วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 481

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 481 ความสงบครั้งสุดท้าย (2)

เย่ฉุ่ยเหยามักแต่งกายเรียบง่ายและงดงาม บนศีรษะไม่ได้ประดับด้วยอัญมณีมากนัก ผมดำนุ่มยาวสลวยดุจน้ำตกจากภูเขา ประไหล่บางรวมถึงแผ่นหลัง สีสันตัดกับลำคอและผิวขาวดุจขนแกะ เค้าโครงเรือนร่างงามล้ำไร้ที่เปรียบ ชุดฟ้าอ่อนเป็นกระโปรงกลีบบาง ตรงอกมีหยกสีฟ้าเรืองแสงเจือจาง งดงามน่ามองเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่วันที่เย่หวูเฉินประมูล ‘หยกแดงครามสมุทรประจิม’ ชิ้นนี้ให้กับนางต่อหน้าธารกำนัล นางก็สวมมันไว้ไม่เคยถอดออก แม้กระทั่งเวลาอาบน้ำก็ตาม นางมักสวมมันไว้แนบกับเนื้อตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาอยู่กับนางตลอดเวลา

สตรีงามล้ำเพียงกำลังหันร่าง วงแขนคู่หนึ่งก็โอบเอวบางนางไว้ เย่ฉุ่ยเหยาพิงร่างอ่อนนุ่มไว้ในอกนั้น ดวงหน้างดงามเรื่อสีแดงจาง ลมหายใจหนักขึ้นกระทั่งสั่นเครือ วันนี้และเวลานี้ นางทราบดีว่าตนเองกำลังจะพบชะตากรรมใด

เย่หวูเฉินกอดนางจากเบื้องหลัง มือควานหาไปที่เบื้องหน้า เคลื่อนต่ำลงขณะเปิดชุดของนางออก แม้คู่ทรวงอกไม่ได้มหึมาเหมือนเสวี่ยเฟยเยี่ยน หากยังคงกล่าวได้ว่าใหญ่โต ไม่ว่าจะรัดรึงอยู่ใต้ร่มผ้าเพียงใด พวกมันก็ยังคงตั้งเด่นทรนงเป็นสองกลุ่มก้อน ผ้าที่พันอกไว้ถูกปลดออก คู่ทรวงอกอวบอิ่มกระเด้งออกมา กระเพื่อมขึ้นลงราวกับสิ่งมีชีวิต

“เสี่ยวเฉิน....” ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ เย่ฉุ่ยเหยาล้วนไม่ทราบจะขัดขืนอย่างไร นางมักโอนอ่อนคล้อยตามเพลิงปรารถนาของเย่หวูเฉินอย่างว่าง่าย พร้อมลมหายใจที่หอบขึ้นอย่างนุ่มนวล

“พี่หญิงวางใจได้ ที่นี่ไม่มีใครมา” เย่หวูเฉินกล่าวที่ข้างหูนางอย่างอ่อนโยน ร่างของเย่ฉุ่ยเหยาสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่พี่สาวกับน้องชายที่แท้จริง แต่กระนั้น เย่หวูเฉินยังคงเรียกนางว่าพี่หญิงทุกครั้ง เนื่องจากนางชมชอบความรู้สึกต้องห้าม อันนำความรู้สึกตื่นเต้นมาสู่ตน ทำให้นางลุ่มหลงจิตมารอันเป็นศัตรู.... และถูกศัตรูกุมไว้ตลอดกาล

ริมฝีปากหอมหวานถูกดูดดื่มโดยเย่หวูเฉิน เย่ฉุ่ยเหยาหลับตาพริ้ม เสื้อด้านหน้าถูกอ้าออก เย่หวูเฉินคว้าเอาอกหิมะไว้เต็มมือ ส่วนมืออีกข้างสอดเข้าไปในเสื้อ ลูบไล้ไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย เย่ฉุ่ยเหยายิ่งสั่นสะท้านหนักขึ้น อกของนางยิ่งตั้งตระหง่าน สองยอดปลายกระจ่างใสยังแข็งชูชันต่อสู้การรุกราน

ราวกับไม่อาจทานทนกับการจู่โจมร้ายกาจ นางถอนศีรษะเล็กๆออก อ้าปากได้ครึ่งหนึ่งและยังไม่ทันส่งเสียงคราง เย่หวูเฉินก็ประกบริมฝีปากไว้อีกรอบ เย่ฉุ่ยเหยาหอบหายใจเร็วขึ้น รู้สึกถึงความร้อนที่พวยพุ่งขึ้น มืออบอุ่นของเย่หวูเฉินราวกับจะบีบเค้นร่างนาง ลามไล้ทั่วร่างจนนางแทบล่องลอย ทุกจุดที่เคลื่อนผ่านล้วนยากจะทานทน ร่างอ่อนนุ่มทรงเสน่ห์ถูกกุมไว้ กลิ่นหอมจากร่างโชยสู่จมูก สัมผัสในฝ่ามือช่างนุ่มนวล เพลิงปรารถนาของเย่หวูเฉินลุกกระพือ เขาถอนมือจากอกนาง ปลดกางเกงของตัวเองออก แล้วปลดประโปรงส่วนล่างของเย่ฉุ่ยเหยาออกทีละชั้น

ร่างถูกกดไว้อย่างแนบแน่น หน้าอกแนบชิดกับผนังเย็นเฉียบ สัมผัสเย็นเยียบโชยขึ้นได้ไม่นาน สัมผัสเติมเต็มจากเบื้องล่างพลันทำให้นางครางหลุดออกมา....

“พี่หญิง ท่านไม่ได้สวมใส่อะไรไว้ด้านใน.... ท่านกำลังรอข้าอยู่หรือ?” เย่หวูเฉินเบียดร่างนางจากข้างหลัง พายุห่าฝนเริ่มกระหน่ำรุนแรงขึ้น

เย่ฉุ่ยเหยาใบหน้าแดงผ่าว กัดเม้มริมฝีปากยันผนังไว้ ไม่อาจกล่าวคำได้เนื่องจากแรงกระแทกหนักหน่วง นางรอเขาอยู่จริงๆ.... เพื่อให้เขารุกรานได้สะดวกขึ้น นางถึงถอดกางเกงในไว้ก่อนที่เขาจะเข้ามา ประตูห้องนางจะเปิดรอไว้เพียงเพื่อบุรุษผู้นี้เท่านั้น

ภายนอกหน้าต่างเริ่มมืดลง คนทั้งสองประหวัดพัวพันจนลืมเวลา จากผนังไปที่พื้น จากพื้นกลิ้งไปจบลงที่เตียง เมื่อเสียงเสน่หาจบลง ท้องฟ้าก็ใกล้มืดมิด อีกเพียงไม่นานราตรีก็จะมาถึง

ในห้องหอมอบอวลด้วยกลิ่นของเย่ฉุ่ยเหยา เหนือเตียงมีม่านบางๆกางอยู่ ราวกับมีหมอกบังทำให้เห็นร่างเป็นเพียงเลือนราง ฉากที่ปรากฎเป็นเงาของชายหญิง หลังจากกระหวัดพัวพันอย่างหนักหน่วง เย่ฉุ่ยเหยาก็ราวกับลูกแกะน้อย พิงซบศีรษะเล็กๆอยู่บนอกของเย่หวูเฉิน เสียงหอบหายใจนุ่มนวลดังอยู่ใกล้ๆ ผมดำสยายแยกออกเป็นสองซีก พาดผ่านลำคอและสองยอดภูเขาหยก ดำขาวตัดกันยิ่งขับส่งก้อนเนื้อเนียนนุ่มให้เด่นชัด ไม่ต้องใช้เครื่องประทินใดๆ แก้มหิมะก็เรื่อเป็นสีแดง คิ้วบางราวกับกิ่งหลิว คู่ดวงตาอ่อนโยนประดุจหงส์ ลุ่มลึกเกินบรรยาย นางมองบุรุษด้วยความรักใคร่ บุรุษผู้เป็นน้องชาย

เย่หวูเฉินลูบขาเรียวของนางอย่างแผ่วเบา เสพรสสัมผัสอันอ่อนนุ่มและอบอุ่น กลิ่นกายที่หอมเกินบรรยาย เขามักถอนหายใจว่าพี่สาวของตนไม่น่าเป็นคนของโลกใบนี้ นางสมควรมาจากโลกอื่น หรือนางฟ้าจากแดนสวรรค์ หรือภูติหิมะที่มาจากโลกน้ำแข็ง

“เสี่ยวเฉิน....” เย่ฉุ่ยเหยาเอ่ยเรียกแผ่วเบา ฝันร้ายจากพายุคลั่งได้จบลงแล้ว เย่หวูเฉินโอบกอดเอวนาง ฝ่ามือลูบไล้อย่างแผ่วเบา สัมผัสนุ่มลื่นแผ่ลามจากนิ้วเข้าสู่หัวใจ

“พี่หญิง” เขาเรียกนางกลับและกล่าวอย่างอ่อนโยน “รอข้าก่อน.... อีกเพียงไม่นาน พี่หญิงกับข้าจะแต่งงานกันอย่างถูกต้อง ผู้คนทั่วหล้าจะเป็นสักขีพยานและอวยพรให้กับพวกเรา”

เย่ฉุ่ยเหยาตอบรับเบาๆด้วย “อืม” คำหนึ่ง ลักยิ้มที่แก้มสองข้างค่อยๆปรากฎ ฟันขาวสะอาดค่อยๆปรากฎออกมา นางไม่ไต่ถามว่าเขาจะใช้วิธีการใด ในหัวใจมีเพียงความสุขและยินดี นางพิงซบอยู่บนอกอย่างเชื่องเชื่อ ขาเรียวยาวสองข้างกลมกลึงดุจหยก บั้นท้ายเด่นนูนเติมเต็ม เขาลูบสัมผัสเบามือด้วยความสำราญ

เย่หวูเฉินจำเป็นต้องเก็บงำสถานะของตนไว้ ไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะหากเปิดเผยออกไปหลายสิ่งจะอยู่เหนือการควบคุม อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดเป็นที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่เขาพบว่าในแววตาของเย่เว่ยแฝงความแปลกแยกอย่างล้ำลึก เขาทราบทันทีว่าตนเองต้องรีบแก้ปัญหานี้ให้จบลงในเวลาอันสั้นที่สุด

เย่เว่ยแคลงใจในตัวเขา มีหรือที่เขาจะไม่รู้ เขาต้องจัดการเรื่องนี้ให้สมบูรณ์แบบ เขาอาจไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นๆภายนอก แต่ไม่ใช่กับผู้คนตระกูลเย่ซึ่งเขานับตนเองเป็นสมาชิกคนหนึ่ง หากหวังเวิ่นชู , เย่เว่ย และเย่หนู่รู้ความจริงว่าเย่หวูเฉินตัวจริงได้ตายไปแล้ว สายเลือดตระกูลเย่ได้ขาดลง พวกเขาย่อมโศกเศร้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้น สิ่งแรกที่เขาต้องทำย่อมเป็น....

.....................

.....................

ในคืนราตรีแห่งแสงจันทร์ กลุ่มธารดาราทอแสงขับสู้ นอกหน้าต่างสงบเงียบงัน มีเพียงแมลงตัวสองตัวที่ส่งเสียงในบางครั้งเท่านั้น

เย่หวูเฉินส่งฮั่วฉุ่ยโหรวเข้านอน จากนั้นกลับมายังห้องของตัวเอง มีเพียงต้องอยู่ข้างกายเขาเท่านั้น หนิงเสวี่ยและทงซินจึงจะสามารถนอนหลับอย่างสงบ เสี่ยวโม่ยังมักเผยรอยยิ้มแห่งความสุข

เพียงขณะที่ผล็อยหลับ เย่หวูเฉินพลันตื่นขึ้นทันที ทงซินและเสี่ยวโม่ยังตื่นตาม เย่หวูเฉินค่อยๆเคลื่อนร่างขึ้นนั่งบนเตียง

ฉุ่ยเมิ่งฉานมาเยือนราตรี ราวกับกลายเป็นความเคยชินของนาง ครั้งนี้นางเข้ามาทางหน้าต่างเหมือนเช่นทุกครั้ง และหยุดร่างยืนอยู่ข้างเตียง

“มีข่าวของเล่งหยาหรือยัง?” โดยไม่รอให้นางเอ่ยปาก เย่หวูเฉินเป็นฝ่ายถามก่อน เสี่ยวโม่ที่เพิ่งลืมตาขึ้นเงี่ยหูฟังทันที

“ยัง” ฉุ่ยเมิ่งฉานส่ายศีรษะเบาๆ สำนักจักรพรรดิใต้ตั้งแต่สูงยันต่ำคอยจับตามองเล่งหยาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าไม่เคยมีข่าวคราวของเขาแม้แต่น้อย นางมาพบเย่หวูเฉินแต่ละครั้ง เขาจะถามถึงเล่งหยาก่อนเป็นสิ่งแรก

เห็นข้างกายของเย่หวูเฉินขนาบไว้ด้วยสาวน้อย แม้เห็นมาหลายครั้งแต่แววตาของฉุ่ยเมิ่งฉานยังคงฉายแววแปลกๆ สาวน้อยสามคนนอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเขาชมชอบเด็กหญิงที่ยังไม่ประสา ทว่าในฐานะธิดาจักรพรรดิใต้ ร่างของนางย่อมเป็นของเย่หวูเฉินผู้เป็นจอมราชัน ทว่าเย่หวูเฉินกลับไม่เคยล่วงเกินนาง ทำให้นางไม่ทราบว่าสมควรดีใจ หรือหดหู่ใจมากกว่ากัน

“จับตามองต่อไป หากมีข่าวให้รีบแจ้งข้าทันที” เย่หวูเฉินถามต่อ “ฉู่จิงเทียนล่ะ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวตอบ “เมื่อวานนี้ มีคนพบเขาอยู่ในเมืองชางชุยแห่งอาณาจักรคุยชุย ตระกูลกระบี่เล็กๆแห่งหนึ่งถูกรังแก ทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาวในตระกูลนั้นถูกบีบคั้นจนตกตาย ฉู่จิงเทียนผ่านมาพบเข้าและเข้าไปในตระกูลนั้น หลังจากสิบห้านาทีเขาก็ก้าวออกมาและจากไป ความวุ่นวายในตระกูลนั้นได้จบลง คนของเราได้เข้าไปตรวจสอบ พวกเราพบว่ามีคนมากว่าสิบได้ถูกสังหารในรูปแบบเดียวกัน ทุกคนถูกเชือดที่ลำคอ ที่ข้างกายของพวกเขามีหลายสิ่งเปรอะเปื้อนด้วยเลือด ตัวอย่างเช่นใบไม้ , เศษฟาง , เศษผ้า.... พวกนั้นตกตายในสภาพน่าอนาถเป็นอย่างมาก”

เย่หวูเฉิน “......”

พี่ใหญ่ฉู่ นั่นท่านจริงๆหรือ? หากเป็นท่านจริงๆ เช่นนั้นวิถีกระบี่ใดที่ท่านกำลังเดินตามอยู่

บางที สิ่งที่เรียกว่า ‘ไร้กระบี่’ และ ‘กระบี่ที่หัวใจ’ อาจไม่เหมาะสมกับท่าน สิ่งที่เหมาะสมกับท่านที่สุด ควรเป็นวิถีกระบี่ที่ท่านค้นพบด้วยตัวเอง

เย่หวูเฉินไม่ไต่ถามเรื่องนี้อีก เขาเอ่ยถึงเรื่องต่อไป “ท่านมาหาข้าดึกดื่นปานนี้ สมควรได้สิ่งที่ข้าต้องการแล้ว เช่นนั้นช่วยส่งให้ข้าก่อน”

ฉุ่ยเมิ่งฉานพยักหน้า ยืนมือออกเกิดเสียงกระทบดังขึ้นชัดเจนคราหนึ่ง ภายใต้แสงสว่างจางๆ แสงสีทองกลับทอประกายอย่างแจ่มชัด มันมีลักษณะเป็นโซ่สีทอง แสงสีทองของมันบริสุทธ์อย่างยิ่ง นี่คือวัตถุล้ำค่าสูงสุดของสำนักจักรพรรดิใต้ โซ่ตรวนผนึกปีศาจที่เหลืออยู่เพียงเส้นเดียว ในอดีตทงซินถูกมันพันธนาการไว้ ติดอยู่ในหอคอยปีศาจไม่อาจหลุดออกไปได้

เย่หวูเฉินยื่นมือออกกลางอากาศ เก็บมันเข้าสู่แหวนเทพกระบี่ จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกให้นางกลับไป

สีหน้าของฉุ่ยเมิ่งฉานคล้ายหดหู่ นางจากไปอย่างเงียบงัน

โซ่ตรวนผนึกปีศาจ.... มารเสน่ห์กล่าวได้ถูกต้อง ต่อหน้าพลังอันเป็นที่สุด ต่อให้ใช้ลูกไม้แยบยลเพียงใดก็ย่อมถูกทำลายด้วยการโจมตีเดียว ก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับเจวี๋ยเทียน เขาต้องอาศัยสำนักจักรพรรดิใต้ทั้งสำนักเพื่อตัดกำลัง ทว่าเขายังแทบไม่อาจล้มเจวี๋ยเทียนได้ เขาถึงกับต้องฝืนใช้ศรตามจิตโลหิตดำ ทว่าตอนนี้ มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเจวี๋ยเทียนนับสิบเท่า พลังน่าหวาดหวั่นถึงปานนี้ เขาจะอาศัยสิ่งใดเข้าต่อต้าน

ไม่ได้.... ต่อให้วางแผนเป็นอย่างดี แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยย่อมทำลายทุกอย่าง ในเมื่อไม่อาจต่อต้าน เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหลีกเลี่ยง.... หลีกเลี่ยงจนกว่าพลังจะเพิ่มพูนเพียงพอ จนกว่าจะรับมือได้โดยไม่ต้องหลีกเลี่ยง

นี่คือทางเลือกเดียวเท่านั้น และโซ่ตรวนผนึกปีศาจได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดในการหลีกเลี่ยงหายนะครั้งนี้



<<<PREV    .    NEXT>>>