลงของพวกเรา จักรพรรดิมารช่วยพวกมันก็นับว่าเมตตาแล้ว ต่อให้ทำไม่สำเร็จ หรือต่อให้ไม่ได้ช่วยพวกมันก็ตาม....”

............

“ได้ยินว่านายน้อยเย่กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่วัน.... ข้า.... เฮ้อ หากได้แต่งงานกับนายน้อยเย่ ชีวิตนี้คงไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว”

“คุณหนู.... อย่าว่าข้าบังอาจเลย ระดับนายน้อยเย่มีเพียงสถานะอย่างจักรพรรดินีเฟยฮวงเท่านั้นถึงจะคู่ควร คุณหนูอย่างท่าน....”

“แต่ว่าตระกูลฮั่ว....”

“บิดาของคุณหนูตระกูลฮั่วคือฮั่วเจิ้นเทียน เป็นตระกูลยิ่งใหญ่อันดับสองรองจากตระกูลเย่ในเมืองเทียนหลง ยิ่งกว่านั้น ในอดีตยามที่ข่าวการตายของนายน้อยตระกูลเย่แพร่กระจาย คุณหนูตระกูลฮั่วขอยอมไม่แต่งงานกับใครอีก ชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงนายน้อยเย่ผู้เดียวเท่านั้น.... ฮ่าย สตรีที่มั่นคงงมงายเช่นนี้.... หากข้าเป็นบุรุษผู้นั้น อย่าว่าแต่พื้นฐานตระกูลนางที่ยิ่งใหญ่เลย ต่อให้นางเป็นหญิงสาวยากจนจากชนบท ข้าก็จะต้องมอบความรักให้กับนางตลอดทั้งชีวิต ไหนเลยที่นายน้อยเย่จะปฏิเสธนางได้”

.......

“พ่อค้า เอาเต้าหู้หนักสองจิน (จินละ 0.5 กก.)”

“เอ้านี่.... คุณลูกค้า เต้าหู้ของท่านราคาทั้งหมดหกตำลึง”

“แค่ก แค่ก.... พอดีว่าญาติผู้น้องคนที่ 17 ของข้าเป็นยามเฝ้าประตูตระกูลเย่ บ้านเดิมของเขาอยู่ถัดจากบ้านข้าสองหลัง....”

“....โอ้ ท่านไม่ต้องจ่ายหรอกขอรับ ท่านผู้ทรงเกียรติ หากคราวหน้าได้ผ่านมาอีก โปรดแวะมาเยี่ยมเยือน”

...........

“.....ไม่แปลกใจเลยที่จักรพรรดินีเฟยฮวงได้ขึ้นครองบัลลังก์ ตราบใดที่จักรพรรดิมารเอ่ยปากเพียงคำเดียว ต่อให้ปล้นชิงตำแหน่งจักรพรรดิมาก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียง....”

“ชู่วว! เจ้าลดเสียงลงหน่อยไม่เป็นหรือยังไง หากสำนักมารหรือสำนักจักรพรรดิใต้หรือสำนักจักรพรรดิเหนือได้ยินเข้า เกรงว่าตระกูลของเจ้าจะดับสูญโดยไม่รู้ตัว”

“.......”

...............

“เฮ้อ ฝึกฝนวรยุทธไปเพื่อสิ่งใด ต่อให้ฝึกฝนจนแกร่งกล้ายิ่งกว่านี้ ก็ไม่อาจเทียบกับนิ้วเดียวของนายน้อยตระกูลเย่ได้ ฝึกฝนด้านอักษรงั้นเหรอ? เกรงว่าต่อหน้านายน้อยตระกูลเย่ แค่อักษรตัวเดียวข้าก็ไม่กล้าเขียน....”

“เฮ้ๆ.... อย่าได้พูดจาเหลวไหลให้มากนัก เจ้ามีอันใดถึงเปรียบเทียบตัวเองกับจักรพรรดิมาร”

“ฮ่าย นายน้อยเย่อาศัยอยู่ในเมืองเทียนหลง ตัวข้าก็อาศัยอยู่ในเมืองเทียนหลง ข้ายังแก่กว่าเขาตั้งหลายปี แต่ทำไมคนเหมือนกันถึงได้ต่างกันถึงเพียงนี้ ทำไม ทำไม.... ทำไมข้าถึงไม่เกิดเป็นเย่หวูเฉิน?!”

“ข้าจะสอนอะไรให้เจ้าอย่างหนึ่ง.... เจ้าเห็นขอทานแก่ๆตรงมุมถนนนั่นมั้ย เจ้ากับเขาเกิดมาในเมืองเทียนหลงเช่นเดียวกัน ให้เปรียบเทียบตัวเองกับตัวเขาแล้วเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น หากเจ้าเอาแต่เปรียบเทียบตัวเองกับนายน้อยเย่.... เจ้าก็มีแต่รู้สึกต่ำต้อยโดยส่วนเดียวเท่านั้น....”

“.......”

...............

“โถ่สวรรค์ โถ่ฟ้าดิน.... จักรพรรดินีผู้เลอโฉมงดงาม ฝ่าบาทผู้สูงส่งกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรส.... ข้าอุตส่าห์ร่ำเรียนทุกคืนวันเพื่อจะได้เข้าวังเป็นนายสนมของจักรพรรดินี!.... ข้าอยากตายย....”

“ไปให้พ้น.... เจ้ากล้าดียังไงถึงบังอาจคิดเช่นนี้กับสตรีของจักรพรรดิมาร หากหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วก็รีบไปให้พ้นข้า ภายหลังอย่าได้ทำตัวว่ารู้จักข้าด้วย อยากตายนักก็อย่าลากข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง”

...............

...............

ตลอดเส้นทางที่เย่หวูเฉินเดินผ่าน ภายใต้การอำพรางไม่มีใครจดจำเขาได้.... หัวข้อสนทนายิ่งมายิ่งทำให้เขาพูดไม่ออก ทว่าอย่างน้อย นี่คือสิ่งยืนยันชั้นดีว่าหลังจากที่เขาเปิดเผยตัวตน อิทธิพลที่เกิดขึ้นต่อเมืองเทียนหลงไม่ได้ด้อยไปกว่าที่เขาคาดไว้

อย่างน้อย บางคนก็ไม่กล้าล่วงล้ำตระกูลเย่อีก บางคนไม่กล้าล่วงล้ำเขา เขาไม่จำเป็นต้องคอยพะวงหรือหวาดระแวงเหมือนเช่นเมื่อสามปีที่แล้ว

ความรู้สึกนี้ ช่างยอดเยี่ยมนัก

แต่ว่า....

โดยไม่ทันรู้ตัว เย่หวูเฉินเดินมาถึงประตูหน้าของตระกูลเย่ ยามเฝ้าประตูมีสีหน้าเคร่งครัดและภาคภูมิอยู่ล้ำลึก ในอดีตเมื่อเย่หวูเฉินเดินเข้าออกพวกเขาจะทักทายโดยไร้อาการใด ทว่าเวลานี้เมื่อเห็นเย่หวูเฉินพวกเขาตะลึงงันอยู่ตรงนั้น เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะกล่าวคำได้ “นะ นะ นะ.... นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว”

ข่าวเรื่องเย่หวูเฉินคือจักรพรรดิมารได้แพร่กระจายนานเกินกว่าครึ่งเดือน นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาเห็นเย่หวูเฉินหลังจากได้ยินข่าว ความคิดแรกจึงนึกถึงตัวตนของจักรพรรดิมาร ทำให้ไม่อาจรักษาความสงบได้....

เย่หวูเฉินยิ้มและพยักหน้าให้พวกเขา จากนั้นเดินเข้าไป ยามทั้งสองมองตามแผ่นหลังเขาเป็นเวลานาน พอฟื้นคืนสติได้ก็รู้สึกอับอายกับอาการของตัวเอง

ในสวนตระกูลเย่เมื่อเทียบกับตอนที่เขาจากไปแล้วต่างกันอย่างมาก งานแต่งที่กำลังมาถึงในอีกไม่กี่วันได้ถูกตระเตรียม ทั่วตระกูลเย่ถูกประดับด้วยโคมไฟและริ้วผ้าสีสวยสด ผู้คนทั้งภายในและภายนอกทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ทุกทิศเต็มไปด้วยสีสันสว่างสดใส ผู้คนที่ทำงานไม่มีใครกล้างอมืองอเท้า ไม่กล้าทำสิ่งใดโดยไร้ความระวัง.... เพราะนี่คืองานแต่งของจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรเทียนหลง คืองานแต่งของจักรพรรดิมาร ไหนเลยพวกเขาจะกล้าทำให้เกิดเรื่องบกพร่อง

หวังเวิ่นชูกำลังยืนสั่งการด้วยตัวเอง ทันใดนั้นนางพลันตระหนักว่าบรรยากาศแปลกไป คนใช้ในตระกูลเย่พากันหยุดชะงักติดตามกัน มองอย่างโง่งมไปทางประตูหน้า นางหันกายไปและพบว่าเย่หวูเฉินกำลังเดินมาทางเบื้องหลัง....

“เฉินเอ๋อร์.... เจ้ากลับมาแล้ว! ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว.... เจ้าทำให้แม่เป็นห่วงแทบตาย” หวังเวิ่นชูผวาเข้าไปจับไหล่เขา กวาดสายตามองสำรวจทั่วร่าง.... เขาไม่ได้นั่งอยู่บนรถเข็นอีกต่อไป หากกำลังยืนอย่างมั่นคงตรงหน้านาง

“ท่านแม่ ข้าจัดการธุระของข้าเสร็จสิ้นแล้ว หลายวันมานี้ต้องลำบากท่าน หากวันหน้าไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนอีกนาน” เย่หวูเฉินมองดูสวนตระกูลเย่ที่ประดับประดาตกแต่งอย่างงดงามอีกครั้ง พร้อมกับกล่าวคำ

“กลับมาเวลานี้ก็ดีแล้ว.... หากช้ากว่านี้จักรพรรดินีกับโหรวโหรว รวมทั้งแม่คงกังวลใจมาก....” สายตานางยังคงมองเขาไม่ลดละ แววตาคู่นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่เคยแห้งผาก ในแววตาเต็มไปด้ววยความตื่นเต้น , รักใคร่ และภูมิใจอันยากจะปิดปัง.... นางไม่ไต่ถามเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นจักรพรรดิมารอย่างที่เขาลือกัน สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องดีงามสะเทือนโลก หรือทำเรื่องเลวร้ายต่อโลกก็ช่าง นางจำไว้เพียงแค่ว่าเขาคือลูกชายนาง ตราบใดที่เขาปลอดภัยก็นับเป็นเรื่องดีเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว

“เดี๋ยวข้าจะไปหาโหรวโหรว.... เสวี่ยเอ๋อร์ล่ะ?”

“นางคงกำลังอยู่ในห้อง หลายวันมานี้นางตั้งตารอคอยเจ้ากลับมาทุกวัน.... โอ้ คราวหน้าอย่าเที่ยววิ่งไปไหนนานขนาดนี้อีกล่ะ” หวังเวิ่นกล่าวกึ่งตำหนิ

“อื้ม งั้นเดี๋ยวข้าไปหาเสวี่ยเอ๋อร์ก่อน”

ท่ามกลางสายตาที่มองมาแปลกๆ เย่หวูเฉินเคลื่อนร่างตรงไปยังสวนของตัวเอง ผ่านไปครู่เดียวเสียงกุลีกุจอทำงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง.... เขาคือนายน้อยที่ผู้คนตระกูลเย่ต่างคุ้นเคย ทว่าอีกสถานะหนึ่งของเขา ทำให้พวกเขาไม่อาจเผชิญหน้าด้วยท่าทีเดิม จักรพรรดิมารสองคำนี้ เป็นคำที่หนักหนาเกินไป

เดินมาจนถึงปากประตูสวน หญิงสาวผู้หนึ่งเดินโผล่ออกมาจากด้านในกะทันหัน นางเกือบชนเขาและเบี่ยงตัวหลบจนสะดุด เย่หวูเฉินอาศัยโอกาสนี้คว้าเอวประคองนางไว้ พร้อมกับยิ้มถาม “เจ้าเป็นอะไรมั้ย?”

พอเห็นใบหน้าของเย่หวูเฉิน หญิงสาวก็ชะงักงันอยู่ในท่านั้นลืมดิ้นรน กล่าวคำด้วยความตระหนก “นะ.... นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว....”

“อืม.... เจ้าไปจัดการธุระต่อเถอะ” เย่หวูเฉินปล่อยเอวบางของนางออก ตั้งกายตรงและเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง

เสี่ยวลู่ยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น มองเย่หวูเฉินเดินห่างออกไปอย่างด้วยสติล่องลอย จนกระทั่งเขาเปิดประตูและเดินเข้าไปหายลับจากสายตา.... พร้อมกับเสียงร้องเรียกอย่างตื่นเต้นของหนิงเสวี่ย

ร่างกายยังคงรู้สึกได้ถึงสัมผัส เสี่ยวลู่ก้มศีรษะลง กุมชายเสื้อและบีบไว้แน่น นางเดินออกไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ไม่ว่าจะเป็นพลัง , พรสวรรค์ , ความรู้ , อำนาจ , เกียรติภูมิ และรูปร่างหน้าตา.... ล้วนไม่มีบุรุษใดในโลกนี้เปรียบเทียบกับเขาได้ การได้เป็นสาวใช้ของบุรุษปานนี้ นับว่าเป็นวาสนาสูงสุดสำหรับนางแล้ว นางไม่กล้าคาดหวังว่าจะได้รับความชมชอบจากเขาใดๆ เขาเป็นได้เพียงความฝันที่นางไม่มีวันเอื้อมถึง

----

----

ในวันนี้ พายุทรายทางทิศตะวันตกของอาณาจักรต้าฟงได้บรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้น พื้นที่บรรเทายังขยายออกอย่างต่อเนื่อง ผู้คนยิ่งมายิ่งออกจากบ้านแหงนมองไปทางทิศตะวันตก ในหัวใจสะท้อนเสียงสาบานของจักรพรรดิมาร ความหวังได้ลุกโชนขึ้นในหัวใจ

ในวันที่สอง ขอบเขตพายุทรายได้ถอยร่นออกไปนับร้อยลี้ เมื่อพายุทรายที่ไม่เคยจางหายมาตลอดพลันหายไป หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ไม่ทราบผู้คนเท่าใดที่สูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ พร้อมทั้งตะโกนสุดเสียง หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังถึงอนาคตอันแสนสุข

วันที่สาม....

วันที่สี่....

ผู้คนเดินออกจากบ้าน มองยังทิศตะวันตกห่างไกลยังคงเห็นท้องฟ้าสีเหลือง ทว่าท้องฟ้าเหนือพวกเขาเป็นสีน้ำเงิน กลุ่มเมฆหลากรูปร่างล่องลอย อากาศบริสุทธิ์โชยพัดไร้ฝุ่นทรายคละคลุ้งอีก เมื่อสิ้นต้นเหตุของทรายคลั่ง สายลมจึงไม่เกรี้ยวกราดอีก มีเพียงกระแสลมอ่อนโยน ราวกับว่าพวกเขาได้รับชีวิตใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้คนตะโกนส่งเสียงด้วยความดีใจ.... ในอากาศเต็มไปด้วยเสียงเรียกขานนามจักรพรรดิมาร

วีรบุรุษ.... ในประวัติศาสตร์อาณาจักรต้าฟงมีวีรบุรุษอยู่มากมาย พวกเขายอมตายในสนามรบ อุทิศชีวิตเพื่อดินแดน ทว่าประโยชน์ที่พวกเขาสร้างไว้.... ผู้คนธรรมดาล้วนไม่ทราบและไม่อาจจดจำ ผู้คนรู้จักพวกเขาเพียงในนามวีรบุรุษเท่านั้น – นอกจากชื่อและสมญาแล้วไม่มีสิ่งใด

ทว่าจักรพรรดิมารนำชีวิตใหม่มาสู่พวกเขา ผู้คนไม่อาจสรรหาถ้อยคำวิจิตรอันใดมาใช้บรรยายความรู้สึกซาบซึ้งในใจได้ เพราะจักรพรรดิมารจึงทำให้อาณาจักรของพวกเขาต้องเปลี่ยนชื่อจาก ‘ต้าฟง’ เป็นเทียนหลง ทว่าผู้คนกลับล้วนสาบานต่อสู้จนตัวตายเพื่อสนับสนุนจักรพรรดิมาร พวกเขาไม่ยอมให้ผู้ใดกล่าวถึงจักรพรรดิมารเสียๆหายๆ กระทั่งสร้างรูปปั้นและสลักชื่อจักรพรรดิมารไว้ในหลายสถานที่ของอาณาจักรต้าฟง



<<<PREV    .    NEXT>>>