วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 451

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 451 สถานการณ์สงคราม

จักรพรรดิแห่งคุยชุยมีพระชนม์พรรษาเพียง 40 กว่าปี ทว่ากลับประชวรอยู่บ่อยครั้ง ที่น่าเสียใจที่สุดก็คือ จักรพรรดิพระองค์นี้ล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ทว่ากลับยังไม่มีทายาท ไม่มีโอรสและธิดา หมอเทวดาทั้งหลายใช้วิธีมากมายล้วนไม่ได้ผลแม้แต่น้อย แต่เขาทราบดีก่อนหน้านี้แล้ว ว่าต่อให้เขามีความสามารถให้กำเนิดทายาท ก็ไม่อาจให้กำเนิดทายาทได้อยู่ดี

อย่างไรก็ตาม แม้เขาคือจักรพรรดิผู้ปกครองอาณาจักร แต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถรับฟังหรือแก้ปัญหาหนักใจของเขาได้

จนกระทั่งจักรพรรดิมารปรากฎตัว

สำนักจักรพรรดิเหนือถูกทำลาย ในคืนเดียวกันจู่ๆเมืองเทียนชุยก็มียอดฝีมือจำนวนมากทะลักเข้ามา.... ไม่สิ ต้องเรียกว่าสุดยอดของยอดฝีมือ ชั่วข้ามคืนพวกเขาสังหารยอดฝีมือนับสิบๆราย ไม่ปล่อยให้เหลือรอดหนีไปได้ ผู้ที่ตกตายบางคนเป็นถึงขุนนางระดับสูงในราชสำนัก

“คุยหลงจี สิ่งที่เราจักรพรรดิทำลงไป เจ้าพึงพอใจหรือไม่? ตอนนี้ ถึงเวลาของเจ้าแล้ว อย่าได้ทำให้จักรพรรดิผู้นี้ผิดหวัง”

“วางใจได้” กล่าวคำหนักแน่นอย่างยิ่ง ในความสงบและเย็นชาไม่หวั่นไหวต่อความคุกคามอันล้ำลึก

ที่นี่คือราชวังแห่งอาณาจักรคุยชุย บรรยากาศตึงเครียดเนื่องจากการฆาตรกรรมในคืนก่อน ในห้องหนังสือของราชวัง คุยหลงจีจักรพรรดิแห่งคุยชุยใบหน้าสงบราบเรียบ ที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือจักรพรรดิมารที่กำลังหันหลังให้

“จักรพรรดิมาร ท่านอาจแข็งแกร่งกว่าสำนักจักรพรรดิเหนืออยู่หลายเท่า แต่ความน่ากลัวของท่านเหนือล้ำสำนักจักรพรรดิเหนือไปห่างไกล” คุยหลงจีเผยรอยยิ้มอันสงบ สีหน้าแห่งความสุขนี้ไม่ทราบว่าเพราะหลุดพ้นหรือโศกเศร้า

“หนึ่งเจ้าไม่ใช่ศัตรูของเราจักรพรรดิ สองเจ้าเป็นจักรพรรดิที่ดีของปวงชน จักรพรรดิผู้นี้ไม่มีเหตุผลต้องทำร้ายเจ้า ตอนนี้สำนักจักรพรรดิเหนือถูกทำลาย คนของพวกมันที่แทรกซึมในสถานที่ของเจ้าถูกล้างบางจนเหี้ยน เราจักรพรรดิรับรองได้ว่า จะไม่มีคนของสำนักจักรพรรดิเหนือคุกคามเจ้าอีก อย่างไรก็ตาม อย่าได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับจักรพรรดิผู้นี้” จักรพรรดิมารกล่าวคำเย็นเยียบ

“เฮอ เฮอ แน่นอนว่าข้าไม่ลืม หลังจากนี้อีกสามวัน ข้าจะส่งกองทัพไปสู้กับอาณาจักรต้าฟง เชื่อว่าอาณาจักรต้าฟงคงไม่ทันตั้งตัว ย่อมเกิดความปั่นป่วนอยู่ช่วงหนึ่ง อย่างน้อย อาณาจักรเทียนหลงก็พอคลายใจได้บ้าง” คุยหลงจีกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“แล้ว?” จักรพรรดิมารยังคงไม่ขยับ เอ่ยถามเสียงเย็น

คุยหลงจีสีหน้าหม่นหมองลง กล่าวพลางถอนใจ “สามปีหลังจากนี้ ข้าจะทำให้ท่านสมปรารถนา”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” พอได้ยินคำจักรพรรดิมารก็หัวเราะลั่น หันร่างกลับมาพร้อมจ้องลงไปในดวงตา “จักรพรรดิผู้นี้ทราบดีว่าเจ้าไม่เต็มใจ แต่เป็นเพราะเจ้าไร้พลังต่อต้าน จึงได้แต่ยอมจำนน.... อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิผู้นี้มีวิธีเปลี่ยนให้เจ้ายอมเต็มใจ คุยหลงจี เจ้าไม่มีทั้งโอรสและธิดา พี่น้องในสายเลือดยังถูกสำนักจักรพรรดิเหนือจัดการอย่างโหดเหี้ยม เจ้าจึงกลายเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในตระกูล อย่างไรก็ตาม เจ้าย่อมเคยคิดรับบุตรบุญธรรมอยู่บ้าง เพื่อให้สืบทอดราชบัลลังก์ของเจ้า”

คุยหลงจี “......?”

จักรพรรดิมารชำเลืองตาไปด้านข้าง กล่าวไปทางประตูหน้า “จื่อซิน เข้ามา”

ประตูที่ปิดแน่นถูกผลักเปิด เด็กชายอายุ 7-8 ขวบก้าวเข้ามา อายุของเขายังน้อยนัก ทว่าสายตากลับลึกล้ำเหนือธรรมดา ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากอายุเพียงนี้ยังสุขุมไร้ที่เปรียบ นี่คือสุดยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์ เหยียนจื่อซินแห่งตระกูลเหยียน 
[โน๊ต: คนเดียวกับเสี่ยวต้วนจื่อ ที่ปีนหลังคาดูพิมพ์เขียวสำนักจักรพรรดิเหนือ]

“นายท่าน” เหยียนจื่อซินหยุดยืนอยู่ข้างเย่หวูเฉิน แหงนศีรษะมองขึ้นมา และส่งเสียงชัดเจน

จักรพรรดิมารยิ้มบางให้กับเขา กล่าวคำกับคุยหลงจีดูคล้ายเลื่อนลอย “เขาเรียกว่าเซี่ยจื่อซิน คือสุดยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์ในสำนักมารของข้า จักรพรรดิผู้นี้จะให้เขาอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว.... เจ้าวางใจได้ เราจักรพรรดิจะไม่บังคับเจ้า เจ้าจะได้อยู่กับเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากครบหนึ่งเดือนแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมหรือไม่ ทุกอย่างให้ขึ้นอยู่กับเจ้า.... เมื่อเวลานั้นมาถึง ต่อให้เจ้าบอกกับโลกนี้ว่าเขาเป็นบุตรชายแท้ๆของเจ้า ย่อมไม่มีผู้ใดที่จะไม่เชื่อถือ เพราะจักรพรรดิผู้นี้ได้เตรียมการไว้ทุกอย่างแล้ว”

จักรพรรดิมารกล่าวจบก็หายไปในกลุ่มแสงขาว ราชตระกูลคุยชุยตกอยู่ใต้การควบคุมของสำนักจักรพรรดิเหนือมาตลอด จักรพรรดิสามรุ่นตกเป็นหุ่นเชิดของสำนักจักรพรรดิเหนือ จนกระทั่งถึงรุ่นของเขา แม้ว่าอาณาจักรคุยชุยจะยังปกครองโดยตระกูลคุย ทว่าผู้คนล้วนทราบดีว่านี่คือตระกูลคุยคนสุดท้าย ดังนั้น จึงไม่เคยมีผู้ใดเห็นจักรพรรดิคุยชุยผู้นี้ยิ้มแย้ม สามปีก่อนอาณาจักรคุยชุยแสดงท่าทีเป็นมิตรต่ออาณาจักรต้าฟงด้วยตัวเอง ทุกอย่างล้วนบงการโดยสำนักจักรพรรดิเหนือ ไม่อย่างนั้น ไหนเลยอาณาจักรคุยชุยจะไม่เข้าใจสถานการณ์ของสองอาณาจักรที่กำลังตึงเครียด

เผชิญหน้ากับพลังแกร่งกล้าของสำนักจักรพรรดิเหนือ อาณาจักรคุยชุยไร้พลังต่อต้านและดิ้นรน ทำได้เพียงอดกลั้นทุกชั่วรุ่น อิทธิพลในราชสำนักยังถูกควบคุมโดยคนของสำนักจักรพรรดิเหนือ

คุยหลงจีไม่ใช่คนโง่ หนึ่งปีก่อนพลังจากที่เขาได้พบกับจักรพรรดิมาร พวกเขาได้บรรลุข้อตกลงกัน เงื่อนไขของข้าตกลงนั้นคือจักรพรรดิมารต้องช่วยอาณาจักรคุยชุยให้หลุดพ้นจากการควบคุมของสำนักจักรพรรดิเหนือ ทว่าจักรพรรดิคนต่อไปของอาณาจักรคุยชุยจะต้องเป็นคนของจักรพรรดิมาร แม้นี่ไม่ต่างจากเชิญพยัคฆ์ให้ขับไล่จิ้งจอก แต่เขายังคงยืนกรานเลือกจักรพรรดิมารอย่างกล้าหาญ เพราะพวกเขาเกลียดชังสำนักจักรพรรดิเหนือมาทุกชั่วรุ่น ถูกบีบคั้นจนความอดทนเกินขีดจำกัด

มาถึงวันนี้ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เขาเลือกนั้นคือทางเลือกอันชาญฉลาด ประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือรวมถึงคนในสำนักกลายเป็นเถ้าธุลีและหมอกควัน ความเกลียดชังที่คั่งค้างได้ปลดวางลงแล้ว สลายไปพร้อมธุลีและหมอกควันของการระเบิด และจนถึงตอนนี้ จักรพรรดิมารยังคงไม่บีบคั้นเขา

คุยหลงจีเริ่มมองสำรวจเด็กชายอย่างกระตือรือร้น วัยอันเล็กน้อย เป็นคนของสำนักมาร จากดวงตาอันไร้เดียงสา เขาเห็นแววตาทอประกายฉลาดเฉลียว เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในปราดตาแรกที่มองเห็น เขาก็เริ่มถูกพิชิตโดยเด็กชาย เขาพลันเข้าใจว่าจักรพรรดิมารเอาความมั่นใจมาจากไหน

ตราบใดที่ผู้คนในอาณาจักรคุยชุยกินดีหลับอุ่นและอยู่ดี จักรพรรดิจะแซ่อะไรสำคัญด้วยหรือ? หากเด็กชายผู้นี้ขึ้นเป็นจักรพรรดิคนต่อไป สำนักมารที่คอยหนุนหลังย่อมไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้ อาณาจักรคุยชุยยังต้องกลัวศัตรูใด.... นี่เป็นทางเลือกที่ยากอย่างนั้นหรือ?

หลังจากนั้นไม่กี่วัน อาณาจักรคุยชุยได้ส่งกองทัพบุกขึ้นทางเหนือโดยไร้สัญญาณเตือน อาณาจักรต้าฟงเมื่อได้รับข่าวก็ตกใจอย่างหนัก เพราะก่อนหน้านั้นอาณาจักรคุยชุยแสดงท่าทีอันดี ทางใต้ของอาณาจักรต้าฟงจึงป้องกันเพียงหละหลวม กำลังส่วนใหญ่ถูกส่งไปทางตะวันออก ดังนั้นแนวป้องกันทางใต้จึงถูกกองทัพคุยชุยทำลายลงอย่างง่ายดาย ในคืนนั้นอาณาจักรต้าฟงส่งกองทัพไปรับมือ เพียงไม่นานก็สามารถต้านยันได้มั่นคง ทว่าอาณาจักรคุยชุยส่งทหารบุกมาได้ไม่ถึงสัปดาห์ อาณาจักรชางหลานที่เงียบงันก็ส่งกองทัพบุกมาจากทางเหนือ อาณาจักรต้าฟงราวกับถูกฉายภาพเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่สามอาณาจักรร่วมมือกันต่อต้าน เมื่อข่าวนี้เดินทางมาถึง อาณาจักรเทียนหลงตั้งแต่สูงยันต่ำล้วนปิติยินดี แรงกดดันอันหนักอึ้ง และเงาล่มสลายของอาณาจักรที่พาดผ่านทุกค่ำเช้าได้หายไป

เมื่อ 20 กว่าปีก่อน สามอาณาจักรผนึกกำลังขับไล่การรุกรานของอาณาจักรต้าฟง ดังนั้น เหตุใดยามนี้จะทำไม่ได้? อาณาจักรเทียนหลงย้ายความกดดันสาหัส ผลักกลับไปยังอาณาจักรต้าฟงด้วยการบุกของอาณาจักรคุยชุยและชางหลาน ตอนนี้ภัยคุกคามใหญ่หลวงได้สลายไป สถานการณ์จึงกลับสู่ความมั่นคงในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน

กำลังทัพของอาณาจักรต้าฟงถูกแบ่งออกเป็นสามทิศ ทว่าต้าฟงอย่างไรก็คือต้าฟง ไม่อาจประมาทดูถูกได้ ทิศใต้และทิศเหนือต้านยันกันเพียงไม่นาน สงครามก็มุ่งเน้นมาที่ชายแดนอาณาจักรเทียนหลงอีกครั้ง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุด ฤดูหนาวก็ค่อยๆย่างกรายเข้ามาเยือน อากาศเย็นเยือกไม่ได้พัดพาไฟสงครามให้ดับวอด อาณาจักรเทียนหลงและอาณาจักรต้าฟงยังคงรบกันอย่างต่อเนื่อง อาณาจักรต้าฟงกุมความได้เปรียบด้านกำลังพลเหมือนเช่นเคย ทว่ารบกันมาหลายครั้ง อาณาจักรต้าฟงกลับไม่อาจรุกคืบสู่อาณาจักรเทียนหลงได้แม้แต่เพียงครึ่งก้าว ตรงกันข้ามกลับถูกบีบคั้นให้ล่าถอยทีละก้าว ตลอดเวลาหลายเดือนแห่งสงคราม อาณาจักรเทียนหลงราวกับมีดวงตาบนฟ้า คอยมองการเคลื่อนไหวของกองทัพต้าฟงทุกฝีก้าว ถูกซ้อนแผนซุ่มโจมตีอยู่เสมอ และที่ทำให้กองทัพอาณาจักรต้าฟงโอดครวญอย่างหนักก็คือ อาณาจักรเทียนหลงมักลอบเผาเสบียงกรัง คลังเสบียงเปลี่ยนที่เก็บแต่ละครั้งมักถูกหาพบ และไม่วายถูกเผาทิ้งอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการเผาแต่ละครั้งจะสังหารคนลอบวางเพลิงได้ไม่น้อย แต่เสบียงที่เสียไปย่อมผลาญกำลังใจของทหาร อาณาจักรต้าฟงกดดันจนหายใจลำบาก ได้แต่อดทนและอดทน ขวัญกำลังใจและเรี่ยวแรงในการรบก็ตกลง รบราแต่ละครั้งจึงมักพ่ายแพ้

สำนักมารไม่ได้สอดมือเข้ายุ่งในสงครามครั้งนี้มากนัก พวกเขาเพียงส่งข้อมูลพื้นฐานให้กับกองทัพเทียนหลง แม้ว่าด้วยพลังอำนาจของพวกเขา หากหวังกำจัดกองทัพต้าฟงให้เหี้ยนย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่สงครามนี้ย่อมปลุกหัวใจผู้คนในอาณาจักรเทียนหลงให้เปี่ยมไปด้วยพลัง การต่อสู้เพื่อตนเอง ร่างกายที่หล่นร่วงในสงครามย่อมฝากไว้ในประวัติศาสตร์ ส่งทอดถึงอนุชนรุ่นหลัง เป็นแสงอำไพในประวัติศาสตร์เทียนหลง หากพวกเขาสอดมือเข้ายุ่งโดยตรง ทุกอย่างจะเสื่อมสลายไปจนหมดสิ้น

ชูเกอเสี่ยวหยูผู้ไม่ปิดบังสถานะของตนเองอีกต่อไป นางได้แสดงพรสวรรค์แท้จริงในสงครามนี้ อาณาจักรเทียนหลงและอาณาจักรต้าฟงล้วนตื่นตะลึงในผลงานนาง ชัยชนะที่รายงานมาสู่เมืองเทียนหลงมักมีชื่อของนาง ด้วยประสบการณ์การรบของเย่หนู่ ผสานกับกลยุทธ์อันแพรวพราวของชูเกอเสี่ยวหยู จึงร่วมกันขับดันอาณาจักรต้าฟงให้ล่าถอยได้ทีละก้าว เย่หนู่ยิ่งมายิ่งชมชอบชูเกอเสี่ยวหยู ครั้งหนึ่งยังถึงขั้นเอ่ยปากอย่างกล้าหาญ ว่าชีวิตนี้เขาจะต้องให้เด็กสาวผู้นี้แต่งเข้าสู่ตระกูลเย่ให้จงได้

และเหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงของชูเกอเสี่ยวหยูระบือลือลั่นอย่างแท้จริง คือในช่วงสุดท้ายของสงคราม ในวันนั้นหิมะสุดท้ายของเดือนสามได้ตกลง หิมะโปรยทั่วปฐพีจนปกคลุมไปด้วยสีขาว ชูเกอเสี่ยวหยูจัดแบ่งทัพเป็น 36 กอง อำพรางด้วยชุดหิมะ ซุ่มสังหารกองทัพต้าฟงจนพินาศย่อยยับนับไม่ถ้วน ระหว่างหลบหนีพวกมันพะว้าพะวังมองดูเบื้องหลังอยู่ตลอดเวลา หลังจากเหตุการณ์วันนั้น กองทัพต้าฟงได้ถอยไปไกลกว่าร้อยลี้ ถูกขับไล่ออกจากดินแดนเทียนหลงจนหมดสิ้น ชื่อของขุนพลปิงหยุนได้สะเทือนไปทั่วโลก ประชาชนเริ่มเรียกขานสมญาให้นางว่า ‘เทพสตรีบัญชาทัพ’ ผลลัพธ์ของสงครามครั้งนั้นนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่หัวใจผู้คนจำนวนมาก

เยว่หานตงขุนพลบูรพาแห่งต้าฟงได้แต่ถอนหายใจ ครานี้อาณาจักรเทียนหลงมิได้มีเทพกระบี่คอยช่วยเหลือเหมือนครั้งอดีต ทว่ากลับปรากฎเทพสตรีบัญชาทัพ.... นี่เป็นหญิงสาวอายุเพียง 20 ปี ชูเกอเสี่ยวหยูธิดาแห่งชูเกอหวูอี้ นางทำให้อาณาจักรต้าฟงต้องหวั่นกลัว ถึงขั้นต้องส่งคนลอบสังหารอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่อาจทำอันใดนางได้ เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของสงคราม เขาได้แต่ทอดถอนใจในความพ่ายแพ้ ถอนหายใจว่าเหตุใดสตรีปานนี้ถึงไม่เกิดอยู่ในต้าฟง

หลังจากทำสงครามมาหลายเดือน ไม่เพียงไม่ได้ครอบครองแผ่นดินแม้แต่น้อย แต่ยังพ่ายแพ้ยับเยินอย่างต่อเนื่อง ความมั่นใจเริ่มหดหาย ความทะเยอทะยานค่อยๆสลายไป



<<<PREV    .    NEXT>>>