วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 460

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 460 พายุทราย

เย่หวูเฉินบีบมือของหลงฮวงเอ๋อร์เล็กน้อย หลงฮวงเอ๋อร์ชำเลืองมองแล้วปล่อยมือออก จากนั้นยิ้มส่งสัญญาณให้เขาปลอบชูเกอเสี่ยวหยู นางไม่ได้เอาแต่ใจตนเองอีก ทราบดีว่าบุรุษของตนยามนี้ทรงอำนาจเพียงใด ทราบว่าตนต้องทำสิ่งใดในเวลาใด ภาพที่ได้อยู่ตามลำพังกับเขาเมื่อหลายปีก่อนยังคงตราตรึงในชีวิตไม่มีวันเลือน นางลุ่มหลงเขานับตั้งแต่เวลานั้น และเพราะวันเหล่านั้นนางจึงพบจุดหมายปลายทางในชีวิต....

เย่หวูเฉินกุมไหล่ของชูเกอเสี่ยวหยู ก้มศีรษะลงสำรวจใบหน้าที่เปียกด้วยน้ำตาอย่างระวัง ขบขันเล็กน้อยขณะกล่าว “ที่แท้เสี่ยวหยูก็ชมชอบการร้องไห้ สามกว่าปีก่อนตอนที่พวกเราอยู่ในสถานที่เดียวกัน เจ้าก็ร้องไห้วิ่งออกไปเหมือนลูกแมวน้อย....”

หมัดเล็กๆข้างหนึ่งทุบตรงอกของเย่หวูเฉินฉับพลัน แถมดูคล้ายจะหนักหน่วงไม่เบา หากคนธรรมดาเห็นเข้าคงต้องอ้าปากค้างด้วยความกลัว....  เสี่ยวหยูอาศัยโอกาสนี้ชิดร่างเข้าไปใกล้ ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นเผชิญสายตาของคนรอบข้าง

เย่หวูเฉินโอบกอดนางและตบแผ่นหลังเบาๆ จากนั้นเงยหน้าขึ้นหันไปทางเย่หนู่ผู้ที่แววตากำลังมีความสุข “ท่านปู่ ท่านพ่อ ข้าต้องกล่าวลาพวกท่านแล้ว”

“กล่าวลา? เจ้าจะไปไหน?” สีหน้ามีความสุขของเย่หนู่หายไป ใบหน้าของหลงฮวงเอ๋อร์ชะงักเล็กน้อย ชูเกอเสี่ยวหยูยังเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย

“ไปสำรวจทางทิศตะวันตก เพื่อหยุดยั้งรากเหง้าของปัญหาพายุทราย” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยใบหน้าผ่อนคลาย

“.....เฉินเอ๋อร์ แม้ปู่จะเชื่อใจเจ้า แต่ปู่ขอถามสักคำหนึ่ง เจ้ามีวิธีจัดการกับพลังธรรมชาตินี้จริงๆหรือ?”

ดินแดนของอดีตอาณาจักรต้าฟงปกคลุมด้วยพายุทราย นับเป็นพื้นที่ถึงหนึ่งในสี่ของทวีปเทียนเฉิน.... หากเย่หวูเฉินสามารถควบคุมพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ได้ เขาตัวลำพังย่อมสามารถทำลายทั้งอาณาจักรได้อย่างง่ายดาย เย่หนู่เชื่อในตัวเย่หวูเฉิน มิเช่นนั้นเขาคงไม่รับรองใช้เกียรติยศตระกูลเย่ทั้งตระกูล ในขณะเดียวกัน บุคคลผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในโลกถึงหกคน กล่าวคำสาบานรับรองอย่างจริงจังอย่างสาหัส ยังจะมีผู้ใดไม่กล้าเชื่อ แต่ในฐานะที่เขาเป็นปู่ อย่างไรเขาก็ยังกังวล

“วางใจได้ ความจริงแล้วทุกอย่างไม่ได้ซับซ้อนเหมือนที่ท่านคิด” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว “เพียงแต่ เป็นไปได้ว่าอาจใช้เวลาสั้นมากหรืออาจใช้เวลายาวนาน หากว่าใช้เวลานานมาก ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้า”

“จะไปเมื่อไหร่?” เย่หนู่ถาม....

“ไปพรุ่งนี้ ตอนนี้ข้าจะกลับบ้านก่อน” เย่หวูเฉินกล่าวตอบ

“ได้.... เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจงกลับไปบ้านก่อน เจ้าสร้างปาฏิหาริย์อัศจรรย์ไว้มากมาย เหตุใดจะทำอีกครั้งไม่ได้ ไปเถอะ ไม่เพียงขับไล่พายุทรายเท่านั้น เจ้ายังจะได้ช่วยผู้คนธรรมดาอีกจำนวนมาก!”

....................

....................

เช้าตรู่ของอีกวัน

เย่หวูเฉินตื่นแต่เช้า พอลืมตาขึ้นก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่ตน เมื่อเห็นเขาตื่นขึ้น เสี่ยวโม่ก็ขยับกายมานั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามเสียงแผ่ว “ท่านพ่อจะไปแล้วเหรอ?”

“อื้ม ต้องไปแต่เช้า” เย่หวูเฉินกล่าวตอบ หนิงเสวี่ยและทงซินยังคงนอนไม่ตื่น.... เขาไม่เหลือเวลาให้รอช้าอีก ถึงอย่างไรเขาก็ได้กำหนดเวลาหนึ่งเดือนไว้แล้วต่อหน้าผู้คนนับล้าน กำหนดเวลาดังกล่าวไม่ใช่เพราะเขามั่นใจจนเกินไป แต่มันคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำให้ทหารแห่งต้าฟงยอมรับ หากนานเกินไปความเชื่อมั่นจะถดถอยลงอย่างมาก

“ไม่อยากให้ข้าไปด้วยจริงๆเหรอ?” เสี่ยวโม่เอ่ยถามขณะมองด้วยสายตาคาดหวัง

“.....เด็กโง่ พ่อของเจ้าไม่กลัวพายุทราย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องปกป้อง เจ้าต้องอยู่ที่นี่คอยปกป้องน้องสาวทั้งสองของเจ้า เข้าใจมั้ย?”

เสี่ยวโม่เรียกหาเย่หวูเฉินว่าพ่อ เรียกทงซินและหนิงเสวี่ยเป็นน้องสาว แต่หนิงเสวี่ยเรียกเย่หวูเฉินเป็นพี่ชาย ดูแล้วน่าสับสนอยู่บ้าง แต่พวกนางเรียกกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย

“อื้ม ทราบแล้วท่านพ่อ.... แต่ยังไงท่านพ่อต้องรีบกลับมาเร็วๆนะ” เสี่ยวโม่กล่าว

เย่หวูเฉินไม่ปลุกทงซินกับหนิงเสวี่ยที่กำลังนอนหลับมีความสุข เขาสวมชุดและเรียกเซียงเซียงออกมา กำหนดสถานที่ในทิศตะวันตกไว้ในใจ จากนั้นหายไปในกลุ่มแสงขาว

เย่หวูเฉินออกไปทำให้เสี่ยวโม่พลันรู้สึกสูญเสียบางสิ่ง นางนั่งเศร้าอยู่บนเตียง ใช้นิ้วแหย่มังกรน้อยที่ยังหลับสนิทอยู่เช่นกัน สำหรับคนธรรมดาและสัตว์อสูรธรรมดาแล้ว ในช่วงหลายเดือนแรกที่เกิดมาย่อมเติบโตอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสงสัย โครงสร้างร่างกายย่อมพัฒนาขึ้นรวดเร็ว ทว่าหลายเดือนผ่านไป เสี่ยวซื่อกลับเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย ยังคงมีขนาดเท่าฝ่ามือของเสี่ยวโม่ ทว่าความเร็วของพลังที่เพิ่มขึ้นกลับน่ากลัว อย่างไรเสีย สิ่งที่เสี่ยวซื่อกินลงไปก็เป็นถึงผลึกมังกรที่บรรจุพลังเหนือเทพ

ฉู่จิงเทียนพึ่งลุกออกจากเตียง อ้าปากหาวพึมพำในปากขณะสวมใส่เสื้อผ้า จากนั้นผลักประตูออกมา ทว่าเกือบชนเข้าใส่หญิงสาวชุดเขียว.... หญิงสาวชุดเขียวรีบขยับถอย และเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ “อรุณสวัสดิ์คุณชายฉู่”

“โอ้ อรุณสวัสดิ์ อรุณสวัสดิ์” ฉู่จิงเทียนรีบร้อนทักทายกลับ หญิงสาวผู้นี้คือสาวใช้ส่วนตัวของเย่หวูเฉิน นางมีนามว่าเสี่ยวลู่ แม้นางเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง แต่ลักษณะล้วนสง่างาม ฉู่จิงเทียนไม่กล้ามองนางตรงๆ ถึงแม้เขาจะจากฉู่ชางหมิงมาได้ใกล้จะครบครึ่งปีแล้ว ทว่าเขายังคงไม่อาจรับมือกับสตรี โดยเฉพาะหากเป็นสตรีที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขา

ทันใดนั้น เขาเห็นเล่งหยายืนนิ่งสงบอยู่ที่ริมสระบัว ฉู่จิงเทียนวิ่งไปหาทันที ในปากก็ตะโกนเสียง “เจ้าหน้าน้ำแข็ง วันนี้ตื่นเร็วนัก”

เล่งหยาไม่ได้ขยับ เมื่อได้ยินก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงยืนนิ่งดุจศิลา.... หากฉู่จิงเทียนมองเห็นดวงตา จะเห็นนัยน์ตาของเล่งหยาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวสลับไปมา และยิ่งมายิ่งเร็วขึ้น

“เฮ้ เฮ้! หรือว่าเจ้ายังไม่ตื่น?” ฉู่จิงเทียนเอื้อมมือแตะลงที่ไหล่ และยื่นศีรษะมองดู

อย่างไรก็ตาม ฉู่จิงเทียนเพียงตบไหล่เล่งหยาได้สองสามครั้ง เล่งหยาก็ราวกับสัตว์อสูรดุร้ายตื่นขึ้นจากหลับลึกฉับพลัน เล่งหยาหันศีรษะมาอย่างรวดเร็ว สายตาตวัดวาบผ่านฉู่จิงเทียน ปรากฎเป็นสองจุดสีแดงดับสลับกับสีขาว เล่งหยาจู่โจมฉับพลันด้วยกระบี่คร่าสายลมที่ไม่เคยห่างกาย มุ่งเล็งที่จุดตายเบื้องหน้าของฉู่จิงเทียน

เงามรณะมาเยือนฉู่จิงเทียนจนคนต้องตกใจ รีบดีดร่างถอยหลังด้วยความเร็วสูงสุด กระบี่ชางหมิงที่ไม่เคยห่างร่างเช่นกันบินออกจากฝักด้านหลังตรงเข้าสู่มือ ฉู่จิงเทียนแทงกระบี่ตรงไปเบื้องหน้า ประสานปลายกระบี่เข้ากับกระบี่คร่าสายลม.....

ติ้ง!

ฉู่จิงเทียนไม่ทันได้มีเวลาผ่อนคลาย ฉับพลันก็สัมผัสได้ถึงพลังแกร่งกล้าสะเทือนเข้ามาถึก ฝ่ามือเจ็บปวดอย่างลึกล้ำ กระบี่ชางหมิงปลิวหลุดออกจากมือ ม่านตาหดลีบเมื่อปลายกระบี่คร่าสายลมแทงตรงเข้ามา.... หากขณะที่กำลังจะแทงถูกเสื้อก็หยุดลง ปลายกระบี่สีเขียวสั่นไหวเล็กน้อย แววตาของเล่งหยาสั่นสะท้านรุนแรง.....

ฉู่จิงเทียนดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายยังคงอยู่ในท่าถอยหลัง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว เล่งหยาถอนกระบี่คร่าสายลมกลับ ไม่กล่าวแม้สักคำและกลับเข้าห้องของตนเอง กระแทกปิดประตูดัง ‘ปัง’ ด้วยความเร็ว

ฉู่จิงเทียนยกฝ่ามือขึ้นมาดู บนนั้นปรากฎรอยแผลแตกจำนวนหนึ่ง มีเลือดไหลซึมออกมา เป็นสีแดงไปครึ่งฝ่ามือ.... เขามองดูประตูห้องของเล่งหยา ยังคงไม่ตื่นขึ้นจากความตกตะลึง เหนือแผ่นหลังหลั่งเหงื่อกาฬเย็นเยียบ

แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่เคยรู้ว่าก่อนเลยว่าเล่งหยาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว

ในด้านการระเบิดความเร็ว เขาทราบว่าตัวเองด้อยกว่าเล่งหยาอยู่ห่างไกล ทว่าหากปะทะกระบี่กันโดยตรงแล้ว พลังของเขาไม่เคยพ่ายแพ้ต่อเล่งหยา แต่วันนี้กระบี่ชางหมิงของเขากลับถูกกระแทกปลิวไปโดยกระบี่ของเล่งหยา

ยิ่งกว่านั้น ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา.... น่าจะนับตั้งแต่ที่เล่งหยากลับมาจากสำนักจักรพรรดิเหนือ เขาก็เริ่มทำตัวแปลกไปอย่างมาก พูดน้อยลงแม้จะพูดน้อยอยู่แล้ว กลิ่นอายความเย็นชายิ่งรุนแรงขึ้น ยิ่งมายิ่งเหมือนกลิ่นอายของคนตาย เวลาส่วนใหญ่ยังมักขังตัวเองอยู่ในห้อง บางครั้งหลายๆวันจึงค่อยออกมา

เกิดอะไรขึ้นกับเล่งหยา? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถามกับตัวเอง....

ในอีกฝั่งหนึ่ง เสี่ยวโม่ถอนสายตากลับออกจากหน้าต่าง กล่าวคำพึมพำกับตัวเอง “ปราณปีศาจ.... แม้ในช่วงที่สติมิได้ขาดการควบคุม เขายังกลับสามารถแผ่ปราณปีศาจออกมาได้ ทั้งยัง.....”

กลิ่นอายประหลาดนี้ เหตุใดจึงทำให้นางเริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคยที่อยู่ห่างไกล....

....................

....................

เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของอดีตอาณาจักรต้าฟง ตั้งอยู่ทางตะวันตกไกลสุดที่เย่หวูเฉินเคยมาเยือน เขาเคยใช้สถานะจักรพรรดิมารทำให้นายน้อยตระกูลชางกวนขาดใจตายด้วยความกลัวในสถานที่นี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยระยะทางอันห่างไกลจากเมืองหลวง ทำให้ข่าวสารยังมาไม่ถึง ผู้คนของที่นี่จึงยังไม่ทราบว่าอาณาจักรต้าฟงไม่ใช่อาณาจักรต้าฟงอีกแล้ว

พายุทรายฟุ้งพัดไปทั่ว ฝุ่นทรายตลบขึ้นฟ้าเหมือนแต่ก่อน สายลมมิได้น่าหวั่นกลัว แผ่นดินโล่งกว้างมีย่อมมีลมเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม ที่น่ากลัวคือฝุ่นทราย บางครั้งมันก็เบาบาง แต่บางครั้งมันก็โหมกระหน่ำรุนแรงและน่ากลัว

เย่หวูเฉินลอยตัวขึ้นกลางอากาศ บินฝ่าพายุทรายไปทางตะวันตก เขาไม่สงสัยเรื่องจุดกำเนิดพายุทราย เนื่องจากพายุทรายนี้ไม่ได้เกิดจากสายลม แต่เป็นฝุ่นทรายที่ปั่นป่วนบ้าคลั่งจนก่อกำเนิดลม นี่ไม่ใช่ปรากฎการณ์ธรรมดาของธรรมชาติ ธรรมชาติไม่ได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ พลังปฐพีที่ปั่นป่วนแสดงถึงรากกำเนิดของมัน ว่าย่อมเป็นพลังปฐพีที่รุนแรงสุดขั้ว

จะต้องเป็นหนึ่งในสี่มุกเซียนโกลาหลที่ซ่อนอยู่ในทวีปเทียนเฉิน มุกเรืองปฐพี!

อาณาวายุก็เช่นเดียวกับเขตแดนทราย ไม่ว่าทั้งสองสิ่งนี้จะปั่นป่วนเพียงใด ย่อมไม่อาจทำอันตรายใดๆต่อเย่หวูเฉินที่มีภูมิต้านทานต่อธาตุลมและธาตุดิน อย่างไรก็ตาม ฝุ่นทรายทุกแห่งหนย่อมบดบังสายตาจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด ในสายตาปรากฎเพียงสีเหลือง ยิ่งมุ่งสู่ทิศตะวันตกเพียงใดความหนาแน่นยิ่งเพิ่มขึ้น เย่หวูเฉินยามนี้ไม่ต่างจากหลับตาบินเป็นเส้นตรง คอยสัมผัสถึงต้นกำเนิดพลังปฐพีอย่างเงียบงัน

พายุทรายเข้มข้นถึงปานนี้ ย่อมไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนใดสามารถทานทนได้ เย่หวูเฉินทราบดีว่าแม้พายุทรายจะเข้มข้นถึงปานนี้ หากยังคงอยู่ห่างจากมุกเรืองปฐพีอย่างมาก ด้วยพลังของมันย่อมทำให้บริเวณใกล้เคียงกลายเป็นดินแดนสุดขั้ว ยกตัวอย่างเช่นภูเขาไฟเทียนเม่ยที่มีมุกมังกรอัคคี มหาสมุทรเยือกแข็งที่มีมุกจิตวารี อาณาวายุต้องห้ามที่มีมุกสลายวายุ ทุกแห่งล้วนเป็นสถานที่ที่ยอดฝีมือสูงสุดไม่อาจเข้าไปเยือน ดังนั้นดินแดนสุดขั้วแห่งปฐพีจะเป็นฉากที่น่ากลัวเพียงใด

ที่เอวของเย่หวูเฉินมีการขยับ เต่าดำน้อยโผล่หัวยื่นออกมาอย่างตื่นเต้น มองดูโลกแห่งทรายไร้ขอบเขต มันสัมผัสได้ถึงธาตุปฐพีที่ยิ่งมายิ่งเข้มข้น ปฐพีธาตุคือแหล่งกำเนิดพลังของมัน และเป็นธาตุที่มันคุ้นเคยมากที่สุด

เย่หวูเฉินลืมตาขึ้นเล็กน้อยและกล่าว “เต่าดำน้อย ครั้งนี้จำเป็นต้องอาศัยพลังของเจ้าแล้ว จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อม”



<<<PREV    .    NEXT>>>