วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 471

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 471 งานสมรสครั้งใหญ่ (2)

เสียงบริเวณโดยรอบค่อยๆสงบลง นางก้าวเท้าตรงเข้าไปในห้องโถงที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหรา นางลอบเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย ที่นี่คือห้องโถงใหญ่ของตระกูลเย่สำหรับคุยงานทางการ ทว่าสำหรับงานสมรสครั้งนี้ การตกแต่งภายในถูกเปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้ ในสายตาที่มองเห็น กำแพงสี่ด้านถูกถูกสลักด้วยรูปมังกรคู่คาบไข่มุก พวกมันถูกประดับด้วยมุกหายากมากนับไม่ถ้วน พรมแดงพาดผ่านไปยังใจกลางห้องโถง สุดปลายเป็นผืนพรมทอง แสงทองคำระยับเรืองรอง สะท้อนต้องกับหยกเขียวในห้องโถงละลานตา

ที่แห่งนี้ กลายเป็นดุจพระราชวังแต่งงานสำหรับนาง

ที่ตำแหน่งสูงสุดของห้องโถง มีเก้าอี้สามตัวประดับตกแต่งอย่างดีตั้งอยู่ มีเย่เว่ยที่ยิ้มบางเต็มใบหน้า และหวังเวิ่นชูที่ฉีกยิ้มจนแทบถึงหูนั่งอยู่ มองดูคนทั้งสองก้าวเข้ามา เก้าอี้ไม้จันทร์แดงวางแยกออกเป็นสองฝั่งของผืนพรมแดง วางเรียงรายด้านซ้ายขวาของห้องโถงด้านละสามแถว ผู้คนนั่งอยู่จนเต็ม ไม่ว่าผู้ใดล้วนเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ คือเหล่าคนผู้ทรงอำนาจและร่ำรวย อีกทั้งไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุ

ฮั่วฉุ่ยโหรวถูกประคองแขนเดินมาข้างหน้าโดยเสี่ยวอวี้ จากนั้นหยุดยืนอยู่เคียงข้างเย่หวูเฉิน นางลดมือลงกุมชายเสื้อของตัวเองอย่างเงียบงัน ทันใดนั้นมีมืออบอุ่นกุมมือนางไว้ ฮั่วฉุ่ยโหรวพลันร่างชะงักทื่อ ก้มศีรษะลง มือนุ่มชุ่มเหงื่อกุมมือเย่หวูเฉินไว้อย่างเงียบงัน

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว....

เย่หวูเฉินพาฮั่วฉุ่ยโหรวเดินไปเบื้องหน้าต่ออีกหลายก้าว เวลานี้ทุกสติของนางจดจ่ออยู่ตรงสัมผัสมือที่เย่หวูเฉินกุมจับ เสียงผู้คนที่ดังอยู่รอบราวกับห่างออกไป ในห้องโถงสงบลงอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่ทั้งสองกำลังก้าวเท้า ฉับพลันมีเสียงกระจ่างใสไพเราะดังขึ้น นี่คือเสียงเอ่ยขานของนักพิธีการระดับสูงสุด เขาเป็นผู้กล่าวคำดำเนินพิธีในงานแต่งของเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ยามนี้เขากล่าวสิ่งใดฮั่วฉุ่ยโหรวไม่ได้ยินชัดเจน นางจดจ่ออยู่เพียงสัมผัสฝ่ามือขณะสืบเท้าไปข้างหน้าเท่านั้น

มือบีบกระชับส่งสัญญาณให้นางหยุดเท้า เสียงกล่าวดำเนินพิธียังหยุดลงเช่นเดียวกัน นางเงยศีรษะขึ้น มองผ่านม่านคลุมหน้าทองคำ สบสายตากับหวังเวิ่นชูที่ส่งยิ้มมาให้ จากนั้นค่อยๆก้มลงอย่างเงียบงัน

“คำนับฟ้าดิน!”

เย่หวูเฉินดึงมือนางเล็กน้อย นำนางหันร่างคำนับต่อฟ้าดิน

“คำนับบิดามารดา!”

ร่างกายหันกลับมาช้าๆ เย่หวูเฉินนำนางคำนับไปทางเย่เว่ยและหวังเวิ่นชูด้วยความนอบน้อม เย่เว่ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หวังเวิ่นชูยิ้มด้วยความปิติดีใจ กึ่งลุกกึ่งนั่งด้วยความตื่นเต้น ในปากฉีกยิ้มไม่หยุด

“สามีภรรยาคำนับกันและกัน!”

ร่างของทั้งสองหันเข้าหากัน จากนั้นมือที่กุมนางไว้ได้ปล่อยออก นางชำเลืองขึ้นมองสบกับสายตาอันชวนลุ่มหลง นี่คือบุรุษคนแรกที่นางงมงาย และจะเป็นบุรุษสุดท้ายที่อยู่เคียงคู่กับนางไปจนชั่วชีวิต

สองฝ่ายสบประสานสายตา จากนั้นก้มลงคำนับต่อกัน ในห้องโถงพลันสนั่นกึกก้องด้วยเสียงปรบมือ พร้อมทั้งเสียงหัวเราะยินดีอันอบอุ่น

“เฉินเอ๋อร์.... ในที่สุดเจ้าก็แต่งงานแล้ว” หวังเวิ่นชูลุกขึ้นในที่สุด มือปาดน้ำตาแห่งความสุขที่มุมหางตาด้วยผ้าเช็ดหน้าไม่หยุดหย่อน

เย่เว่ยยิ้มและพยักหน้า “เฉินเอ๋อร์ โหรวโหรวเป็นภรรยาดีที่หาได้ยากยิ่งในโลก ต่อไปเจ้าต้องปฏิบัติต่อนางให้ดี”

เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มบางและพยักหน้า

ฮั่วเจิ้นเทียนที่อยู่ด้านข้างไม่สนใจสถานการณ์ ผุดลุกขึ้นยืนฉับพลันและส่งเสียงดังลั่น “นับจากนี้ เจ้าเป็นลูกเขยของข้าอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ทำผิดต่อลูกสาวข้า แต่ในฐานะพ่อตาข้ามีคำที่ต้องกล่าว.... หากวันใดข้าได้ยินว่าลูกสาวของข้าถูกรังแก ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิมาร ข้าก็ขอยืนยันว่าจะไม่มีวันอภัยให้กับเจ้า!”

‘จักรพรรดิมาร’ สองคำนี้ทำให้บรรยากาศพลันเงียบกริบ ทว่าทันใดเสียงหัวเราะยินดีพลันดังขึ้น เป็นเสียงของสำนักมาร เช่นเดียวกับสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ คนส่วนใหญ่ในห้องโถงคือขุนนางระดับสูงสุดในราชสำนักเทียนหลง ทว่า ‘จักรพรรดิมาร’ สองคำนี้หนักหนาเกินไป พวกเขาต้องตั้งใจลืมสถานะนี้ไว้ และนึกเพียงว่าเขาคือนายน้อยตระกูลเย่ มิฉะนั้นตนเองจะไม่อาจพูดคุยและหัวเราะต่อหน้าจักรพรรดิมารได้ ดังนั้น พอได้ยินฮั่วเจิ้นเทียนกล่าวคำนี้ออกมา พวกเขาจึงพลันชะงักนิ่งมองฮั่วเจิ้นเทียนผู้หาญกล้ากล่าววาจาปานนี้ต่อหน้าจักรพรรดิมาร ทว่าจักรพรรดิมารยังคงยิ้มด้วยความเคารพ ทำให้หัวใจของพวกเขาคลายออก ความรู้สึกตึงเครียดก่อนหน้านี้พลันสลายไปหมดสิ้น

เย่หวูเฉินเร่งผงกศีรษะ “ถ้อยคำของท่านพ่อตาข้าย่อมจดจำไว้.... หากวันใดลูกเขยอย่างข้าทำผิดต่อโหรวโหรว ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพ่อตาลงมือ ลูกเขยอย่างข้าจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นแน่”

ฮั่วเจิ้นเทียนตบมือฉาดและหัวเราะ “ประเสริฐ! ประเสริฐ! สมแล้วที่เป็นลูกเขยของข้า เจ้ากล่าวถึงเพียงนี้ข้าก็วางใจแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....”

จากภาพที่เห็น วันนี้ฮั่วเจิ้นเทียนอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในขณะเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากกำลังหมั่นไส้ ลูกสาวของเขาได้แต่งงานกับจักรพรรดิมาร ตระกูลฮั่วของเขาพุ่งทะยานขึ้นอีกขั้นเพราะลูกสาว.... เหตุใดลูกสาวของพวกตนถึงไม่มีวาสนาเช่นนี้บ้าง!

น่าอิจฉาเกินไปแล้ว อ๊าก.....

เสียงประโคมดนตรีอันไพเราะยังคงดังแผ่วให้ได้ยิน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีคำนับ ฮั่วฉุ่ยโหรวก็ถูกประคองพาไปยังสวนของเย่หวูเฉิน ติดตามมาด้วยเสี่ยวอวี้ นางถูกพาเข้าไปนั่งบนเตียงในห้องหอ ภายในห้องเงียบงันอย่างมาก มีเพียงเสียงฝีเท้าบางเบาให้ได้ยิน เช่นเดียวกับเสียงลมหายใจ รวมทั้งเสียงหัวใจเต้น เขายิ้มมองยังนาง นางเข้าใจความหมายของแววตานั้น จากนั้นเขาก้มลงกระซิบ “รอข้า....”

เบื้องหน้าเป็นสีแดงกระจ่าง พรมแดงผืนใหญ่ปักเป็นลายมังกรคู่หงส์ทะยานเมฆ พร้อมด้วยตัวอักษรมงคลขนาดใหญ่สองคำ ผ้าม่านไหมในห้องล้วนเป็นสีแดง เทียนแดงสองเล่มตั้งบนเชิงทองคำงามระยับ เชิงเทียนทองคำสลักเป็นลายหงส์คู่มังกรเช่นเดียวกัน แสงเทียนวูบไหวสะท้อนลายทองบนผ้าม่าน งดงามดุจภาพความฝัน สีสันในห้องแตกต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ผู้ใดที่ได้เห็นต้องพร่าเลือนดุจอยู่ในมายา

“เสี่ยวอวี้ เจ้าอยู่รึเปล่า?” ฮั่วฉุ่ยโหรวยังคงกระวนกระวาย นางเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว

“เจ้าค่ะ คุณหนู?” เสี่ยวอวี้ที่ปกป้องอยู่ข้างๆขานตอบ

“เจ้านี่....หนักจังเลย เอาออกได้หรือเปล่า?” ฮั่วฉุ่ยโหรวเอื้อมมือขึ้นจับมงกุฎหงส์ที่ร้อยด้วยม่านทองคำ มงกุฎหงส์ค่อนข้างมีน้ำหนัก นางสวมไว้เป็นเวลานาน จึงเริ่มรู้สึกปวดที่ลำคอแล้ว

“ไม่ได้นะ ไม่ได้” เสี่ยวอวี้รีบเข้ามายื่นมือช่วยประคองมงกุฎหงส์ “สิ่งนี้ต้องให้นายน้อยเย่ถอดออกเท่านั้น หากถอดออกก่อนจะไม่เป็นมงคลอย่างมาก”

“อื้ม” ฮั่วฉุ่ยโหรวตอบกลับเสียงแผ่ว จากนั้นวางมือลงไม่ขยับมงกุฎหงส์อีก ผ่านไปครู่หนึ่ง นางเอ่ยถามอีกครั้ง “เขา.... จะกลับมาเมื่อไหร่?”

“อืม.... นายน้อยเย่ต้องไปรับจักรพรรดินีก่อน คงใช้เวลานานมาก.... เสร็จแล้วยังต้องดื่มสุรามงคล นั่นทำให้ต้องใช้เวลาอีก.... บางที เขาอาจจะกลับมาอีกครั้งในตอนค่ำ” เสี่ยวอวี้กล่าวด้วยความลังเล

ในตอนค่ำ.... แต่นี่เพิ่งผ่านยามเที่ยงมาอยู่เลย

“ข้ากระหายจัง อยากดื่มน้ำบ้างสักหน่อย”

“....คุณหนู ก่อนนายน้อยจะกลับมา เป็นการดีสุดหากไม่ดื่มกินสิ่งใด มิฉะนั้นจะไม่เป็นมงคล” เสี่ยวอวี้กล่าวอย่างนุ่มนวล

“อื้ม” นางไม่ขัดขืนใดๆอีกครั้ง และรอคอยอย่างเงียบงัน

ขบวนรับเจ้าสาวของตระกูลเย่มุ่งออกจากประตูหน้าอีกครั้ง คราวนี้ตรงไปยังทิศทางของราชวัง หลงฮวงเอ๋อร์ไม่ได้แต่งงานในวังของตัวเอง ยามนี้นางกำลังรออยู่ในวังหงส์เหินที่นางอาศัยมาตั้งแต่เด็ก ที่นี่ยังเป็นสถานที่แรกที่เขากอดนางไว้ นับจากเวลานั้นนางจึงเริ่มมีใจให้กับเขา และยิ่งมายิ่งหนาแน่นขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว

ทั่วราชวังประดับตกแต่งด้วยสีสันอันเดียวกัน วันนี้เป็นวันอภิเษกสมรสครั้งใหญ่ของจักรพรรดินี ทั่วทั้งเมืองล้วนเฉลิมฉลอง ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนหลงได้รับการอภัยโทษ หญิงสาวมากมายที่ไม่ค่อยออกบ้านนัก ต่างเดินทางมาจากที่ไกล หวังชื่นชมจักรพรรดินีและเผื่อว่าตนจะได้พบบ้านในอนาคตที่ดี

วันนี้หลงฮวงเอ๋อร์ไม่ได้แต่งกายในชุดจักรพรรดินี ผมยาวดำนุ่มมัดเป็นมวยไว้ด้านหลัง สวมใส่ในชุดเจ้าสาวสีแดงปักด้วยลายเมฆ เอวรัดด้วยผ้าลายเดียวกัน ขับเน้นองค์เอวให้บางยิ่งขึ้น ห้อยไว้อีกครั้งด้วยเข็มขัดหยก ร้อยเข็มขัดหยกด้วยพู่มุกอันวิจิตร ดวงหน้างดงามและสูงส่งท่ามกลางสีแดง ใบหน้าบอบบางนี้ทำให้ผู้คนพลันตระหนักว่านางคือดรุณีเยาว์วัย.... นางกลายเป็นจักรพรรดินีคนแรกของอาณาจักรเทียนหลง ด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น

นางออกจากราชวังและมาถึงตระกูลเย่ตามเส้นทางพรมแดง ใต้การประคองแขนนางลงมาจากเกี้ยว ข้ามโซ่ทองเหลืองและสืบเท้าก้าวเข้าสู่ประตูตระกูลเย่ด้วยรอยยิ้ม ลักษณะของนางต่างจากฮั่วฉุ่ยโหรวผู้บอบบางแต่กำเนิด นางเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขมากกว่าความเอียงอาย วันนี้ไม่ใช่วันที่นางเฝ้าฝันมาตลอดหรอกหรือ?.... คราแรกนางโกรธที่เย่หวูเฉินแต่งงานกับฮั่วฉุ่ยโหรวก่อน จากนั้นพลันตระหนักได้ว่าไม่ควรคิดเช่นนี้ เพราะฮั่วฉุ่ยโหรวหมั้นหมายกับเขาเป็นคนแรก อายุยังมากกว่านาง แม้นางเป็นจักรพรรดินี แต่ต่อไปเมื่ออยู่ในตระกูลเย่ ฮั่วฉุ่ยโหรวย่อมเป็นพี่สาวของนาง ดังนั้นเรื่องทุกอย่างย่อมต้องให้พี่สาวมาก่อน

หากนางยังคงเป็นองค์หญิงเฟยฮวงผู้ดื้อรั้นหัวแข็งเหมือนเช่นเมื่อสามปีก่อน วันนี้นางคงร้องไห้ส่งเสียงเอะอะ บุ้ยปากขึ้นสูงด้วยความไม่พอใจ ทว่าสามปีผ่านผันนางเปลี่ยนไปเพราะความโศกเศร้า เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง หัวใจนางจึงแข็งแรงขึ้น.... ตราบใดที่ได้อยู่เคียงข้าง เห็นเขาปลอดภัยและได้แต่งงานเป็นภรรยา.... เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญอีก

ที่ติดตามหลงฮวงเอ๋อร์มามิได้มีเพียงกลุ่มนางกำนัลเท่านั้น ยังมีอีกหนึ่งคนที่ตามมาท้ายขบวนคือเฮยเซียง เขารับหน้าที่อารักขาหลงฮวงเอ๋อร์จนถึงประตูหน้าของตระกูลเย่ หลังจากหลงฮวงเอ๋อร์เข้าประตูไปแล้ว เขาแทบไม่อาจอดทนอยากตะโกนและวิ่งเข้าไป ปรารถนาพบกับเหล่าพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว

เย่หวูเฉินกุมมือของหลงฮวงเอ๋อร์เดินบนพรมแดงตรงไปเบื้องหน้าอีกครั้ง หลงฮวงเอ๋อร์ลอบมองเขาหลายครั้งด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังบีบกระชับมือที่เขากอบกุม ระหว่างการกล่าวขานของนักพิธีการ ทั้งสองคำนับฟ้าดิน คำนับบิดามารดา ท่ามกลางสายตาของเหล่าสักขีพยาน สุดท้ายทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยาด้วยการคำนับต่อกัน จักรพรรดินีเพียงหนึ่งเดียวแห่งอาณาจักรเทียนหลงได้แต่งงานกับจักรพรรดิมารในวัยเพียง 16 ปี บุรุษผู้เป็นสวรรค์แท้จริงสำหรับนาง

ในเมืองเต็มไปด้วยเสียงประโคมดนตรี มีทั้งเสียงขับร้องและเต้นรำ ผู้คนเฉลิมฉลองให้กับคู่บ่าวสาวที่เหมาะสมกันราวสวรรค์เลือกไว้



<<<PREV    .    NEXT>>>