วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561

สวรรค์มวลดาว ตอนที่ 127

Font size: S , M , L , L+ , L++
ตอนที่ 127 สตรีลึกลับ

หลงหยินเดินกลับไปกลับมาอยู่ไม่สุข หมอหลวงอีกคนก้าวเข้ามาสีหน้าย่ำแย่  เขาจับชีพจรของจักรพรรดินี พิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายศีรษะด้วยความกลัว เขาเอ่ย “บ่าวผู้ต่ำต้อยไร้ความสามารถ ข้าไม่เคยเห็นหรือหรือเคยได้ยินโรคภัยเช่นนี้มาก่อน...”

วันนี้หลงหยินได้ยินประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ไสหัวไป! ไร้ประโยชน์! พวกเจ้าทุกคนมันไร้ประโยชน์!”

หมอหลวงออกไปด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน

หลินขวงและหลินซานยืนอยู่ที่นี่ตลอดทั้งบ่าย สีหน้ากังวลตลอดเวลา พวกเขาไม่อาจหาสาเหตุของอาการประชวรประหลาดของจักรพรรดินีหลินซิว ตอนนี้พวกเขาได้แต่หวังว่าจะมีแพทย์ปาฏิหาริย์มารักษานาง หากหลินซิวตายไป ผู้ที่ต้องทนแบกรับการสูญเสียนี้ก็มีตระกูลหลิน

“เสร็จพ่อ โปรดอย่ากังวล มีหมอฝีมือดีมากมายในเมือง พวกเขาต้องรักษาอาการประชวรของเสด็จแม่ได้แน่” บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวปลอบโยน เขาอายุประมาณ 16-17 ปี เครื่องแต่งกายหรูหรา ชื่อของเขาคือ หลงเจิ้งเยว่ เขาเป็นบุตรคนที่สองของหลินซิว และเป็นน้องชายของหลงเจิ้งหยาง

“หมอฝีมือดีอะไรกัน? พวกมันทั้งหมดเป็นพวกต้มตุ๋นทั้งนั้น!” หลงหยินแค่นเสียงเย็นชาด้วยโทสะ ความเกรี้ยวกราดของเขาทำให้หมอคนใหม่ที่พึ่งเข้ามาหวาดกลัว

หลินซิวล้มป่วยอย่างเฉียบพลันในตอนเที่ยง นางล้มลงกับพื้นราวสำลีอ่อนโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ผิวของนางกลายเป็นคล้ำลง จากนั้นค่อยๆเข้มขึ้นทีละน้อย เหล่านางกำนัลต่างตกใจและรีบไปตามหมอหลวงมาดู จากนั้นรายงานให้องค์จักรพรรดิ เมื่อหมอหลวงทั้งหมดตรวจดูอาการต่างไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้ จากชีพจรของนางเพียงทราบว่าพลังชีวิตของนางกำลังเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว และนางจะอยู่ได้อย่างมากถึงวันพรุ่งนี้หากไม่ได้รับการรักษาใดๆ ด้วยเหตุนี้ หลงหยินจึงเรียกตัวเหล่าหมอมีชื่อทั้งหมดในเมืองมา รวมถึงบรรดาหมอที่เกษียนออกจากวังไปแล้ว

หลงเจิ้งเยว่ส่ายศีรษะไม่ทราบทำอย่างไร เขาดึงชายเสื้อหลงเจิ้งหยางแล้วกล่าว “เสด็จพี่ โปรดปลอบเสด็จพ่อด้วยอีกแรง”

หลงเจิ้งหยางสีหน้าสงบ แต่ภายในใจนั้นสั่นไหว เมื่อเห็นหมอคนใหม่ที่เข้ามามีสีหน้าหวาดกลัวและส่ายศีรษะ หลงเจิ้งหยางลอบถอนหายใจ เขาก้าวไปอยู่ข้างๆหลงหยินแล้วกล่าว “พระบิดา เวลานี้มีชีวิตของเสด็จแม่เป็นเดิมพัน เรื่องใหญ่เช่นนี้โปรดอย่าได้ลังเล เราควรส่งคนไปเชิญสำนักจักรพรรดิใต้ให้ช่วยเหลือ พวกเขามียอดฝีมืออยู่มากมาย บางทีอาจมีทางรักษา”

เมื่อได้ยินชื่อสำนักจักรพรรดิใต้ หลินขวงและหลินซานดวงตาเป็นประกาย พวกเขาระทมสิ้นหวังและอยากคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ “หากสำนักจักรพรรดิใต้ต้องการช่วยเหลือ พวกเราตระกูลหลิน ยินดียอมรับทุกเงื่อนไข”

หลงหยินเดินกลับไปมาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาเดินออกไปโดยไม่กล่าวคำ สักพักมีขันทีขี่ม้ามุ่งหน้าออกจากวัง ตรงไปที่บ้านหมอกฝันโดยไม่อยุดพัก

...........................

บ้านหมอกฝัน

“องค์หญิง หลงหยินให้คนนำจดหมายมาส่งถึงท่าน โปรดดูจดหมาย” สตรีคนหนึ่งคุกเข่าเบื้องหน้าฉุ่ยเมิ่งฉานด้วยความเคารพ ในมือถือม้วนกระดาษสีทอง ในสำนักจักรพรรดิใต้กระทั่งคนที่มีฐานะต่ำศักดิ์ที่สุดก็ยังมีเกียรติเหนือล้ำในเหล่าคนธรรมดา นางเรียกชื่อขององค์จักรพรรดิโดยตรง

หญิงสาวที่ชื่อหลิงเอ๋อร์ยืนอยู่เบื้องหลังฉุ่ยเมิ่งฉาน นางเดินมารับจดหมายแล้วนำไปวางเบื้องหน้าฉุ่ยเมิ่งฉาน หลังจากเปิดจดหมายอ่าน ฉุ่ยเมิ่งฉานขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวพึมพำ “เขาเคยเปรยไว้ก่อนหน้านี้ว่าจักรพรรดินีจะป่วยหนักและไม่มีหมอหลวงคนใดรักษาได้ ตอนนี้เรื่องราวเป็นไปตามที่เขาทำนาย เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือเขา”

“เสี่ยวเยว่ ไปบอกคนของเขาที่นำจดหมายนี้มาส่งว่า เทพโอสถของสำนักจักรพรรดิใต้เดินทางมาที่เมืองเทียนหลงอย่างประจวบเหมาะพอดี เพียงแต่เขาเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและยังไม่อาจทำการรักษาได้ พรุ่งนี้เช้าเขาจะเข้าวังหลวงด้วยตนเอง”

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวที่ชื่อเสี่ยวเยว่ถอยออกไปอย่างเคารพ

“หลิงเอ๋อร์ เรียกท่านปู่เทพโอสถให้ข้าที” ฉุ่ยเมิ่งฉานเอ่ย

หญิงสาวพยักหน้าแล้วออกไปด้วยฝีเท้าที่สงบ เพียงไม่นาน ร่างซีดขาวก็ปรากฎตัวพร้อมกับเสียงหัวเราะสุภาพที่ได้ยินไปทั่วห้อง “อยู่จนชราถึงป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้ามายังสถานที่มีแสงไฟแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

ชายชราผู้นี้มีสีขาวทั่วตัวราวกับเทพเซียน ทั้งเสื้อผ้า เส้นผม และหนวดเครา เขามีอัธยาศัยไมตรีดี มองแวบแรกเขาเหมือนชายชราทั่วไป แต่เมื่อมองพินิจจะเห็นว่าเขาดูอ่อนกว่าวัยมาก แม้ว่าเส้นผมทั้งหมดเป็นสีขาว ดวงตายังคงใสและกระจ่างราวผิวน้ำ ผิวพรรณไม่ซีดเซียว ผู้ที่ได้มองต่างรู้สึกนับถือ

คนผู้นี้รู้จักกันในนาม “ปู่เทพโอสถ” แห่งสำนักจักรพรรดิใต้ ชื่อของเขาคือ ฉุ่ยหนานเหอ และอายุของเขาเกือบครบหนึ่งร้อยปี ไม่เพียงเขาเป็นปรมาจารย์ด้านโอสถ เขายังเป็นยอดนักเวทย์ธาตุแสง

เขาหัวเราะพลางลูบเครา “ชายชราผู้นี้ไม่ได้พบองค์หญิงมานานหลายปี ข้าปรารถนาพบท่านมานาน ไม่ทราบว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง องค์หญิง?”

“ท่านปู่ เมิ่งฉานก็คิดถึงท่านเช่นกัน โปรดอภัยให้ข้าที่ทำให้ท่านต้องลำบากเดินทางข้ามเขาตลอดวันและคืนเพื่อมาที่นี่” แม้ว่าฉุ่ยเมิ่งฉานจะยังคงนั่งอยู่หลังม่านและไม่ลุกขึ้นยืน น้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความเคารพ ในปัจจุบัน ฉุ่ยหนานเหอเป็นผู้ที่มีลำดับอาวุโสสูงสุดในสำนักจักรพรรดิใต้ แม้แต่บิดาของนางยังต้องแสดงความสุภาพอย่างมากเมื่อพบเขา

“ข้าไม่คู่ควรรับคำขอโทษจากท่าน องค์หญิง ข้าไม่ได้ยืดเส้นและกระดูกมานาน ตอนนี้ได้ออกมาเดินทางเยี่ยมชมทัศนียภาพเพื่อมาหาองค์หญิง ไม่ทราบว่าองค์หญิงต้องการข้าช่วยเหลือในเรื่องใด?” ฉุ่ยหนานเหอยิ้มอย่างสุภาพ เขาเชื่อว่าฉุ่ยเมิ่งฉานให้เขาเดินทางไกลมาย่อมมีเรื่องสำคัญ

“เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านปู่เทพโอสถ” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “จักรพรรดินีแห่งเทียนหลง หลินซิว ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรงและหมอหลวงไม่สามารถรักษาได้ ถึงแม้เรื่องนี้สำนักจักรพรรดิใต้ของพวกเราไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว แต่การล้มป่วยของหลินซิวเกี่ยวข้องกับบุคคลที่คัญมากผู้หนึ่ง ดังนั้น ข้าจึงอยากให้ท่านปู่เทพโอสถวินิจฉัยอาการของจักรพรรดินี ระบุและหาสาเหตุของโรคนั้น ด้วยความสามารถของท่านปู่เทพโอสถ และสมญาอันดับหนึ่งในใต้หล้าเทพโอสถ ย่อมไม่มีโรคใดที่หลุดรอดสายตาท่านได้”

ฉุ่ยหนานเหอผงกศีรษะ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เรื่องที่องค์หญิงจัดการย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา โปรดวางใจข้าได้ แต่ว่า” เขาส่ายศีรษะและฝืนยิ้ม “องค์หญิง ประโยคสุดท้ายที่ท่านกล่าวอาจไม่ถูกต้องนัก แม้ว่าข้าจะพอมีฝีมือการรักษา แต่สมญา ‘อันดับหนึ่งในใต้หล้าเทพโอสถ’ นั้นข้าไม่อาจรับไว้ได้ ทวีปเทียนเฉินซ่อนยอดพรสวรรค์ไว้มากมาย ผู้มีความสามารถมหัศจรรย์สามารถพบได้ในทุกที่ ยิ่งพวกเขามีอายุยืนยาว ความสามารถก็ยิ่งสูงล้ำ ข้ารู้สึกราวกับตนเองยังร่ำเรียนมาน้อย องค์หญิง ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อห้าปีก่อน ขณะที่ข้าออกไปท่องเที่ยวนานนับเดือน ข้าพบกับสตรีผู้หนึ่งที่เหมือนอายุราวยี่สิบปี ตลอดเกือบร้อยปีในฐานะแพทย์ ด้วยความมั่นใจในฝีมือ ข้ากลับพ่ายแพ้ให้กับสตรีผู้นี้ ตั้งแต่นั้นมาข้าไม่กล้าอวดโอ่ฝีมือการรักษาอีกเลย”

“กลับมีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงๆ?” ฉุ่ยเมิ่งฉานกล่าวด้วยความแปลกใจ เมื่อห้าปีก่อนนางอยู่ในเมืองเทียนหลง และยังไม่เข้าใจเรื่องนี้กระจ่างชัด นางรู้ว่าเทพโอสถฉุ่ยหนานเหอมีฝีมือรักษาที่เหนือล้ำไม่ธรรมดา ตั้งแต่เด็กจนโต นางไม่เคยเห็นโรคใดที่เขาไม่สามารถรักษา แต่เขากลับพ่ายแพ้ต่อสตรีผู้หนึ่งที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปี หากไม่ใช่เขาเป็นผู้กล่าวกับนางด้วยตนเอง นางคงไม่มีวันเชื่อลง

“ท่านปู่เทพโอสถ ท่านรู้จักนางหรือไม่? ผู้ที่มีทักษะการรักษาเหนือล้ำถึงเพียงนี้ ย่อมไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงทั่วไป”

ฉุ่ยหนานเหอส่ายศีรษะ “ข้าก็อยากรู้ที่มาของนางเช่นกัน ในปีนั้น ข้าท่องเที่ยวไปในเมืองเยี่ยนอวี่ของอาณาจักรคุยชุย บังเอิญที่แห่งนั้นเป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขัน “ห้าปีประชันการรักษา” เวลานั้นข้าคันไม้คันมือจึงร่วมแสดงฝีมือ แต่ข้ากลับต้องหน้าแตกย่อยยับด้วยน้ำมือของสตรีผู้นั้น นางไม่เพียงมีฝีมือการแพทย์ที่สูงส่ง แต่พลังของนางก็ลึกล้ำเช่นกัน ข้ารักวิชาแพทย์ยิ่งกว่าชีวิตของตน ข้าจะปล่อยคนเช่นนั้นหลุดมือไปง่ายๆได้อย่างไร? ข้าตามนางไปด้วยหวังว่าจะขอคำชี้แนะ แต่ข้าไม่คิดเลยว่ากลับเป็นการกระตุ้นโทสะนาง นางจึงทำร้ายข้าและจากไป ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก”

เห็นตาเฒ่าอายุเกือบร้อยปีด้อมๆมองๆตามหลังหญิงสาว คงจะแปลกแล้วหากนางไม่โกรธ พอคิดถึงจุดนี้ฉุ่ยเมิ่งฉานก็อดยิ้มไม่ได้ แต่นางขมวดคิ้วในฉับพลันแล้วถาม “โอ้? ด้วยวัยเพียงเท่านี้กลับทำร้ายท่านปู่เทพโอสถได้? ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อนัก”

“และนางใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น... ท่านเชื่อหรือไม่ องค์หญิง?”

“อะไรนะ? กระบวนท่าเดียว?” ฉุ่ยเมิ่งฉานตื่นตระหนก แม้นางมีพลังพอที่จะเอาชนะฉุ่ยหนานเหอได้ แต่นางก็ยังต้องประมือกับเขานับร้อยกระบวนท่า ด้วยวัยของนางในยามนี้ การบรรลุขอบเขตสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนธรรมดาทั่วไป นางเชื่อมาตลอดว่า ในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครมีพลังเหนือล้ำกว่าตน คำพูดของฉุ่ยหนานเหอสร้างคลื่นปั่นป่วนในใจนางอย่างไม่ต้องสงสัย

“ถูกต้อง ถึงแม้ข้าจะไม่ทันตั้งตัว แต่หนึ่งกระบวนท่านั้นทำให้ข้าหมดสิ้นหนทางสู้ หากไม่ใช่เพราะความเมตตาของนาง ข้าคงไม่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ข้าคิดว่าต่อให้ข้าทุ่มพลังทั้งหมดเข้าสู้ ก็ยังทนรับมือนางได้แค่ห้ากระบวนท่า พลังของนางแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าท่านประมุข”

“!!”

ฉุ่ยเมิ่งฉานไม่คิดเลยว่า ด้วยการพูดคุยสัพเพเหระ กลับทำให้นางได้ยินเรื่องราวของตัวตนที่ทำให้นางตกใจได้ถึงเพียงนี้

“นางสวมชุดหิมะ ปิดหน้าด้วยผ้าขาว แย่ยิ่งนักที่ข้าไม่อาจรู้ชื่อนางหรือที่มา กระทั่งใบหน้ายังไม่เห็นชัดเจน สิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจก็คือ เมื่อห้าปีก่อนนางมีอายุไม่มากกว่าท่านในตอนนี้ นางเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ใครจะรู้ ทวีปเทียนเฉินยังมียอดคนที่ยังไม่มีใครรู้จัก รวมทั้งสิ่งลึกลับที่ซ่อนปกปิดไว้อีกเท่าใด” ฉุ่ยหนานเหอกล่าว

“คนผู้นั้น บิดาของข้ารู้เรื่องของนางหรือไม่?” ฉุ่ยเมิ่งฉานถาม ผู้ที่มีพลังแข่งแกร่งกว่าบิดาของนางในทวีปเทียนเฉินมีเพียง ฉู่ชางหมิง , ฟงเฉาหยาง , หวู่เชียวชุย , เสวี่ยหนี่ และประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือ เหยียนต้วนหุน เทพทั้งสี่เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน อายุของพวกเขาล้วนเกินหกสิบปี ผู้ที่อายุน้อยที่สุดคือฟงเฉาหยาง แต่สตรีนางนี้อายุยังไม่เกินยี่สิบปีกลับมีพลังขอบเขตเทวะ... นางเป็นเทพเซียนแบบใดกัน?

“ท่านประมุขเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่านางเป็นใคร เขาเพียงสั่งให้คอยจับตามองหาที่อยู่ของคนผู้นี้”

ฉุ่ยเมิ่งฉานเงียบงันเป็นเวลานาน และกล่าวเสียงเบา “เรื่องนี้เมื่อคิดดูแล้ว อาณาจักรทั้งสี่แห่งเทียนเฉินจะร่วมกันจัดประชันการรักษาทุกๆห้าปี การแข่งครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในอีกครึ่งเดือน อาณาจักรเทียนหลงสมควรเลือกเมืองเทียนหยุนเป็นที่จัดงาน เวลานั้นเหล่าแพทย์มีชื่อทั่วโลกย่อมมารวมตัวกัน ข้าจะส่งคนไปคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด เผื่อบางทีนางอาจปรากฎตัวอีกครั้ง”

เมื่อสตรีที่เคยชินกับตำแหน่งสูงสุด ได้ยินการดำรงอยู่ของสตรีวัยเดียวกันที่ทรงพลังยิ่งกว่าตน แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของนาง ฉุ่ยเมิ่งฉานเองก็ไม่มีข้อยกเว้นที่จะมีความอิจฉา เป็นจิตใต้สำนึกของสตรีทุกคน มีน้อยคนนักที่จะข้ามผ่านความรู้สึกนี้ได้



<<<PREV    .    NEXT>>>